เสียงอาเจียนโอ้กอ้ากดังแว่วออกมาเป็นระยะๆจากในห้องน้ำ
เจ้าของเสียงอาเจียนเปิดน้ำล้างหน้าก่อนจะเดินโผเผลออกมาจนเห็นสามีที่กลับบ้านไม่กลับบ้านบ้าง ใบหน้าเซียวซีดพลันฉายแววดีใจออกมาให้เห็น ร้องเรียกชื่อชายผู้เป็นสามีอย่างที่ดีใจที่สุด
“โต คุณกลับมาแล้วหรือคะ”
ณภัทรเดินไปหยิบกระเป๋ามาเปิดออกวางแล้วทยอยเก็บของลงใส่ไม่สนใจจะสนทนาใดๆด้วย อรพิมพ์เดินเข้ามาหาอีกฝ่ายหลังจากเห็นแล้วว่าเขากำลังทำอะไร ถามเสียงคาดคั้น ใบหน้าเอาเรื่องทันที
“นั่นคุณจะทำอะไรคะโต”
“ผมจะไปจากที่นี่ พร้อมหย่าเมื่อไร โทรมาละกัน”
อรพิมพ์ส่ายหน้า เข้าไปกอดสามีจากทางด้านหลัง “ไม่นะคะ โตจะทิ้งผิงไปทั้งๆที่ผิงท้อง อย่างนั้นเหรอคะ”
ณภัทรหยุดมือที่กำลังเก็บของ แค่นยิ้ม ก่อนถาม “คุณมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือผิงว่าตัวเองท้อง”
คนที่บอกว่าตนเองท้องพยักหน้าบอกทั้งที่ยังกอดเอวสามีไว้แน่น ราวกับว่าหากปล่อยแล้วเขาจะหลุดลอยไปอย่างไรอย่างนั้น “ใช่ค่ะ ผิงท้อง”
“เรามีเซ็กส์กันล่าสุดตอนไหนคุณจำได้หรือเปล่าผิง...แล้วนี่คุณท้องกี่เดือน”
ฝ่ายภรรยาได้ยินคำถามเมื่อครู่ก็ถึงกับตัวชาดิกเป็นแท่นหิน “ผิง…”
“อย่าให้ผมต้องสาวไส้ออกมาให้คนอื่นได้รู้กันเลยอะไรมันเป็นอะไร...ปล่อยผม”
ณภัทรพูดจบ แกะมือขาวเนียนที่กอดเขาแนบแน่นออกอย่างเย็นชา แต่หญิงสาวผู้เป็นภรรยากับออกแรงรัดแน่นกว่าเดิม ส่ายหน้าไปมา บอกเสียงสะอื้น
“ไม่นะคะ...นี่คุณจะทิ้งผิงไปจริงๆเหรอคะโต”
“ตอนเราแต่งงานกัน คุณก็บอกว่าคุณท้อง ผมถึงต้องบากหน้ามาขอขมาผู้ใหญ่ เงินจะแต่งคุณสักบาทผมก็ไม่มี จนพ่อคุณแม่คุณพี่คุณพากันดูถูกผมทั้งบ้าน”
“โตคะ”
“แล้วไหนลูก ไหนท้อง ไม่เห็นจะโผล่ออกมาเลย คุณโกหกผม”
“ผิง...ผิง”
“หยุดโกหกเสียทีเถอะผิง” ณภัทรตวาดว่าแล้วทำท่าจะจากไป
“อย่าไปนะโต ผิงขอโทษ”
“ผมไม่ได้โกรธคุณเรื่องนั้น คุณก็รู้นี่ว่าผมอยากให้คุณไป...” ณภัทรอ้าปากพูดเรื่องที่เคยตกลงกันสองคน แต่อรพิมพ์ส่ายหน้าระรัว ปฏิเสธเสียงดังลั่นห้อง
“ไม่ค่ะ ผิงไม่ไป”
“ถ้าคุณไม่ไป...ผมก็คงใช้ชีวิตอยู่กับคุณไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
ณภัทรถอนหายใจ สรุปทิ้งท้าย
“ไหนจะเรื่องที่พ่อแม่รวมทั้งพี่ชายของคุณเองก็อยากให้ผมไปจากที่นี่กันทั้งนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ต่อไปอีก”
อรพิมพ์ส่ายหน้าพร้อมสะอึกสะอื้น
“ไม่นะคะ โตอย่าไป ผิงไม่ให้โตไป ถ้าคุณไป ผิงจะฆ่านังนั่น” ท้ายประโยคผุดขึ้นมาในหัวอรพิมพ์ชั่ววินาที และเธอก็พูดมันออกมาเลย คิดว่านี่จะช่วยรั้งชายผู้เป็นสามีเอาไว้ได้
