เช้าวันต่อมา จวนแม่ทัพ
“คุณหนูอาหารเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เยว่ชิงทำของโปรดมาเอาใจคุณหนู แต่ปี้เหยากลับไม่อยากกินอะไร นางนอนไม่หลับทั้งคืนเมื่อสำรวจตัวเองแล้วพบร่องรอยที่ท่านโหวทำเอาไว้ แก้มทั้งสองก็แดงก่ำ
“ข้ายังไม่หิว” แน่นอนว่านางนั้นอยากนอนต่อ
“แต่ว่าตอนนี้สายมากแล้วนะเจ้าคะ” เยว่ชิงรู้สึกเป็นห่วง
“ข้ายังไม่ได้นอนทั้งคืน ขอนอนต่อสักหน่อย” แล้วสตรีก็ล้มตัวลงนอน แต่เพียงไม่นานพี่สาวที่เสียงดังอย่างปี้หลินก็ตะโกนเข้ามาในห้องนอนของน้องสาว
“ปี้เหยา ท่านโหวมาหาเจ้า รีบออกมาเร็วเข้า” ปี้หลินตื่นเต้นแทนน้องสาว ส่วนคนที่ถูกปลุกเช่นนี้ก็ได้แต่หาวออกมาอย่างเหนื่อยใจ ส่วนใต้ตานั้นดูดำคล้ำเล็กน้อย
“ทำไมหน้าตาเจ้าเป็นแบบนี้” ปี้หลินเห็นสภาพน้องสาวก็รู้สึกรับไม่ได้
“รีบลุกมาแต่งตัว จะให้ท่านโหวเห็นเจ้าสภาพผีตายซากแบบนี้ไม่ได้” ปี้หลินสั่งให้สาวใช้สองคนหิ้วปีกปี้เหยาให้ลุกขึ้นมา
“ข้าไม่ไปได้หรือไม่” แน่นอนว่านางไม่อยากพบเขาเลยสักนิด คนใจร้ายคนนั้น
“ไม่ไปไม่ได้” ปี้หลินแต่งหน้าให้ปี้เหยา ฝีมือการประทินโฉมของพี่สาวคนนี้จัดว่าดีมากคนหนึ่ง รอยคล้ำใต้ตาเลือนหายเหลือเพียงใบหน้าที่อ่อนเยาว์และสดใส
ที่ห้องโถงกลางจวนแม่ทัพ แม่ทัพใหญ่นั่งจ้องหน้าหวังหนานโหวเขม็ง เพราะยังแคลงใจเรื่องที่บุตรีกลับบ้านดึกดื่น
“ท่านแม่ทัพมีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่” หวังหนานโหวตวัดสายตามอง แน่นอนว่าการหมั้นหมายของเขากับคุณหนูสาม เดิมทีไม่ได้มาจากความสมัครใจแต่เป็นเพราะสวีกุ้ยเฟยไปขอพระราชทานจากฝ่าบาทให้ ใคร ๆ ต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าปี้เหยาเป็นหลานสาวคนโปรดของกุ้ยเฟยตระกูลสวี สวีปี้เหริน
“ข้าก็แค่แปลกใจว่าเมื่อคืนนี้เหตุใดท่านโหวถึงไม่ให้คนมาแจ้งจวนแม่ทัพ” แม่ทัพใหญ่หยั่งเชิง
หวังหนานโหวมุ่นคิ้วขึ้นมอง “แจ้งเรื่องอะไรหรือ”
ระหว่างนั้นปี้เหยาก็เดินเข้ามาในห้องพอดี “ท่านโหวเจ้าคะ” นั่งย่อตัวทำความเคารพเขาด้วยความไม่เต็มใจเท่าไรนัก
ส่วนแม่ทัพใหญ่ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เมื่อเห็นว่าท่านโหวดูไม่รู้เรื่องนี้ “ไม่มีอะไร ข้าคงฟังผิดมาเอง”
หวังหนานโหวเห็นคนมาครบแล้วก็เอ่ยพูดขึ้นเรื่องแต่งงาน แต่ปี้เหยารีบชิงพูดตัดหน้าออกมาเสียก่อน “ข้าไม่แต่งเจ้าค่ะ”
“อะไรนะปี้เหยา” แม่ทัพใหญ่ทำหน้าตางุนงง ทั้งที่ปี้เหยาอยากแต่งงานกับท่านโหวมากที่สุด แต่วันนี้นางกลับบอกว่าไม่อยากแต่งงานแล้ว
“ลูกเปลี่ยนใจแล้วเจ้าค่ะ” ปี้เหยาหันไปบอกกับบิดา
หวังหนานโหวขมวดคิ้วรู้สึกไม่พอใจทันที สายตาก็เหลือบไปเห็นร่องรอยที่คอของโฉมสะคราญ พลันแสยะยิ้มขึ้น “คุณหนูสามคิดว่าราชโองการของฝ่าบาทเป็นเรื่องที่ล้อเล่นกันได้หรือ”
ปี้เหยาแม้ไม่อยากมองหน้าหวังหนานโหวแต่ก็ต้องจำใจมอง
“ความจริงท่านโหวก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับข้าไม่ใช่หรือเจ้าคะ พวกเราถือโอกาสนี้ไปขอร้องกุ้ยเฟยไม่ดีกว่าหรือ”
หวังหนานโหวขบริมฝีปากแน่น “เจ้า!”
