ปี๊บ! ปี๊บ!
เสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้น ทำให้ความคิดในหัวทั้งหมดหยุดลง รีบเปิดกระเป๋าสะพายควานหาโทรศัพท์ในทันที
'เป็นอะไรหรือเปล่า ห่วงนะ :('
ข้อความสั้นๆ ที่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงของปูไท ทำฉันหลุดอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบรรจงพิมพ์ข้อความตอบกลับไปสั้นๆ
'สบายมาก แค่นี้เอง เย็นนี้ตั้งใจทำงานนะ :)'
บางทีความเครียดหรือความกังวลของเรา มันก็ถูกปัดเป่าออกไปได้ง่ายๆ ด้วยคำพูดน่ารักๆ ที่แสดงถึงความห่วงใยได้เหมือนกันนะ
ฉันกับปูไท เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย เธอคงเป็นเพื่อนคนเดียวที่จริงใจกับฉันมากที่สุดแล้ว ทำให้เราสองคนในตอนนี้สามารถเข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้โดยผ่านสายตา
นี่แหละ... ที่ฉันเรียกว่าเพื่อน
เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ ตั้งแต่ที่ฉันอาบน้ำสระผมจนเสร็จแล้วเผลอหลับไปตลอดช่วงบ่าย รู้ตัวอีกทีภายในห้องนอนส่วนตัวของเย็นฉ่ำไปด้วยเครื่องปรับอากาศที่เปิดแรงจนสุด
ฉันค่อยๆ เขยิบตัวลุกขึ้นนั่งในอาการงัวเงีย เหลือบมองนาฬิกาแขวนภายในห้องนอนก่อนจะพบว่าเวลาในตอนนี้ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว -_- น่าแปลกที่ฉันนอนหลับอุตุได้ยาวขนาดนี้ และสิ่งแรกที่ฉันจะทำคือการคว้าโทรศัพท์มือถือเพื่อกดเบอร์โทรไปเช็คปูไทว่ายัยนั่นกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยหรือยัง ทว่า...
ที่หน้าจอโทรศัพท์กลับปรากฏเบอร์แปลกๆ ที่ฉันไม่รู้จักขึ้นเตือนว่าไม่ได้รับเกือบห้าสิบสาย ทำเอาคิ้วของฉันขมวดเป็นปมด้วยความสงสัยทันที
ปี๊บ! ปี๊บ!
เสียงข้อความที่ดังขึ้น ทำฉันสะดุ้งเฮือกเบาๆ ด้วยความตกใจ เพราะเบอร์ที่ส่งเข้ามานั้นไม่ใช่เบอร์ใคร แต่กลับเป็นเบอร์แปลกที่โทรมาแล้วฉันไม่ได้รับสายนับห้าสิบสายนั่นเอง
'รับสายพี่สิคะน้องอัญ อย่าให้พี่หล่อต้องโกรธนะคะ! :('
แทนที่จะคลายสงสัยเพราะเนื้อหาของข้อความกลับตรงกันข้าม เพราะฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองคุ้นกับคำพูดหรือวิธีการพิมพ์แบบนี้มาก่อนเลย
'คุณเป็นใคร??'
ข้อความสั้นๆ ง่ายๆ ถูกพิมพ์กลับไปแบบไม่รีรอเพื่อให้หายคาใจ ฉันต้องรู้ให้ได้
'พี่เป็นคนที่รักน้องอัญสุดหัวใจเลยค่ะ รับสายพี่นะคะ :)'
ไวเสียยิ่งกว่าไว ข้อความของเบอร์แปลกหน้าส่งตอบกลับมาแบบทันด่วน โดยที่ฉันยังไม่ทนได้ลดโทรศัพท์ในมือลง จนรู้สึกผงะไปชั่วขณะหนึ่ง... และในขณะที่กำลังจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอยู่นั่นเอง โทรศัพท์ในมือก็เริ่มสั่นพร้อมเสียง ที่สำคัญยังขึ้นโชว์เบอร์ที่หน้าจอเป็นเบอร์แปลกนั่นอีกต่างหาก
ตายล่ะหว่ายัยอัญ… เจอโรคจิตเข้าแล้วไงล่ะ -_-^^
ฉันสูดหายใจเข้าจนลึก ตัดสินใจกดรับสายเบอร์แปลกหน้านั่นทันที และในขณะที่กำลังจะอ้าปากด่าปลายสายไปนั่นเอง
[...ที่เฝ้าแต่โทร โทรไปหาเธอเรื่อยเปื่อย เหนื่อยก็ยอมก็ใจชอบเธอไม่เบา แต่ใจเจ้ากรรมไม่รู้เลยว่าเธอไม่ชอบเรา ไม่สนและไม่เอา ไม่อยากคุย…]
หะ...ห๊า????
