ตอนที่ 2 ดินแดนทะเลทราย

3733 คำ
นกยักษ์บินลัดฟ้าข้ามทวีปมาจนถึงที่หมาย ณ สนามบินนานาชาติกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในเวลา 18 นาฬิกา หรือเกือบ 13 นาฬิกาตามเวลาในประเทศอียิปต์ ซึ่งช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 4-5 ชั่วโมง โดยไม่มีการแวะพักที่สนามบินใด รวมระยะเวลาในการเดินทางเกือบ 10 ชั่วโมง นับเป็นช่วงเวลายาวนานสำหรับสองสาวที่ยังไม่เคยเดินทางไกลด้วยเครื่องบินมาก่อน โดยเฉพาะเกสรี สาวน้อยคนเดียวของคณะผู้อาจหาญชี้นิ้วเลือกอาหารอียิปต์มารับประทานเป็นมื้อกลางวันบนเครื่องบิน “โอย ยังติดลิ้นอยู่เลยล่ะมิน” เธอหันไปบ่นกับเพื่อนสาวคนสนิท ระหว่างรอกระเป๋าสัมภาระที่กำลังโหลดจากใต้ท้องเครื่องบิน “ก็ฉันบอกแล้วว่าให้เลือกอาหารที่เราคุ้นๆ กันอยู่ เกดก็ไม่เชื่อ” มินตราส่ายหน้าให้เพื่อนอีกรอบ “แหม! ฉันก็อยากลองกินอาหารอียิปต์บ้างสิ อุตส่าห์ได้มาบ้านเมืองเขาทั้งที” “ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวทางสถานทูตเขาก็ทำให้กิน เผลอๆ จะทุกมื้อด้วยซ้ำ” ชนะชนซึ่งถือโอกาสมายืนอยู่ข้างๆ มินตราพูดขึ้นยิ้มๆ แต่เพราะคำพูดของเขานั่นเองที่ทำให้เกสรีแทบชักตาตั้ง “หา ! จะ... จะ... จริงหรือคะ!?” “ใจเย็นๆ จ้ะ ถึงจะเป็นอาหารต่างประเทศ แต่เขาก็จะพยายามทำให้รสชาติออกมาคล้ายอาหารไทย ทานง่าย ไม่เหมือนของดั้งเดิมหรอก” จตุรงค์ซึ่งสบโอกาสทำไม่รู้ไม่ชี้มายืนข้างเกสรีเช่นกัน ปลอบหญิงสาวที่ทำท่าจะลมจับขึ้นมาดื้อๆ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ปัญหาของเธอคนเดียว ยังไม่รวมถึงปัญหาที่คนทั้งคณะต้องประสบ “การสื่อสารของทางเรากับสถานทูตคงมีอะไรผิดพลาด เขาบอกว่าสถานทูตไทยแจ้งว่ามีนักโบราณคดีเดินทางมาแค่ 4 คน” ผอ.สำนักโบราณคดีควบตำแหน่งหัวหน้าคณะ เดินเข้ามาบอกทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด หลังการเจรจากับเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศอียิปต์เป็นที่ล้มเหลว “เดี๋ยวฉันจะลองไปพูดอีกแรงนะคะ” เจ๊แหม่มในฐานะรองหัวหน้าคณะ เดินจ้ำอ้าวไปหาเจ้าหน้าที่ พร้อมกับพยายามปั้นหน้านางยักษ์ให้กลายเป็นใบหน้าของนางสิบสอง แต่ก็ต้องเดินกลับมาด้วยใบหน้านางยักษ์ตามเดิม “เขาบอกว่ายังไงก็ไม่ได้ค่ะ ให้ตายเถอะ! นี่มันอะไรกันเนี่ย” “เดี๋ยวผมไปเคลียร์เองครับ ขอบัตรประชาชนกับบัตรประจำตัวข้าราชการของทุกคนด้วยครับ” ชนะชนพูดขึ้นเสียงขรึม ก่อนจะรับบัตรประจำตัวของทุกคนมา และเดินไปหาเจ้าหน้าที่ซึ่งปั้นหน้าบูดๆ รอรับอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้น... “หัวหน้าชนะชนพูดภาษาอาหรับได้ด้วยหรือคะเนี่ย!?” เกสรีทำตาโต ออกอาการตื่นเต้น เมื่อได้ยินเสียงพูดภาษาอาหรับโต้ตอบกันดังแว่วมาเข้าหู แทนที่จะเป็นภาษาอังกฤษ “ไม่ใช่แค่ภาษาอาหรับกับภาษาไทย แต่ทั้งภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ สำเนียงอเมริกัน ภาษาจีน แล้วก็ภาษาญี่ปุ่น ชนะชนพูดได้เหมือนเป็นเจ้าของภาษาเลยล่ะ” ผอ.สำนักโบราณคดีตอบด้วยความภาคภูมิใจแทนเจ้าตัว ยิ่งทำให้สองสาวรู้สึกทึ่งในตัวชายหนุ่ม “เป็นมนุษย์ 5 ภาษาที่หาตัวจับยากจริงๆ” เจ๊แหม่ม ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ยืนกอดอกมองชนะชนอย่างชื่นชม “ทีนี้คงหมดปัญหาเสียทีสินะ” จตุรงค์ยิ้มรับเพื่อนสนิทที่เดินกลับมา อันที่จริงแล้วเขาเองก็พูดภาษาอาหรับได้เหมือนกับชนะชน แต่ท่าท่งขรึมๆ ดูน่าเกรงขามของหมอนั่น คงเหมาะกับงานแบบนี้มากกว่า “เขาจะยึดบัตรประชาชนของเราไว้ก่อนนะครับ แล้วจะคืนให้เมื่อมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานทูตมายืนยัน แต่ตอนนี้ให้เราผ่านไปได้ครับ” ชนะชนส่งบัตรข้าราชการและพาสปอร์ตคืนให้ทุกคน รวมทั้งคืนหนังสือราชการระหว่างประเทศฉบับสำเนาที่เจ้าหน้าที่ยึดไว้ให้ ผอ.สำนักโบราณคดีด้วย แต่... ปัญหาของคนทั้งคณะก็ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ “รถของท่านเอกอัครราชทูตเกิดเสียกะทันหันน่ะครับ แล้วก็คิดว่าท่านที่เดินทางมามีแค่ 4 ท่านก็เลย... แหะๆ” เจ้าของสำเนียงสุพรรณบุรีกับความสูง 150 ซ.ม. ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาว คนรถประจำสถานทูตไทย ณ กรุงไคโร ยิ้มเจื่อนๆ ให้นักโบราณคดีทั้ง 6 ซึ่งต่างยืนตะลึงตัวแข็งค้างไปกับหน้าตารถยนต์ที่พวกเขาจะต้องนั่งอัดกันไปจนถึงสถานทูต ...มันเป็นรถรุ่นสมัยคุณยายยังสาว สภาพเข้าขั้นบุโรทั่ง สีแดงที่เคยส่องประกายสดใสหลงเหลือเพียงความหม่นหมองและซีดเซียว ไล่เป็นเฉดสีแดง เหลือง ส้มทั่วทั้งคัน ซ้ำยังแถมขี้สนิทไว้ตามจุดต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ จนน่ากลัวว่าจะแยกส่วนก่อนถึงที่หมาย “เอ่อ... มินตรากับเกสรีนั่งเบียดๆ กันที่เบาะหน้าแล้วกันนะจ๊ะ” เจ๊แหม่มจัดการแบ่งสันปันส่วนที่นั่ง ระหว่างที่คนอื่นๆ ยืนพูดไม่ออก “แล้วก็ข้างหลัง... จตุรงค์เข้าไปคนแรกนะ เพราะตัวเล็กกว่าใครนี่ เอ้า! เร็วๆ เข้า อย่าให้น้องเขาคอยนาน” “เอ่อ...