ส่วนหวังหนานโหวนั้นก็ปลีกตัวออกไปนั่งชมนกเป็ดน้ำจิบสุราตามลำพัง มีเพียงจวิ้นอ๋องกับจื่อเหวินเท่านั้นที่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
“เช่นนั้นข้าจะเตรียมเอาไว้ให้อีกหนึ่งชุด เอาไว้ให้คุณหนูสามได้กินเล่นระหว่างพักผ่อนอยู่ที่จวนแม่ทัพ” จวิ้นอ๋องพูดแล้วก็หันไปส่งยิ้มไปให้คุณหนูสามที่ก็ส่งยิ้มกลับมาเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ารอยยิ้มของปี้เหยานั้นจะเป็นรอยยิ้มตามมารยาทก็ตาม
หวังหนานโหวลอบสังเกตเห็นว่าทั้งคุณหนูสามแล้วก็จวิ้นอ๋องนั้นส่งยิ้มให้กันบ่อยครั้งจนผิดปกติ แล้วข่าวลือที่เคยผ่านหูเขามาก็ปรากฏขึ้นในหัว
จวิ้นอ๋องแอบชอบคุณหนูสามมานาน ทว่านางไม่ได้ใส่ใจเอาแต่วิ่งตามหวังหนานโหว เรื่องนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้กันทั้งนั้น
คำพูดนี้วิ่งวนอยู่ในหัวของเขา รสสุราขมปร่าไหลรินลงลำคอหวังหนานโหวจอกแล้วจอกเล่า รู้สึกร้อนรุ่มอยู่ในอกยากที่จะควบคุมความคิดฟุ้งซ่านของตนเองได้
โชคดีที่ยามบ่ายแสงแดดไม่ร้อนแรงมากจนเกินไป หรืออาจเป็นเพราะตำหนักจวิ้นอ๋องมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากประกอบกับมีสระน้ำขนาดใหญ่เลยทำให้ริมศาลามีบรรยากาศเย็นสบาย เยี่ยอ๋องกับฝู่กั๋วกงขอตัวไปเล่นหมากในตำหนักต่ออีกสักพัก ส่วนจวิ้นอ๋องก็ขอตัวไปทำของว่างให้คุณหนูสาม ในศาลาริมน้ำเลยเหลือเพียงจื่อเหวินและหวังหนานโหวที่ดื่มสุราด้วยกัน
ปี้หลินที่เห็นว่าเยี่ยอ๋องและจวิ้นอ๋องเสด็จออกไปแล้วจึงชวนปี้เหยามานั่งด้วยกันกับพี่ใหญ่
“ท่านโหวก็อยู่ด้วยกันหรือเจ้าคะ” เพราะมองไม่เห็นหวังหนานโหวอยู่ในศาลาเลยทำให้ปี้หลินเผลอหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาสายตาคมเลยเหลือบไปมองคุณหนูรองแล้วก็เลื่อนไปมองหน้าคุณหนูสาม
ปี้เหยารู้สึกอึดอัดเลยหมุนเท้าหันหลังจะเดินออกจากศาลาไป
“รังเกียจข้าหรือไง” หวังหนานโหวเริ่มถูกฤทธิ์สุราครอบงำแล้ว
“ไม่ใช่แบบนั้นนะเจ้าคะ” ปี้หลินนึกว่าหวังหนานโหวไม่พอใจสิ่งที่นางเผลอพูดออกมาเลยรีบแก้ตัวทันที บุรุษลุกยืนขึ้นแล้วเดินตรงไปหา คุณหนูรองหน้าถอดสีรีบวิ่งอ้อมแล้วไปหลบหลังพี่ชายเพราะรู้สึกกลัว
ส่วนปี้เหยาไม่ได้สนใจว่าหวังหนานโหวพูดกับใคร นางรีบเดินออกจากศาลาริมน้ำไปหมายจะเข้าไปพักผ่อนที่ห้องรับรองที่จวิ้นอ๋องจัดเตรียมไว้ให้ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกฝ่ามือหนาเอื้อมมือมาฉุดที่ต้นแขนเสียก่อน