[ก็เลยมาร้องเพลงบอก แค่อยากให้เธอนั้นเข้าใจ ไอ้สิ่งที่ฉันทำลงไปใจสั่งมา อย่าโกรธเลยนะคนดี ยกโทษให้ฉันนะแก้วตา คราวหลังจะไม่มาจะไม่โทร ~ ~]
อะ...อะไรของเขาน่ะ
จะว่าไป...ทำไมปลายสายเสียงคุ้นหูจังเลยแฮะ! -_-?
[...แต่มีหนึ่งคำที่ยังค้างข้างใน คำพูดลูกผู้ชาย ฉันชอบเธอ โอ้วววว เย่ เย้ ~ ~ โว้วว โว่ โว้ พี่ภูรักน้องอัญชันนะครับ~]
"O_____O นาย!!!!!!!" ฉันอุทานลั่นห้องด้วยความตกใจ ทันทีที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เริ่มสงสัยมันคลี่คลายออกมา "พี่เอาเบอร์ฉันมาได้ ยังไง?!"
"เรื่องนั้นไม่ต้องรู้ แต่รับรองพี่จะไม่มีชู้แน่นอนครับที่รัก..."
ฉันรีบกดตัดสายพี่ภูทันทีโดยไม่รอฟังให้เขาพูดจบ -__- เพราะส่วนตัวแล้ว ฉันไม่ได้อยากจะเสวนาอะไรกับผู้ชายอย่างเขาอยู่แล้ว ถ้าถามแล้วไม่ได้คำตอบ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทนฟังอะไรไร้สาระแบบนั้นอีกทำไม
แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้นเมื่อพี่ภูไม่หยุดยั้งความพยายาม ยังคงกระหน่ำโทรหาฉันตลอดเวลา จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบห้าทุ่มครึ่ง
"ไม่รับสายสักหน่อยหรือคะหนูอัญ" ป้าแจ่มเอ่ยปากถามขณะยืนเฝ้าฉันนั่งกินนมรองท้องก่อน ท่าทางป้าแกคงจะสังเกตเห็นการสั่นของโทรศัพท์มือถือของฉันมานานแล้วด้วย
"ปล่อยไว้แบบนี้แหละค่ะป้า ไม่อยากจะรับให้เสียเวลาเท่าไหร่ -_-"
"ป้าว่าคนรอสายเขาคงอยากจะคุยกับหนูอัญมากแน่ๆ ทะเลาะกันมาหรือคะ?"
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เขาเป็นคนน่ารำคาญคนนึง ที่อัญไม่อยากจะคุยด้วยเท่าไหร่" ฉันรีบคว่ำหน้าจอโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะอาหาร พร้อมทั้งชำเลืองมองป้าแจ่มเล็กน้อย "พ่อกับแม่ยังไม่กลับมาเหรอคะ?"
"คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงอยู่ประชุมดึกที่บริษัท คงจะกลับมาดึกๆ หน่อย"
ฉันพยักหน้ารับคำเบาๆ ก่อนจะพูดโต้ป้าแจ่มกลับไปบ้าง
"งั้นป้าแจ่มไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวอัญดื่มนมอีกสักพักก็จะขึ้นนอนแล้วพรุ่งนี้มีเรียนเช้า"
"งั้นป้าไปนอนก่อนนะคะ" ป้าแจ่มตอบด้วยท่าทางอิดโรย ก่อนจะขอตัวเดินกลับไปยังห้องพักของตัวเองซึ่งเป็นห้องริมสุดใต้บันได ทำให้ภายให้ห้องกินข้าวถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
ที่สำคัญดูเหมือนอีตาพี่ภูผาบ้าบออะไรนั่น ดูจะละเลิกความพยายามในการโทรหาฉันแล้วด้วยสิ
ทำไมฉันถึงรู้น่ะเหรอ?