แม่ทัพใหญ่เห็นสถานการณ์ดูไม่ดีจึงพูดขัดขึ้นมา “จริงอย่างที่ท่านโหวพูด ราชโองการประกาศออกมาแล้วยากที่จะถอนคืนได้ เจ้าแต่งงานไปเถิด”
ปี้เหยาทำตาโตมองหน้าบิดาด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ทะ ท่านพ่อ!” เพราะแทนที่บิดาจะเข้าข้างนางกลับเข้าข้างผู้อื่น
“แล้วท่านโหวมาที่นี่เพื่อเรื่องอะไรกันเจ้าคะ” สตรียังไม่ยอมแพ้ เท่าที่จำได้นางรู้ว่าเขาอยากยกเลิกงานแต่งใจจะขาด
หวังหนานโหวถูกย้อนถามเช่นนั้นก็อ้ำอึ้งไปในทันที ทั้งที่วันนี้เขาจะมาขอให้จวนแม่ทัพถอนหมั้น “ข้า...”
ปี้เหยาจำได้ว่าท่านโหวอยากถอนหมั้น ดังนั้นนางจะไม่คิดอะไรให้มากไปกว่านี้นอกจากมอบอิสระให้ตัวเอง
“ข้าถอนหมั้นเจ้าค่ะ พวกเราไม่ต้องแต่งงานกันอีกแล้ว เรื่องนี้ข้าจะไปขอร้องกุ้ยเฟยเอง” หญิงสาวพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังมากเสียจนหวังหนานโหวต้องหันมาสบตากับนาง
แม่ทัพใหญ่ ปี้หลินแล้วก็จื่อเหวินต่างหน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน
“ไม่ได้...” แม่ทัพใหญ่พูดออกมา
ปี้เหยาเลยหันไปมองหน้าบิดาแล้วน้ำตาคลอ “เรื่องนี้ลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อต้องเดือดร้อน ตระกูลสวีจะไม่เดือดร้อน”
“แต่ชื่อเสียงของเจ้าจะ....” จื่อเหวิน พี่ชายที่รักน้องสาวมากคนหนึ่งพยายามเตือนสติ
“ใช่...ปี้เหยาเจ้าคิดดี ๆ” ปี้หลินเอ่ยสมทบ
ปี้เหยาส่ายศีรษะช้า ๆ “ข้าตัดสินใจดีแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันไปพูดกับท่านโหวว่า
“รบกวนท่านโหวส่งของหมั้นกลับจวนแม่ทัพ ส่วนข้าก็จะคืนของหมั้นให้ท่านตรงนี้เลย” ปี้เหยาหันไปสั่งให้เยว่ชิงนำกล่องของหมั้นเข้ามา หยกรูปพระจันทร์ที่ใช้สำหรับห้อยเอว นางเก็บมันเอาไว้อย่างดี
หวังหนานโหวเห็นปี้เหยาเอาจริงก็มองนางด้วยแววตาสับสน
“เจ้า...”
“ท่านโหวตกลงแล้ว รับของไปเจ้าค่ะ” ปี้เหยาไม่รอคำตอบ ครั้งนี้นางจะเป็นคนเดินออกมาด้วยตัวเอง และการเสียมารยาทของคุณหนูสามในครั้งนี้ทำให้หวังหนานโหวเผลอพูดประโยคที่ทุกคนไม่คาดคิดออกมา