ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกแรง พยักหน้าตอบรับส่งๆ “มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้คนเป็นแม่ยิ้มออก นางถอนลมหายใจอย่าง โล่งอก รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นไม้ตายสุดท้าย ป้องเขตจะไม่มีวันปฏิเสธแม้ว่าเขา จะคัดค้านอย่างไร
คนที่ยืนแอบฟังอยู่หลังกำแพงค่อยๆ ขยับตัวถอยห่าง ยกหลังมือขึ้นปาดคราบน้ำตาบนพวงแก้ม หันกลับไปจัดการหน้าที่ของตัวเองที่ทำค้างเอาไว้ต่อ ปรับ สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แต่ถ้าหากถามถึงหัวใจมันก็ยังปวดหนึบกับคำพูดร้ายๆ ของเขา
นางวรากุลแตะข้อศอกของลูกชายเบาๆ “ขอบใจที่เข้าใจแม่นะ ตอนนี้เธออยู่หลังบ้าน ไปทำความรู้จักกับเธอสักหน่อย บางทีป้องอาจจะตกหลุมรักจนอยากแต่งงานกับเธอขึ้นมาจริงๆ ก็ได้” นางวรากุลพยายามบอก เพราะแอบรู้มาบ้างว่าลูกชายรู้สึกดีกับหญิงสาวไม่น้อย
หากแต่ความโกรธที่ชายหนุ่มมีทำให้เขาไม่คล้อยตาม เขาแทบไม่อยากรับรู้เรื่องราวอะไรของเธอทั้งสิ้น ยิ่งเมื่อได้ยินว่าเธออยู่ในบ้านเพื่อเตรียมตัวจะทำความรู้จักกับเขา ชายหนุ่มก็ยิ่งชักสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจขึ้นมา ความรู้สึกที่ถูกยัดเยียดยิ่งทำให้เขาสร้างกำแพงต่อต้านมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่คุณแม่ลงทุนนัดมาเจอผมเลยเหรอครับ” เขาหันมาพูดกับมารดา ก่อนที่จะเพิ่มน้ำเสียงในประโยคหลังให้หนักมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตั้งใจอยากให้อีกคน ได้ยิน
“ผู้หญิงไร้ยางอายแบบนั้น ผมไม่เสียเวลาไปทำความรู้จักแน่นอน เชิญ คุณแม่ไปให้เธอเอาอกเอาใจพะเน้าพะนอตามสบายเถอะครับ”
นางวรากุลรีบตบไหล่ลูกชายเตือนสติ ส่งสัญญาณบอกให้เขาพูดเบาๆ และเขาก็พูดเบาลงจริงๆ
“ผมกลับกรุงเทพฯ เลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับยกมือไหว้ทำความเคารพมารดา ไม่ลืมหยิบถุงขนมไทยที่ร้านศกุนตลากลับไปด้วย
“ขนมนี่คุณแม่คงไม่ชอบรับประทาน ผมเอากลับไปด้วยก็แล้วกัน เจอกันวันแต่งงานครับ ผมจะทำเพื่อคุณแม่สักครั้ง” เจ้าของร่างสูงหยิบถุงขนมและหมุนตัวกลับ หากแต่นางวรากุลก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวป้อง!”