ณภัทรแกะแขนเรียวบอบบางออกจนได้ ก่อนหันหน้ามาบอกเสียงเครียด “อย่ายุ่งกับพิม”
“ทำไมคะ คุณรักมัน หลงมันขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ผมเตือนคุณแล้วนะว่าอย่ายุ่งกับพิม”
“ถ้าคุณไปผิงจะฆ่ามัน”
“ถ้าอยากลองดีกับผมก็เอาเลยผิง”
ณภัทรทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วจากไปพร้อมกระเป๋าของเขา อรพิมพ์กรีดร้องไล่ตามไปติดๆ
เธอรักณภัทร และไม่มีทางจะปล่อยให้เขาไปหาผู้หญิงคนอื่นแน่นอน ส่วนเรื่องเด็กในท้อง หญิงสาวก้มลงมองหน้าท้องที่ยังแบนราบของตนเองด้วยสายตาเกลียดชัง
แล้วปรี่ไปเอาตุ๊กตาเซรามิคข้างเตียงปาใส่ผนัง หญิงสาวหอบหายใจรุนแรงมองซ้ายขวาแล้วเดินไปหยิบของมาเขวี้ยงทิ้งจนห้องดูเละเทะไปหมดก่อนจะเดินโซเซไปหยิบโทรศัพท์มือถือกดโทรออก พอเชื่อมต่อสัญญาณ เธอกรอกเสียงลงไปทั้งๆที่ยังสะอื้นไห้อยู่
“พี่ภีมคะ โตไปแล้ว โตทิ้งผิงไปหานังเด็กนั่นแล้ว พี่ภีมต้องจัดการมันให้ผิงนะคะ”
“นี่เราร้องไห้เหรอผิง”
“ฮึก...ผิงอยากตาย ฮือๆ ...พี่ภีมคะ ผิงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโต พี่ภีมพูดสิคะว่าจะจัดการนังเด็กนั่นให้ผิง”
“ก็ได้คนดี...พี่จะจัดการให้ ผิงไปล้างหน้านะ เดี๋ยวพี่โทรบอกเด็กในบ้านให้ไปอยู่เป็นเพื่อน รับปากพี่ได้ไหมว่าผิงจะไม่ทำร้ายตัวเอง” ภีมยั้งคำว่า ‘อีก’ เอาไว้ทัน เพราะไม่อยากต่อความยาวให้น้องต้องคิดมาก
“ค่ะ...ผิงจะไม่ทำร้ายตัวเอง”
“เก่งมาก พี่รักผิงนะ เด็กดีของพี่”
แม้ปากจะเอ่ยวาจาปลอบประโลมปลายสายแต่สายตาของหมอหนุ่มนักธุรกิจกลับจ้องมองอย่างมาดร้ายไปยังหญิงสาวร่างเล็กบางที่กำลังประครองคุณหญิงเพ็ญแขเดินบนทรายไม่วางตา
‘พี่ภีมต้องช่วยผิงนะคะ นังเด็กนั่น มันตอแหลเก่งนัก ขนาดว่าโตไม่เคยนอกลู่นอกทางมาก่อนยังหลงเสน่ห์ของมันได้’
ภีมนึกถึงคำพูดหนึ่งของน้องสาวสุดที่รัก ก่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เขาต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียที ปล่อยไว้ก็มีแต่อรพิมพ์ที่เจ็บปวดอยู่คนเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น น้องเขาเจ็บเท่าไร เด็กนั่นต้องเจ็บมากกว่าน้องของเขาพันเท่า
ตกเย็นวันนั้นคุณหญิงเพ็ญแขสั่งให้เด็กๆจัดเตรียมอาหารที่ริมหาด ท่านยิ้มหัวเราะมากขึ้นและดูมีความสุขกว่าทุกวัน และคืนนี้ก็อยู่ร่วมวงกับเด็กๆจนหลานชายอย่างภีมต้องออกปากเตือน
“สามทุ่มครึ่งแล้วนะครับคุณย่า”
“ย่ายังไม่ง่วงเลยนี่”
