ตงเหมาและตงหมิงยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เด็กชายแม้จะอายุยังน้อยแต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้เขานั้นร้องไห้ออกมาเพราะสัมผัสได้ถึงความสูญเสีย
แม้ว่าที่ผ่านมาแม่จะไม่เคยรักหรือห่วงใย แต่เขาก็ถูกปลูกฝังจากผู้เป็นพ่อเสมอว่าควรมีความกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด
ชายหนุ่มกอดลูกชายแน่นพร้อมกับลูบศีรษะอีกฝ่ายจนหลับไป เขาวางเด็กชายตัวน้อยลงบนเก้าอี้ยาวก่อนจะถอดเสื้อคลุมห่มร่างเล็กเอาไว้
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง เขาเห็นพยาบาลวิ่งเข้าออกหลายครั้ง เครื่องแบบบางคนมีรอยเลือดที่สาดกระเซ็น ตงเหมาเห็นเช่นนั้นก็ท้าวศอกลงบนเข่าพลางกุมขมับ
แม้ที่ผ่านมาซูเม่ยจะไม่เคยเป็นภรรยาที่ดีเป็นแม่ที่ดีเลยสักครั้ง แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะได้ยินข่าวร้าย อย่างน้อยหากเธอยังมีชีวิตอยู่คงจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเขาและลูกได้
ไม่ว่าเธอจะพิการแขนขาหักเขาก็ยินดีที่จะดูแลเธอไปทั้งชีวิต ขอเพียงแค่อีกฝ่ายรอดปลอดภัยก็เป็นพอ
ชายหนุ่มประสานฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อขอพรจากเหล่าทวยเทพให้ช่วยรักษาชีวิตของภรรยาเอาไว้ แต่ทว่าคำอ้อนวอนนั้นกลับไปไม่ถึงสวรรค์ ร่างหายหญิงสาวกระตุกซ้ำๆ ก่อนที่ชีพจรจะอ่อนลงเรื่อยๆ และหยุดนิ่งในที่สุด
พยาบาลสาวผู้หนึ่งถึงกับหลั่งน้ำตาที่ไม่อาจช่วยชีวิตผู้ประสบเหตุได้ เธอเดินเลี่ยงไปซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องผ่าตัดล้างคราบเลือดที่เปรอะมือทั้งน้ำตา
เธอรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเดินออกมาแล้วพบสองพ่อลูกที่ยังคงปักหลักเฝ้ารอฟังข่าวดี หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนเดินตรงเข้าไปหาตงเหมาที่กำลังนั่งหลับตา
“คุณตงเหมา”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นก่อนจะลุกพรวด เขามองเลยเข้าไปด้านในก่อนจะดึงสายตากลับมามองพยาบาลสาวที่มีสีหน้าเศร้าหมอง หัวใจชายหนุ่มคล้ายกับถูกแช่แข็ง
ขาเขาอ่อนแรงทรุดตัวลงจนเข่ากระแทกพื้นเมื่อได้ยินข่าวร้ายโดยที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน น้ำตาเขาไหลรินหยดลงพื้น
พยาบาลสาวสะเทือนใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน เธอเดินเลี่ยงไปทางอื่นในขณะที่ชายหนุ่มนั้นยังคงร้องไห้แทบขาดใจ
กว่าจะถึงรุ่งสางชายหนุ่มก็แทบข่มตานอนหลับไม่ลง เขาเฝ้ารอเพื่อรับร่างไร้วิญญาณของภรรยา
สายตาที่ฉายให้เห็นความโศกเศร้าจับจ้องไปที่ลูกชายตัวน้อยที่ยังหลับใหลอยู่ข้างกาย
หนทางข้างหน้าช่างมืดมนเขาคิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดีเมื่อจู่ๆ ก็สูญเสียภรรยาไปอย่างกระทันหันเช่นนี้
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าออกจากระเป๋าก่อนต่อสายหาผู้เป็นแม่ เวลาใกล้รุ่งสาง ป่านนี้แม่ของเขาคงจะตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารแล้ว
“แม่ ผมโทรมารบกวนหรือเปล่า”
“พูดอะไรแบบนั้น ไม่รบกวนเลยสักนิด”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยตอบ ตงเหมานิ่งเงียบเพื่อเรียบเรียงคำพูดก่อนจะตัดสินใจบอกข่าวร้ายแก่ผู้เป็นมารดา
“เมื่อคืนอาเม่ยถูกรถชน”
ปลายสายร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตงเหมาเป็นกังวลเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างตกลงสู่พื้น ก่อนที่เสียงพ่อของเขาจะดังแทรกเข้ามา ชายหนุ่มนั่งไม่ติดกังวลใจว่าอาจมีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้น
“อาเหมา”
เสียงพ่อที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มรีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“เกิดอะไรขึ้นพ่อ!”