“อย่าเสียเวลาอีกเลยครับ ที่ผมยอมขนาดนี้เพราะเห็นแก่หน้าคุณแม่”
“แต่ป้องกำลังเสียมารยาทกับแขก แม่ไม่คิดว่าลูกจะเป็นคนอย่างนี้ไปได้”
“ผมไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแขก ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นมีเกียรติ ผู้หญิงที่เอาตัวเข้าแลกเพื่อผลประโยชน์บางอย่างไม่มีทางที่จะเป็นผู้หญิงดี”
“ป้องเขต!” เสียงของนางวรากุลปรามลูกชายอีกครั้ง
“ผมพูดผิดตรงไหน คนเราไม่ได้รักกัน ไม่มีความรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน จะยอมแต่งงานและอุ้มท้องลูกให้อีกฝ่ายโดยที่ไม่มีอะไรตอบแทนคงจะเป็นเรื่องลิเกไปหน่อย หากไม่มีเรื่องเงินหรือผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนไหนจะเสียสละตัวเองมาทำเรื่องแบบนี้”
น้ำตาของศกุนตลาไหลลงมาอาบแก้มอีกรอบ เธอรีบใช้หลังมือเช็ดออกและทำสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว ให้มันไหลย้อนกลับเข้าสู่ภายในอาบรดหัวใจของเธอ เตือนใจให้เธออยู่ในกรอบแห่งความดีเพื่อลบคำสบประมาทของเขา
เธอต้องยอมก้มหน้ารับคำตราหน้าจากผู้ชายคนหนึ่งว่าเป็นผู้หญิงไร้ยางอายเพื่อแลกกับคำว่าลูกกตัญญู และทดแทนบุญคุณแก่ผู้มีพระคุณ
ศกุนตลาเปิดฝาดูขนมในลังถึงอีกครั้งก่อนจะเดินกลับไปที่ศาลาริมน้ำที่ห่างออกไปจากตัวบ้าน เธอไม่อยากรับรู้ข้อความเชือดเฉือนทำร้ายหัวใจจากเขาอีกต่อไป บางทีการไม่คิดและไม่รับรู้จะเป็นผลดีที่สุด
หญิงสาวผินหน้าออกไปมองผืนน้ำที่ทอดยาวคดเคี้ยว น้ำตาของเธอเริ่มเอ่อออกมาอีกครั้งจนหญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อกักไม่ให้มันไหลออกมามากกว่าเดิม เมฆสีขาวลอยห่างออกไปสลับกับท้องฟ้าสีคราม อีกครั้งของความอ่อนแอ เธอจำได้ว่าร้องไห้หนักครั้งสุดท้ายเมื่อตอนบิดาเสีย หลังจากนั้นเธอก็ต้องทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้มารดา หากแต่วันนี้ความพ่ายแพ้อ่อนแรงหวนกลับมาหาเธออีกครั้ง
ลมพัดเอื่อยเย็นสบายและบรรยากาศรอบข้างไม่สามารถดึงความสนใจของเธอให้คลายจากความเศร้าหมอง เธอปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมา
นางวรากุลยืนมองอย่างหนักใจ อาการนิ่งงันเหม่อลอยของหญิงสาวที่นั่งอยู่ท่าน้ำนานนับครึ่งชั่วโมงโดยไม่ละสายตาไปไหน เธอคงได้ยินอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อย
นางวรากุลเดินเข้าไปหาหลังจากปล่อยเวลาให้ศกุนตลาสักพัก นางปล่อยให้เธออยู่คนเดียวเพียงลำพัง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวก็หันมาส่งยิ้มให้นางก่อน รอยยิ้มที่ทำให้นางคลายกังวลลงไป แม้จะรู้สึกผิดติดค้างในใจลึกๆ ก็ตาม
“คุณป้าขา ตลาต้องขอโทษนะคะ พอดีว่าตลามีลูกค้าด่วนต้องรีบไปพบ ไม่สามารถอยู่รอพี่ป้องเขตได้” หญิงสาวบอกเสียงใส ใบหน้าของเธอยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเพราะไม่อยากให้ผู้สูงวัยกว่าต้องเป็นกังวล ลำพังแค่เรื่องลูกชายของท่านเมื่อครู่ก็ทำให้คนเป็นแม่ทุกข์ใจไม่น้อย