ครับ” จตุรงค์รับคำตะกุกตะกัก และจำต้องทำตามคำสั่งเจ๊แหม่มอย่างเสียไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าตนต้องตกอยู่ในสภาพแบนเป็นกล้วยปิ้งหลังจากนี้ก็ตาม “เชิญ ผอ.วิบูลย์เข้าไปนั่งต่อเลยค่ะ” เจ๊แหม่มเจ้ากี้เจ้าการจัดคิวต่อ ขณะที่ป๋าวิบูลย์ผู้อำนวยการสำนักโบราณคดีจำต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดและเร่งด่วน “คนต่อไปชนะชนนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะนั่งติดกับประตูเอง” “เอ่อ... ครับๆ” ชนะชนซึ่งกำลังจัดกระเป๋าเดินทางทั้งหมดใส่ท้ายรถ แทนคนรถที่หมดความสามารถจะอัดสัมภาระเหล่านั้นลงไปได้ รับคำพร้อมกับปิดกระโปรงท้ายรถจนสะเทือนไปทั้งคัน “เบาๆ หน่อยก็ได้ครับคุณเพื่อน เดี๋ยวชิ้นส่วนก็หลุดออกมาหมดตั้งแต่ยังไม่ได้ไปหรอกครับ” จตุรงค์ร้องเตือนแทนคนอื่นๆ ที่พากันนั่งอกสั่นขวัญแขวน “ขอโทษครับ” ชนะชนยิ้มเจื่อนๆ ให้ทั้งจตุรงค์และป๋าวิบูลย์ ระหว่างเข้าไปนั่งที่เบาะหลังเป็นคนที่ 3 “จตุรงค์เขยิบไปอีกหน่อยสิจ๊ะ พี่ขึ้นได้ขาเดียวเองนะเนี่ย” เจ๊แหม่มซึ่งเข้าไปนั่งปิดท้ายร้องบอกจตุรงค์ “ครับๆ ดะ... ดะ... ได้ครับ” เจ้าของชื่อรีบทำตัวลีบเขยิบไปจนชิดประตู ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือที่ว่างไม่พอดีกับสรีระของเจ๊แหม่ม “อีกนิดจะาจตุรงค์ ยังปิดประตูไม่ได้เลย” “คะ... คะ... คร้าบ” สุดท้าย... นอกจากจตุรงค์จะต้องนั่งตัวลีบแล้ว ยังต้องเกาะเบาะหนังทะลุๆ ของคนขับ และจับประตูรถซึ่งมีแววว่าจะหลุดหายไประหว่าทางไว้สุดแรงเกิด ตลอดระยะเวลาการเดินทางกว่า 1 ชั่วโมง อันเนื่องมาจากการรักษาความเร็วระดับช้ากว่าเต่าคลานของคนรถ “ถึงแล้วล่ะครับสถานทูต ส่วนบ้านพักจะอยู่ด้านหลังครับผม” คนรถพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเลี้ยวรถเข้ามาภายในอาณาบริเวณสถานทูตไทย ซึ่งเป็นตึก 2 ชั้นขนาดไม่ใหญ่โตนัก ภายนอกทาสีขาวดูสะอาดตา และตามวงกบรวมทั้งบานประตูหน้าต่างมีการตกแต่งด้วยลายไทย บ่งบอกให้รู้ถึงสัญชาติของสถานทูตแห่งนี้ “ดูยังใหม่อยู่เลยนะ สร้างใหม่เหรอ ตอนมาครั้งก่อนจำได้ว่าไม่ใช่ตึกแบบนี้นี่” เจ๊แหม่มถามคนรถพลางกวาดตามองไปรอบๆ “ขออภัยจริงๆ ครับ ผมเองก็พึ่งมาอยู่ได้แค่ 2 ปี ตอนมามันก็เป็นแบบนี้แล้วล่ะครับ” “ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วย สถานทูตไทยหลังเก่าน่ะ” ป๋าวิบูลย์ ผอ.