“อย่าได้กังวลไป แค่ตกใจจนจานหลุดมือ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหลงคิดว่าแม่นั้นอาจเป็นลมเป็นแล้งไปเสียแล้ว
โชคดีที่แค่จานหลุดมือเท่านั้น ผู้เป็นพ่อถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ที่ผ่านมาซูเม่ยนั้นจะปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเขา แต่ข่าวร้ายนี้ก็ทำให้คนชราทั้งสองรู้สึกใจหายและเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“อาเม่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นทำให้ผู้เป็นพ่อเข้าใจได้ทันที
“พ่อกับแม่จะรีบเดินทางไปหาลูก”
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนวางสาย สองสามีภรรยารีบเก็บข้าวของจำเป็นสำหรับการเดินทาง ก่อนจะรีบเร่งตรงไปยังสถานีรถไฟที่อยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลเท่าไหร่นัก
ตงเหมารู้สึกเคว้งคว้างยามที่ลูกชายเอ่ยถามถึงแม่ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรได้แต่โกหกไปว่าแม่ของเขานั้นกำลังเดินทางไกลไปอยู่ที่เมืองอื่น
เด็กชายได้ยินดังนั้นก็ซึมลง เขากินน้อยพูดน้อย แม้แต่อาหารที่ชอบก็ถูกหมางเมินจนเย็นชืดอยู่กลางโต๊ะ
“อาหมิง ไม่กินเหรอลูก”
น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนระโหยโรยแรง เขาและลูกชายนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนสาธารณะภายในโรงพยาบาล ตัวเขานั้นกินอะไรแทบไม่ลงรู้สึกซึมเศร้าแต่ก็ไม่อาจละเลยลูกชาย ตอนนี้ร่างไร้ลมหายใจของซูเม่ยถูกย้ายไปพักไว้ที่ห้องเก็บศพเพื่อรอทำความสะอาดก่อนส่งต่อให้ญาตินำกลับไปทำพิธีฝัง
ชายหนุ่มปฏิเสธที่จะเข้าไปดูร่างของภรรยาเพราะยังทำใจไม่ได้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“อาหมิง ไปเดินเล่นกับย่าไหมลูก”
เห็นหลานชายเศร้าซึมผู้เป็นย่าจึงพยายามที่จะพาเขาเดินออกไปด้านนอก สูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อยเผื่อว่าเด็กชายนั้นจะอารมณ์ดีขึ้น ตงหมิงพยักหน้าก่อนจะเดินตามผู้เป็นย่าออกไปด้านนอก
ชายชรายังคงแข็งแรงเดินเหินคล่องแคล่ว เขามองลูกชายที่ตาแดงก่ำ ดวงตาบวมช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
เขารู้ดีว่าตงเหมารักภรรยามากเพียงใด แม้ที่ผ่านมาเธอจะทำตัวเหลวไหล คบชู้ ไม่ทำงานทำการ ทอดทิ้งลูกไม่สนใจใยดี แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ยินดีต่อข่าวร้ายนี้เลย
“เวลาของอาเม่ยคงมีเท่านี้”
ผู้เป็นพ่อพยายามปลอบใจลูกชายที่นั่งก้มหน้านิ่งความเศร้าโศกถูกปลดปล่อยออกมาเต็มที่ ต่างจากตอนที่ตงหมิงนั่งอยู่ตรงนี้
ตงเหมาจำเป็นต้องปั้นหน้าเพื่อไม่ให้ลูกชายนั้นเศร้าหมองไปด้วย แต่ไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก แม้เขาจะพยายามอย่างมากเพื่อเอาอกเอาใจตงหมิง แต่อารมณ์เด็กชายก็ยังไม่ดีขึ้น
“ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้”
จะดีจะเลวอย่างไรซูเม่ยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา เป็นผู้หญิงที่เขารัก แม้ที่ผ่านจะเอือมระอาต่อพฤติกรรมของอีกฝ่ายแต่หัวใจของเขาก็ยังรักเธอไม่เคยเปลี่ยน
เขาจึงยากที่จะทำใจ เมื่อภรรยาจากไปกะทันหัน
เขานึกโทษตัวเอง หากวันนั้นเขาไม่โยนเธอออกจากบ้าน เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
“พ่อเข้าใจ แต่โชคชะตาไม่อาจหยุดยั้งได้”
เขาผ่านชีวิตมามาก สูญเสียมาไม่น้อย เมื่อนานวันเข้าก็จะชินชาไปกับความรู้สึกนั้น ทุกคนล้วนต้องตายนี่คือสัจธรรมที่ไม่อาจหลีกหนีพ้น
เขาพยายามปลอบใจลูกชาย ไม่ได้ห้ามหากอีกฝ่ายจะโศกเศร้า แต่ไม่อาจปล่อยผ่านหากตงเหมาจะเศร้าจนทำร้ายตัวเองเช่นนี้
ผู้เป็นพ่อหยิบห่อข้าวขึ้นมาก่อนจะคลี่ออกและใช้ช้อนตักก่อนจะจ่อไปที่ปากลูกชาย ตงเหมาน้ำตาไหลซึ้งใจกับความห่วงใยของพ่อ
เขาอ้าปากก่อนที่รสชาติของอาหารจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งปาก เขาหนุ่มเคี้ยวอย่างเชื่องช้าก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น