“ข้าพูดกับเจ้าไม่ได้ยินหรือไง” หวังหนานโหวกุมต้นแขนของคุณหนูสามเอาไว้ไม่ยอมให้คนเดินหนี
“ปล่อยเจ้าค่ะ ที่นี่ไม่ใช่จวนโหว ท่านโหวอย่ามาทำอะไรตามใจตนเองที่นี่” ปี้เหยาพูดข่มขู่ ชาติก่อนนางไม่เคยเถียงเขาแบบนี้เลยด้วยซ้ำแต่อดีตก็คืออดีต นางไม่กลับไปเป็นคนอ่อนแอที่ดวงตามืดบอดคนนั้นอีกแล้ว
“ได้...” หวังหนานโหวไม่พูดพร่ำต่ออีก เขาถือวิสาสะอุ้มคุณหนูสามขึ้นมาแบกไว้บนบ่า ท่ามกลางความตกใจของจื่อเหวินและปี้หลิน
ปี้เหยาดิ้นขัดขืนทันที นางก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหวังหนานโหวจะเป็นคนดื้อรั้นเช่นนี้ “ปล่อยนะ ท่านโหวจะทำอะไรเจ้าคะ”
บุรุษองอาจเดินก้าวยาว ๆ ออกจากตำหนักจวิ้นอ๋องไปในทันที โดยที่จื่อเหวินแล้วก็ปี้หลินก็วิ่งตามมาไม่ทัน
ความหึงหวงและฤทธิ์สุราครอบงำจิตใจหวังหนานโหวโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด คิดเพียงแค่ว่าคุณหนูสามเป็นคู่หมั้นของตนเอง นางไม่มีสิทธิ์ส่งยิ้มให้ใครหรือมีชายใดมาหมายปอง
“ปล่อยข้านะ หวังหนานโหว ท่านจะทำอะไรน่ะ” ปี้เหยาเกิดความกลัวเพราะนางไม่เคยพบเห็นด้านนี้ของหวังหนานโหวมาก่อน
“จางรั่วรีบออกรถ” แน่นอนว่าเขาแบกปี้เหยาขึ้นรถม้าของจวนโหว
จื่อเหวินกับปี้หลินติดตามออกมาพยายามห้ามไม่ให้ท่านโหวทำเช่นนี้แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า ปี้เหยาเป็นภรรยาข้า และนั่นก็ทำให้ทั้งคุณชายใหญ่และคุณหนูรองพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ไม่นานเรื่องทั้งหมดก็ไปถึงหูเยี่ยอ๋องกับจวิ้นอ๋องที่ประทับอยู่ในตำหนัก
แต่จวนแม่ทัพไม่ต้องการให้เรื่องราวบานปลายจึงตอบไปแค่ว่าหวังหนานโหวและปี้เหยาทะเลาะกันนิดหน่อย ตอนนี้ปรับความเข้าใจกันแล้วเลยไหว้วานให้หวังหนานโหวไปส่งปี้เหยาที่จวนแม่ทัพ
ภายในรถม้า ปี้เหยาพยายามหาทางลงและบอกให้จางรั่วจอดรถแต่หวังหนานโหวไม่ยินยอม ทั้งสองทะเลาะกันจนเสียงดังสนั่นไปหมด
“ท่านโหวฟั่นเฟือนไปแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อขัดขืนไม่ได้ก็นั่งนิ่ง ๆ ให้หวังหนานโหวกอดเอาไว้
“เจ้า...ชอบจวิ้นอ๋องแล้วก็เยี่ยอ๋องแล้วใช่หรือไม่” ทว่าคนที่เมามายคนนั้นกลับพูดจาเลอะเลือนออกมาทำให้ปี้เหยาต้องทอดถอนลมหายใจ
“ถ้าข้าชอบพวกเขาแล้ว ท่านโหวจะปล่อยข้าไปใช่หรือไม่เจ้าคะ” แน่นอนว่านางไม่มีวันคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว
คำตอบของปี้เหยายิ่งทำให้หวังหนานโหวโกรธเคือง เขาดันร่างบางให้ไปชิดกำแพงด้านหนึ่งแล้วใช้ร่างกายแข็งแรงของตนกักขังคนดื้อรั้นเอาไว้