สำนักโบราณคดีพูดขึ้นบ้าง “ใช่ไหมล่ะคะ ดิฉันก็จำได้คับคล้ายคับคลาว่าไม่ใช่” เจ๊แหม่มยังคงหันซ้ายหันขวาสำรวจสถานที่ กระทั่งรถค่อยๆ คลานมาจอดสนิทตรงหน้าบ้านพักเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ “กำลังรออยู่เลยล่ะค่ะ เชิญค่ะๆ มากันเหนื่อยๆ เชิญพักผ่อนกันก่อนนะคะ” คุณหญิงอัญชัน ภรรยาเอกอัครราชทูตในชุดผ้าไหมสีคราม ยืนยิ้มต้อนรับอยู่หน้าบ้าน 2 ชั้นหลังกะทัดรัด และแม้จะเป็นทรงกึ่งตะวันตก แต่ลายฉลุของเชิงชายไม้รอบตัวบ้าน รวมทั้งบานประตูหน้าต่างก็ยังเป็นลวดลายแบบไทยๆ “ขอบคุณมากครับ” ป๋าวิบูลย์ ผอ.สำนักโบราณคดียิ้มขอบคุณ ก่อนจะเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก ขณะที่เจ๊แหม่มยังคงยืนมองสำรวจไปรอบๆ บริเวณซึ่งมีต้นไม้ดอกไม้ปลูกอยู่ร่มรื่น “สร้างใหม่ทั้งหมดเลยสินะคะเนี่ย ดูสวยกว่าเดิมเยอะเลย” “ค่ะ พอดีว่าที่ดินตรงสถานทูตเก่า ทางการเขาจะเอาไปสร้างพิพิธภัณฑ์น่ะค่ะ” คุณหญิงอัญชันตอบคำถามเจ๊แหม่ม แล้วหันไปพูดกับคนรถ “สมชาย เดี๋ยวยกของคุณๆ เขาลงจากรถแล้ว ช่วยขับรถออกไปรับคุณประสิทธิ์ด้วยนะจ๊ะ แล้วก็เรียนท่านว่าคณะนักโบราณคดีจากไทยมาถึงแล้ว” “เดี๋ยวหนูยกเข้าไปเองค่ะ คุณๆ เชิญพักผ่อนในบ้านดีกว่าค่ะ” แม่บ้านวัย 20 เจ้าของผมม้าในชุดเสื้อยืดสีสดกับผ้าซิ่นสีเข้ม รีบวิ่งออกมาช่วยคนรถสมชายยกกระเป๋า แต่แล้วก็ต้องทำหน้างงกับจำนวนแขกซึ่งไม่ตรงกับที่ตัวเองรู้มา “เอ๋? คุณๆ มีกัน 6 คนหรือคะเนี่ย?” “เอ๊ะ! จริงหรือคะ คุณประสิทธิ์บอกดิฉันว่ามากัน 4 คนนี่คะ” คุณหญิงอัญชันพลอยตกใจไปด้วย “ค่ะ แจ้งเพิ่มเติมมาตอนหลังว่า จะพาเจ้าหน้าที่ใหม่มาดูงานอีก 2 คน แต่สงสัยคนรับโทรศัพท์จะลืมบอก รู้สึกคนที่พิมพ์จดหมายราชการของกรมศิลปากร ก็จะบ้าจี้พิมพ์ว่า 4 คนด้วยค่ะ เลยเกือบผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้ นี่ก็โดนเขายึดบัตรประชาชนอยู่” เจ๊แหม่ม ในฐานะผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของสองสาวร่ายยาว ทำเอาคุณหญิงอัญชันหน้าซีด “เดี๋ยวจะบอกคุณประสิทธิ์ให้รีบไปเคลียร์นะคะ ขออภัยจริงๆ ค่ะ แล้วก็... ต้องขอโทษเรื่องรถด้วยค่ะที่ทำให้ต้องนั่งเบียดกันมา” คุณหญิงอัญชันกล่าวขอโทษเจ๊แหม่ม พลางชำเลืองมองรถยนต์สำรองประจำสถานทูตที่คนรถค่อยๆ ขับออกไป และครุ่นคิดอยู่ในใจว่ามันคงถึงกาลอวสานเร็วๆ นี้ “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องซีเรียสหรอกค่ะ” เจ๊แหม่มยิ้มแย้ม หัวเราะเสียงดังเหมือนมีลำโพง 8 ตัวอยู่ข้างๆ ตรงข้ามกับสองสาว มินตรา เกสรี และสองหนุ่ม ชนะชน จตุรงค์ที่ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กับสภาพอันน่าสมเพชของตัวเองซึ่งพึ่งจะผ่านพ้นมา