นางวรากุลยิ้มเก้อไปเล็กน้อยในตอนแรก แต่ทางออกของศกุนตลาก็ทำให้นางสบายใจขึ้น เมื่อเธอแกล้งที่จะทำเป็นไม่รับรู้
“อย่างนั้นเหรอ ไม่อยู่รอพบพี่เขาก่อนจริงๆ เหรอลูก” นางวรากุลถามไม่เต็มเสียงนัก
“หนูต้องขอโทษจริงๆ ค่ะคุณป้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าขอโทษหนูด้วยนะลูก”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับพร้อมกับพนมมือไหว้ผู้สูงวัย “ขอตัวเลยนะคะ ตลาจัดขนมช่อม่วงใส่จานพร้อมกับเครื่องเคียงไว้ในห้องครัวนะคะ”
“ขอบใจมากลูก เสียดายที่ไม่ได้เจอพี่เขา”
หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้จะเป็นยิ้มที่ไม่เต็มปากมากนักเพราะเธอกำลังฝืนตัวเอง เมื่อนึกถึงชายหนุ่มและคำพูดของเขาเมื่อครู่
“ไว้เจอกันวันแต่งงาน น่าจะเซอร์ไพรส์ดีนะคะ อาจจะได้เห็นเจ้าบ่าวตะลึงเมื่อเห็นเจ้าสาว หรือไม่เจ้าสาวอาจจะเพ้อฝันตาค้างเมื่อเห็นเจ้าบ่าว” หญิงสาวบอกติดตลกให้ผู้สูงวัยกว่าได้ขำ แต่นางวรากุลไม่รู้สึกขำตาม
นางวรากุลยิ้มให้หญิงสาวไม่เต็มปาก
“ป้าคิดว่าผู้ชายทุกคนจะต้องตะลึง เมื่อได้เห็นหนูตลาในชุดแต่งงาน”
“ขอบคุณค่ะ ตลาต้องไปแล้วจริงๆ” หญิงสาวบอกอีกครั้งพร้อมกับหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาคล้องเอาไว้ที่บ่า ใช้มืออีกข้างหนึ่งกระชับสายเอาไว้แนบกับลำตัว ก่อนจะพนมมือไหว้ผู้สูงวัยเป็นการบอกลาอีกครั้ง
นางวรากุลยิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินออกไป หลังจากที่หญิงสาวก้าวพ้นออกไปจากตรงนั้น รอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆ หุบลงจนกลายเป็นเรียบเฉย คำพูดของชายหนุ่มถูกจารึกเอาไว้ในหัวใจของเธอ ไม่สามารถลบเลือนออกไปได้ง่ายๆ
ลานกว้างของบ้านริมแม่น้ำย่านเมืองนนท์ ถูกเนรมิตให้เป็นงานแต่งงานแบบไทยล้านนาอย่างอลังการ เพราะพื้นเพเดิมของนางวรากุลเป็นคนเชียงราย นางชื่นชอบผ้าไหมพื้นเมืองและงานปักดิ้นล้านนาเป็นที่สุด กระทั่งของตกแต่งในงานบางอย่างก็ถูกสั่งตรงมาจากเมืองเหนือ
ศกุนตลาไม่คิดว่างานแต่งงานหลอกๆ ของเธอจะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เธอไม่รู้รายละเอียดมาก่อน เพราะหน้าที่ของเธอมีเพียงลองชุดแต่งงานที่ทางร้านยกมาให้เลือกถึงที่ร้านขนมไทยศกุนตลา
เพียงเวลาไม่กี่วันหญิงสาวก็ได้เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันหลายอย่าง ทั้งเรื่องราวของความหม่นหมองเมื่อหลายวันที่ผ่านมา แต่ความใส่ใจของนางวรากุลทำให้เธอยิ้มได้ ยิ่งได้เห็นใบหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองคนอิ่มเอิบยิ้มแย้มที่บอกได้ถึงความสุขที่ส่งผ่านทางแววตา เธอก็พลอยยิ้มออกมาด้วย
หญิงสาวจะพยายามทำความเข้าใจและหาเหตุผลมาบอกตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้มากไปกว่าการสร้างภาพให้เหมือนงานแต่งงานจริงๆ ไม่ให้แขกที่มาในงานจับได้ และผู้ใหญ่ทั้งสองคนคงจะทำแบบนั้น