ก็สังเกตจากการสั่นของโทรศัพท์มือถือที่เงียบหายไปได้ ครู่สั้นๆ แล้วยังไงล่ะ
เวลาผ่านไปครู่สั้นๆ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ฉันดื่มนมในแก้วจนหมด ที่ถนนหน้าบ้านกลับมีเสียงเร่งเครื่องยนต์เสียงดังกระหึ่มไม่หยุด คล้ายกับไม่เกรงใจชาวบ้านละแวกนั้นเลย
ใครนะ มาเบิ้ลรถตอนดึกๆ แบบนี้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย -_-++
'ก็เลยมาร้องเพลงบอก แค่อยากให้เธอนั้นเข้าใจ ไอ้สิ่งที่พี่ทำลงไปใจสั่งมา อย่าโกรธเลยนะคนดี ยกโทษให้ฉันนะแก้วตา คราวหลังจะไม่มาจะไม่โทร โว้ววว เย้~'
เสียงร้องเพลง ไม่สิ ต้องเรียกว่าเสียงโหยหวนเพลงที่ฟังแล้วคุ้นหู ทำฉันเด้งตัวผึงลุกจากเก้าอี้ ตรงปรี่ไปที่หน้าต่างห้องครัวเพื่อดูสถานการณ์ด้านนอกที่เกิดขึ้นด้วยความอยากรู้ทันที
รถสปอร์ตเปิดประทุนสีดำพร้อมด้วยผู้ชายวัยรุ่นสภาพคล้ายคนเมากำลังยืนแหกปาก โห่ร้องเพลงงี่เง่าแบบไม่เกรงใจผู้คนรอบๆ ตัว ที่สำคัญ ไอ้หัวทองที่มันกำลังถือโทรโข่งแหกปากอยู่นั่นมันคือไอ้พี่ภูผาบ้าบอไม่ใช่เหรอ O_O
"น้องอัญชันคร้าบบบ เพื่อนพี่มาง้อน้องแล้วนะ ทำตัวเป็นเมียที่ดีของเพื่อนพี่หน่อยเร็ววววว~"
เสียงตะโกนคล้ายกับเป็นหน่วยเสริมทัพ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนักจนต้องรีบคว้าโทรศัพท์มือถือกดเบอร์ที่ไม่อยากโทรออกมากที่สุด เพื่อหยุดไอ้พวกหน่วยก่อกวนพวกนั้นให้หุบปากลงเสียที
[ว่าไงคะน้องอัญชัน ยอมยกโทษให้พี่ภูแล้วใช่ไหมคะ?]
"พวกพี่ทำบ้าอะไรกัน นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วห้ะ! ทำไมไม่รู้จักเกรงใจชาวบ้านแถวนี้กันบ้างเลย!!!"
ฉันโวยวายเสียงดัง โดยที่สายตายังคงเหลือบมองพวกกลุ่มรุ่นพี่ด้านนอกประตูบ้านแบบไม่ละสายตา
[กี่โมงพี่ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ พี่เลิฟยูคนเดียวนะครับ]
โธ่… ไอ้เสี่ยวเอ้ย -_-
[สรุปน้องอัญจะยกโทษให้พี่ได้หรือยังคะ?]
"ยกโทษ? ยกโทษอะไร?" ฉันแย้งเสียงแข็ง
[เรื่องที่พี่แกล้งน้องอัญชันที่ร้านกาแฟมหา’ลัยวันนี้ยังไงล่ะ ไม่โกรธพี่นะคะคนดี]
"พูดง่ายดีนะคะพี่ภูผา อยู่ๆ ก็คิดจะมาขอโทษ ทั้งๆ ที่เวลาทำเรื่องต่ำๆ สันดานแย่ๆ กับผู้หญิงก็ไม่รู้จักคิด”
[พี่ภูผิดไปแล้ว... น้องอัญชันอยากได้อะไรบอกพี่ภูสิคะ พี่จะหามาให้น้องอัญชันเอง!]
อะไรของมันนะไอ้ผู้ชายคนนี้ -_-
[เพื่อนพี่มันรวยนะครับน้อง อยากได้อะไรขอให้บอกมัน แม้แต่โลกใบนี้มันก็ซื้อมาถวายน้องได้] น้ำเสียงกวนๆ ที่สอดแทรกมาจากปลายสาย ทำให้ฉันเผลอเบะปากอย่างลืมตัว
[น้องอยากได้บ้าน อยากได้รถ คอนโดฯใหม่ หรืออยากไปเที่ยวต่างประเทศ ขอให้บอกพี่นะคะคนดี พี่จะหามาให้เอง]
"พี่คิดว่าฉันจะอยากได้ไอ้ของไร้สาระที่พี่เสนอมางั้นเหรอ?"