“ดึกแล้วนะครับ แล้วเดี๋ยวน้ำค้างลง ได้แอดมิทอีกหรอก คราวนี้จะให้นอนที่วอร์ดไม่ต้องกลับบ้านเลย คอยดูเถอะ” ภีมขู่ส่งท้าย ทำเอาคุณหญิงหน้าง้ำไปเลยทีเดียว
ตอนนี้พยาบาลสองสาวแนนและดิว ได้รับอนุญาตให้ไปสังสรรค์กับคนอื่นๆ แต่มีพิมนาราคอยอยู่ข้างกายคุณหญิงเพ็ญแขแทน หญิงสาวที่เป็นคนนอกอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นย่ากับหลานเริ่มไม่ลงรอยกันด้วยเรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องเข้านอน
“ไปนอนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมอ่านหนังสือให้ฟัง”
ภีมบอกเสียงอ่อนอย่างเอาใจในที่สุดเมื่อเห็นสีหน้าคนเป็นย่า
“หลอกย่าอีกแล้วนะพ่อพิมพ์” คุณหญิงเพ็ญแขยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นมาคำหนึ่ง จนพิมนาราอดท้วงไม่ได้
“คุณท่านเรียกใครคะว่า พ่อพิมพ์”
คุณหญิงเพ็ญแขเบือนหน้าไปทางหลานชายสุดรักพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ก็คนแถวนี้นี่ไง”
“คุณย่าครับ ไปนอนกันดีกว่า...”
ภีมขัดก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาจัดแจงปลดล็อกล้อรถเข็นออกเดินนำไปก่อน เธอจึงต้องลุกตามไปด้วย ไม่กล้าถามต่อว่าเหตุใดจึงเรียกว่า ‘พ่อพิมพ์’
“บังคับคนแก่บาปนักนะพ่อพิมพ์”
เสียงคุณหญิงเพ็ญแขสัพยอกมาอีกประโยค แต่ภีมไม่ยอมเสียรู้คนเป็นย่า เขาหยุดต่อคำกับท่านแล้วพาเดินไปตามทางเข้าสู่ตัวบ้านในที่สุด แว่วเสียงหัวเราะน้อยๆของคุณหญิงเพ็ญแขอย่างคนอารมณ์ดี
ทั้งสามพากันเข้าไปที่ห้องนอนของคุณหญิงเพ็ญแขแล้วพาท่านส่งเข้านอนก่อนจะปิดไฟและปิดประตูให้
ระหว่างทางเดินกลับห้องของพิมนาราที่เป็นระเบียงมองออกไปเห็นชายหาดเบื้องล่าง ทำให้หญิงสาวต้องหยุดยืนมอง สูดอากาศเข้าปอดลึกและยาว ภีมที่เดินตามมาจึงหยุดตาม มองคนตรงหน้าแน่นิ่งแล้วจึงถาม
“จะลงไปที่หาดอีกหรือเปล่าพิมนารา”
เธอนึกว่าเขาเดินแยกเข้าห้องไปแล้ว เลยประหม่าปนเขินอายพอควรเมื่อภีมยังอยู่ตรงนี้ เธอยิ้มนิดๆ ปฏิเสธเสียงแผ่ว “ไม่แล้วค่ะ พิมง่วงแล้ว ว่าจะเข้านอนเลย”
“งั้นผมเดินไปส่งที่ห้อง”
“มะ...ไม่ ไม่เป็นไรค่ะหมอ”
เธอบอกแล้วหมุนตัวกลับโดยไว แต่ด้วยไม่ทันตั้งตัวจึงสะดุดเข้ากับขาตนเองจนเกือบจะล้มคะมำ ภีมอยู่ไม่ไกลจากเธอจึงคว้าลำตัวอ้อนแอ้นเข้ามาใกล้จนลำตัวเบียดชิด
“ระวังหน่อยสิ ซุ่มซ่ามอยู่เรื่อยเลยหรือไงนะ”
“เขาะ...ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษอะไร ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา...หรือว่าทำ” เสียงทุ้มนุ่มของภีมถามชิดใบหน้าของหญิงสาวที่เริ่มอุ่นจนร้อน