“ผมจะพาซูเม่ยไปฝังไว้ใกล้กับบรรพบุรุษของเรา”
ผู้เป็นพ่อพนักหน้าเป็นการอนุญาต อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นสะใภ้ของเขา เรื่องราวที่ผ่านก็ให้ผ่านไป เขาไม่ถือสา
“ชีวิตคนเราบางครั้งเดินๆ อยู่ก็อาจสะดุดหินล้มไป แต่สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาอยู่ดี”
เขาเอ่ยขึ้นเพื่อเตือนสติลูกชายให้รีบเข้มแข็งเพราะยังมีตงหมิงต้องดูแล ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนอ้าปากกว้างเมื่อผู้เป็นพ่อป้อนข้าว
ภาพนั้นทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็ยกยิ้มให้กับความสัมพันธ์ที่ดีของพ่อลูก
“อย่าแบกอะไรที่หนักเกินไป อะไรทิ้งได้ก็ควรทิ้งไปบ้าง”
ภายในห้องเก็บศพนั้นมืดสนิทมีเพียงแสงไฟเล็กน้อยที่ลอดช่องประตูด้านล่างเข้ามา ร่างกายของซูเม่ยที่แต่เดิมเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายทั้งยังซีดเซียวเพราะเสียเลือดมาก
แต่บัดนี้ใบหน้าของเธอกลับเปล่งปลั่ง แผลที่ร่างกายสมานเข้าหากัน ลมหายใจอ่อนๆ แสดงให้เห็นถึงการมีชีวิต ลมหายใจนั้นสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ความเย็นยะเยือกปะทะผิวกายที่เปลือยเปล่า ขนทั้งร่างลุกชูชัน นิ้วมือเรียวขยับทีละนิ้วก่อนที่ร่างกายของหญิงสาวจะกระตุกอยู่สองสามครั้ง ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกโกยเข้าปอดก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง
ด้านนอกผู้เป็นย่าพาหลานออกมาเดินตลาดก่อนจะเอาใจอีกฝ่ายด้วยการซื้อขนมให้กิน เด็กชายเมื่อได้ออกมาเปิดหูเปิดตาก็ลืมความเศร้าไปชั่วขณะ เขาหัวเราะจนตาหรี่ลงยามที่กำลังยืนดูการแสดงซึ่งจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันสำคัญ
“ย่าครับ ผมอยากกินซาลาเปา”
กลิ่นหอมจากซาลาเปาโชยมาจากด้านหน้าแตะจมูกเด็กน้อย นิ้วเล็กชี้ไปยังรถเข็นที่มีควันพวยพุ่งออกมาตลอดเวลา
ผู้เป็นย่าจับจูงหลายชายเพื่อพาไปยังจุดหมาย ก่อนจะซื้อซาลาเปามาสี่ลูกเพื่อนำไปฝากสามีและลูกชาย
เด็กชายนั้นอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขายื่นซาลาเปาให้ปู่และพ่อก่อนจะเดินกลับไปนั่งกับย่าและกัดกินแป้งนุ่มด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
ตงเหมาสบายใจขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายของเขาไม่เศร้าหมองแล้ว ต่างจากเขาที่ยังจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้เสียที
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสองคนกำลังคุยกันอยู่หน้าห้องเก็บศพ พวกเขาคุยเรื่องภรรยาของตงเหมา ติฉินนินทาเธอที่เป็นผู้หญิงไร้ยางอาย
แม้จะมีสามีอยู่แล้วแต่ยังคบชู้ ทั้งยังพาชู้เข้าไปในบ้าน ทำให้สามีโกรธจนขับไล่ออกมา
“ดีแล้วที่ชิงตายไปเสียก่อน สงสารก็แต่อาเหมาและอาหมิง”
เมืองนี้เป็นเมืองเล็กแต่ทุกคนแทบจะรู้จักสองสามีภรรยา ซูเม่ยเป็นผู้หญิงที่สวยหมดจด ทำให้ชื่อเสียงของเธอนั้นลือลั่นไปทั่ว แต่ชื่อเสียก็มากพอกันดีไม่ดีอาจมากกว่าด้วยซ้ำ
“หากยังมีชีวิตอยู่คงสร้างเรื่องมากกว่านี้”
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น นึกเวทนาสองพ่อลูกที่ต้องทนกับความร้ายกาจของซูเม่ยมานานหลายปี จากนี้คงหลุดพ้นแล้ว
“ว่าแต่ที่หล่อนถูกชายชู้ขับไล่ลงจากรถนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
ชายอีกคนพยักหน้า เรื่องนี้ญาติของเขาที่เปิดร้านชำนั้นยืนยันว่าเห็นซูเม่ยทะเลาะกับซุนเหอ ก่อนที่จะปั้นปึงเดินลงมาจากรถ และเข้ามาซื้อเหล้าก่อนจะเดินไปนั่งอยู่ริมทาง เมื่อเมามายก็เดินเตร่ไปทั่วจนถูกรถชนตาย
ทั้งสองส่ายศีรษะ ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วหญิงสาวจะมีจุดจบเช่นนี้ ทั้งสองพากันลุกเดินออกไปโดยไม่ทันได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากข้างในห้อง