[โธ่น้อง เชื่อเพื่อนพี่สิครับ เพื่อนพี่มันจริงใจนะ] น้ำเสียงกวนๆ เสียงเดิมแทรกขึ้นมาอีกครั้ง เหอะ! โปรโมทเพื่อนกันน่าดู -_- ไอ้พวกทุเรศ
[เชื่อพี่นะคะน้องอัญชัน เรื่องแบบนี้พี่ไม่โกหกน้องอัญชันหรอก... มีสิ่งหนึ่งที่พี่อยากให้น้องอัญชันรู้ไว้ สำหรับน้องอัญชันแล้วพี่ภูสามารถให้ได้ทุกอย่าง เพราะว่า…]
“…”
ฉันเงียบเสียงลงเล็กน้อยเพื่อรอฟังสิ่งที่คนปลายสายพยายามจะบอก
[คนมันรวยครับ... ที่รัก]
"ไปตายซะ!! ไอ้พวกโรคจิต!!! ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ!!! ฉันไม่ยกโทษอะไรให้ใครทั้งนั้น โดยเฉพาะนายไอ้พี่ภู ผมสีทองนั่นเกะกะลูกตา ฉันไม่อยากเห็นมัน!!!!!"
ฉันโวยวายอัดใส่ปลายสายแล้วรีบตัดสายทิ้งพร้อมกับรีบเดินไปกดปิดสวิตช์ไฟในครัว ก่อนจะจ้ำเท้าเดินขึ้นห้องนอนทั้งๆ อย่างนั้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดคล้ายกับคนเมนส์มา -_-^^
ไอ้พวกเวรตะไล ที่แท้ก็ตั้งใจจะก่อกวนความเป็นอยู่ของฉันนี่เอง ฉันไม่น่าเสียเวลาโทรกลับไปให้เปลืองเงินเลย คนมันรวยงั้นเหรอ เหอะ! นี่เหรอคนฮอตประจำมหาวิทยาลัย ต้องเรียกว่าพวกวิปริตสิถึงจะถูก -_-
วันต่อมา...
09.40น.
ความลับน่ะ ถ้ามันไม่เป็นความลับมันก็จะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่ควรจะฝืนปกปิดความจริงของตัวเอง... นี่คือสิ่งที่ฉันคิดได้หลังจากที่โดนพี่ภูผากระชากหน้ากากเผาฉันภายในร้านกาแฟของมหาวิทยาลัยเมื่อวาน
แม้จะคิดได้แบบนี้ก็ตามเถอะ แต่ว่าฉันก็ขอเพียงเรื่องเดียวที่อยากเก็บเป็นความลับตลอดไป นั่นคือเรื่องพรหมจรรย์ที่เสียไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน
"เธอๆ ดูนั่นสิ"
เสียงซุบซิบของนักศึกษาสาวเพื่อนร่วมคลาสของฉันดังขึ้นทันทีที่ฉันปรากฏตัวภายในคลาสเรียนที่ตอนนี้จำนวนนักศึกษายังไม่ค่อยมากนัก
ยิ่งวันนี้เมนส์ที่เคยทะลักเป็นเขื่อนแตกหยุดแล้วด้วย มันก็กลายเป็นฤกษ์งามยามดีที่ฉันจะใส่กระโปรงและเสื้อนักศึกษาตัวจิ๋วตามแฟชั่นแบบนักศึกษาหญิงคนอื่นๆ ฉันจงใจสะบัดปลายผมสวยที่ดัดลอนเป็นอย่างดี เดินผ่านกลุ่มซุบซิบไปคล้ายกับไม่สนใจเสียงพวกหล่อนนัก เพื่อตรงไปหาปูไทเพื่อนรักที่กำลังนั่งยิ้มรับฉันอยู่ไม่ไกล
"ฉันว่าลุคสวยเปรี้ยวปกติๆ ของเธอแบบนี้ ดูดีกว่ายัยเฉิ่ม 2 ปีที่แล้วอีกนะ" เธอเอ่ยปากทักทายฉันด้วยน้ำเสียงกลั้นขำ
"ฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วล่ะ คิดว่านะ" ฉันเอ่ยตอบโต้กลับไปแบบเสียไม่ได้ ก่อนจะเอี้ยวตัวนั่งลงข้างๆ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเพื่อนๆ ในห้อง
ยัยเฉิ่มที่ฉันพยายามสร้างภาพลักษณ์มาตลอดเกือบ 3 ปี ตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ กับภาพลักษณ์ของฉันที่ค่อนข้างแต่งตัวจัด มันคงดูแปลกตาเพื่อนร่วมคลาสเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเอาแต่ซุบซิบพูดถึงฉันแถมยังจ้องแบบไม่วางตาจนฉันชักเริ่มรำคาญ