“งะ...งั้น พิมขอตัวเลยนะคะ”
เธอกลั้นใจเงยหน้าบอกเจ้าของร่างสูงที่ยังไม่ปล่อยมือจากเธอ แต่กลับได้รับสัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากแทน
มันอุ่นซ่านเข้าไปในหัวใจ ก่อนที่ภีมจะลดริมฝีปากแดงหยักได้รูปลงมาประทับปิดที่ริมฝีปากของเธอ พิมนาราตาเบิกโตแล้วค่อยๆปิดลง หัวสมองหญิงสาวขาวโพลนไปในทันที หูอื้ออึง และเหมือนทุกอย่างรอบตัวจะหยุดเคลื่อนไหวไปกับรอยสัมผัสของเขา ชายหนุ่มที่อยู่ในหัวใจของเธอ
นี่หรือคือการจุมพิตระหว่างชายหญิง หญิงสาวเพิ่งรับรู้ในตอนนี้ วันนี้เอง เขาก่อความรู้สึกหวิวไหวด้วยริมฝีปากสวยสีสดจนเธอแทบทานไม่อยู่ มือเกาะต้นแขนที่รู้ในตอนนี้เองว่าแน่นและกำยำขนาดไหน ไม่รับรู้ถึงเวลาว่านานเท่าใดที่เขายอมปลดปล่อยเธอในที่สุด แล้วกระซิบคำพูดอ่อนหวานข้างหู
“ฝันดีนะ...พิมนารา”
พิมนาราเดินกลับเข้าห้องก่อนจะนั่งแปะลงริมเตียง แล้วยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง ยังคงรู้สึกถึงสัมผัสนั้นอยู่เลย มันซาบซ่านอ่อนหวานหวิวไหวขนาดนี้เชียวหรือ แล้วล้มตัวนอนบนเตียง ดวงตาปิดลงอมยิ้มอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับไปในที่สุด
กลับมาถึงบ้านเมื่อตะวันคล้อยไปมากแล้ว ด้วยรถตู้ที่แวะมาส่งถึงที่หญิงสาวยืนส่งจนรถลับสายตาไปแล้ว จึงหิ้วกระเป๋าและของฝากเข้าบ้านบ้าง
“พี่โต”
เธอทักชายหนุ่มที่นั่งจิบเบียร์คนเดียวใต้ต้นไม้ด้านหน้า พื้นเกลื่อนไปด้วยกระป๋องเบียร์ยี่ห้อเดียวกันน่าจะมากกว่าสิบกระป๋อง ชายหนุ่มเงยหน้าที่ดวงตาแดงกล่ำทักกลับ
“กลับมาแล้วเหรอ สนุกไหม”
“สนุกมากๆเลยค่ะ” ว่าแล้วเดินเข้ามานั่งเคียงข้างชายหนุ่ม
“ทำไมต้องดื่มขนาดนี้ด้วยคะพี่โต”
“พี่เบื่อน่ะพิม พี่อึดอัด...ผิงบอกว่าตัวเองท้องอีกแล้ว”
พิมนาราถอนหายใจ ก่อนแตะหลังมือคนตรงหน้าค่อยเอ่ยปลอบ “พี่ต้องหันหน้าคุยกับคุณผิงแล้วนะคะ อย่าปล่อยให้เป็นแบบนี้”
“พี่กลุ้มใจนะพิม พี่ไม่รู้ว่าควรปรึกษาใครเรื่องนี้ดี”
“พี่โตลืมไปหรือเปล่าคะว่ายังมีพิมอีกคนน่ะ ลืมไปแล้วเหรอ”
ณภัทรฝืนยิ้มมองหน้าหญิงสาวข้างกายก่อนโอบไหล่มาจนชิด สองศรีษะเอนซบกันไปมาอึดใจ แล้วจึงพึมพำบอก
“ขอบใจนะพิม”
ภาพความสนิทสนมถูกเนื้อต้องตัวกันระหว่างพิมนาราและณภัทรถูกบันทึกเป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวก่อนถูกส่งต่อให้ภีมอีกที
หมอหนุ่มนักธุรกิจวางโทรศัพท์ลงเมื่อเปิดภาพถ่ายและคลิปดูจนหมด กรามบดกันแน่นแล้วพึมพำอย่างเครียดแค้นชายหญิงทั้งสองคนนั่น