"มองอะไรกัน! น่ารำคาญจริงๆ!" ฉันคำรามกรอดด้วยความหงุดหงิด ทำเอาเสียงซุบซิบนินทาเหล่านั้นเงียบลงไปได้ชั่วขณะ
"บทจะเรียบร้อยก็เรียบร้อยเชียว บทจะแรดก็แรดเสียไม่ลืมหูลืมตาเลยนะจ๊ะอัญชัน"
คำพูดชวนหงุดหงิดที่ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของคลาสเรียน ทำฉันกับปูไทหันขวับมองเจ้าของเสียงด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพบเข้ากับยัยปากแดงสุดสวยในคลาส "เมื่อวานได้ข่าวว่าพี่ภูผาเข้าไปคุยด้วยที่ร้านกาแฟนี่...พอวันนี้เลยกะแต่งตัวอ่อยให้พี่ภูเข้ามาคุยด้วยใหม่เหรอจ๊ะ?" ยัยปากแดงค่อนว่าฉันอย่างหมั่นไส้ริมฝีปากสวยเหยียดยิ้มอย่างดูแคลน
"มาเรียนแต่ดันไม่เรียน เอาแต่นั่งแซะนั่งแขวะนั่งว่าชาวบ้าน ฉันว่าเธอกลับบ้านไปคัดสุนัขออกจากปากหน่อยก็ดีนะ" ฉันยิ้มรับ เอ่ยตำหนิเธอกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า ทำเอาคนฟังลุกพรวดจากที่นั่งด้วยความโกรธจัด
“เธอ!”
"ฉันทำไมเหรอ? ถ้าคิดจะตบฉันขอบายนะ พอดีว่าทางบ้านสอนให้พูด ให้คิด ไม่ใช่ทำนิสัยต่ำๆ แบบพวกไร้การศึกษา”
"หนอยยยย" ยัยปากแดงพุ่งตัวปราดเข้ามาหาฉัน ซึ่งแน่นอน ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบให้ยัยนั่นฝ่ายเดียว รีบพาตัวเองลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อตั้งท่ารอ ท่ามกลางเสียงซุบซิบฮือฮาและสายตาของเพื่อนร่วมคลาสนับสิบๆ คน
"หยุดเถอะค่ะ จะเลาะกันไปให้ได้อะไร" ปูไทท้วงขึ้นเสียงดังขัดสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
"ก็ยัยนี่มันปากดี คิดว่าแต่งตัวจัดขึ้นมาหน่อยแล้วจะปากดีกับใครก็ได้หรือไง?" ยัยปากแดงโต้กลับปูไทแบบไม่พอใจ และใช้สายตาสวยจิกฉันแบบไม่วางตา
"มันก็เธอเองไม่ใช่เหรอที่เริ่มแขวะฉัน หึ" ฉันย้อนกลับนิ่งๆ ด้วยสีหน้าไม่ต่างไปจากหล่อนสักเท่าไหร่นัก
"ก็เห็นแล้วมันหมั่นไส้ นี่คิดว่าสวยมากนักหรือไง?"
"แล้วยังไง? ไม่ชอบก็ไม่ตอบมอง เธอจะมองฉันทำไมไม่ทราบ!" ฉันแผดเสียงโต้กลับดังลั่น ทว่า… ในจังหวะเดียวกันนั่นเองกลับมีเสียงของใครอีกคนโต้กลับมาด้วยทำนองเพลง แถมเขายังเรียกจุดสนใจจากสายตาของเพื่อนร่วมคลาสฉันได้ดีอีกด้วย
"มอง...เธอสาวเธอสวยฉันจึงได้มอง หากเธอไม่สวยฉันจะไม่มอง หากเธอไม่แจ่มฉันจะไม่จ้อง ฉันจะไม่มองให้หัวใจเต้น ~"
-_- << หน้าฉัน
-O-^ << หน้ายัยปากแดง
ภูผาพร้อมด้วยช่อดอกกุหลาบสีแดงสดในมือ สร้างความตะลึงงันให้กับคนในคลาสเรียนที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเสียงฮือฮาเรื่องของฉันกับยัยปากแดง ตอนนี้ถูกกลบทับด้วยเสียงกรีดร้องเบาๆ ซึ่งเสียงกรีดร้องนั่นอาจจะไม่ใช่เพราะช่อกุหลาบในมือของพี่ภูผาที่พกติดตัวมาอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นเรือนผมสีทองแฟชั่น ที่ตอนนี้ถูกกลบทับด้วยสีดำสนิททั้งหัว
อะไรดลใจให้เขาทำผมสีปกติแบบนี้นะ…