และเนื่องจากห้องพักสำหรับแขกมีเพียงแค่ 3 ห้อง ชนะชนกับจตุรงค์จึงต้องเสียสละออกมาจัดของนอนที่ห้องโถงกัน 2 คน “ที่นอน... ปิกนิก... มาแล้วค่ะ แต่ถ้าคุณๆ อยากจะ... นอนบนโซฟา คุณผู้หญิงก็... บอกว่า... ตามสบายเลยนะคะ” ประนอมแม่บ้านคนเดิมขนที่นอนปิกนิกใหม่เอี่ยม 2 ชุดมาให้สองหนุ่ม พร้อมด้วยหมอนหนุน หมอนข้าง และผ้าห่มอีกอย่างละ 2 ชุด พะรุงพะรังและตุปัดตุเป๋ จนทั้งชนะชนและจตุรงค์ต้องมาช่วยยก ก่อนที่แม่บ้านประนอมจะเทกระจาดของทั้งหมดเพราะหกล้มหน้าทิ่มพื้น “นายนอนโซฟาไหมล่ะ ฉันนอนที่นอนปิกนิกเอง นอนเสมอกับหัวหน้าแล้วตะขิดตะขวงใจยังไงไม่รู้” จตุรงค์พูดขึ้นหลังจากที่แม่บ้านคล้อยหลังไปแล้ว “ถ้าพูดอะไรแบบนี้อีกครั้งเดียว ขากลับเชิญนายเข็นรถเข็นกระเป๋าคนเดียวเลย” ชนะชนย้ำประโยคเดิมที่เคยพูด นั่นเองที่ทำให้จตุรงค์หน้าซีดเป็นไก่ต้มรอบที่ 3 “ก็ได้ๆ ฉันเลิกพูดก็ได้ เอาฉันไปต้มยำทำแกง ยังดีซะกว่าให้ฉันเข็นรถเข็นกระเป๋าคนเดียวอีก” “เอ๋? ทำไมล่ะคะ?” เสียงตั้งคำถามที่ดังแทรกขึ้น ทำเอาสองหนุ่มหันไปมองสองสาวที่เดินเข้ามา “เอ่อ... ก็ลองดูสัมภาระขากลับขอเจ๊ เอ้ย! ผอ.วิไลวรรณดูสิจ๊ะ แล้วก็จะรู้” จตุรงค์ตอบคำถามเกสรี และเกือบหลุดปากเรียก ผอ.สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ด้วยฉายาที่ตัวเองตั้ง ทำเอาชนะชนส่ายหน้าเอือมระอา “ช้อปปิ้งสินะคะ ดีจัง! แสดงว่า ผอ.รู้แหล่งช้อปดีๆ แน่เลย” เกสรีทำท่าตื่นเต้น เพราะเธอก็เป็นนักช้อปปิ้งตัวยงเหมือนกัน “พี่ก็รู้แหล่งช้อปดีๆ นะ วันนี้ยังพอมีเวลาเหลือ พวกน้องๆ อยากไปไหมล่ะ เดี๋ยวพี่กับชนม์จะเป็นไกด์ให้เอง” จตุรงค์รีบเสนอตัวหวังทำคะแนนกับเกสรี รวมทั้งช่วยให้เพื่อนได้ใกล้ชิดมินตราด้วย “พูดเองเออเองนะนั่นน่ะ” ชนะชนม์แกล้งตีหน้าขรึมให้จตุรงค์เสียวสันหลังเล่น ก็หมอนั่นอยากบอกเองนี่ว่าเขาเหมาะกับบุคลิกขรึมๆ มากกว่า “โธ่! อยู่ดีๆ ก็เล่นตัวขึ้นมาเชียวนะคุณเพื่อน อย่าบอกนะว่าจะไม่ซื้อของไปฝากคุณพระญาติทั้งหลาย อย่างน้อยก็พี่นิดล่ะ” จตุรงค์ชักแม่น้ำทั้ง 5 จากเมืองไทยมาหว่านล้อม โดยมีเกสรีซึ่งปรารถนาจะช้อปปิ้งสุดใจขาดดิ้นช่วยหว่านล้อมด้วยอีกคน “ไปเถอะค่ะหัวหน้า ไปหลายๆ คนสนุกดีออก ใช่ไหมมิน มินก็จะไปด้วยใช่ไหมล่ะ” สาวหมวยหันไปขอเสียงสนับสนุนจากเพื่อนสาวคนสนิท “เอ่อ... จ้ะ ถ้าเกดไป ฉันก็ไป” มินตรายิ้มเจื่อนๆ ตอบ และแม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มฝืดๆ ฝืนๆ แต่ก็ทำให้ชนะชนชะงักไปกับอีกอิริยาบถของเธอที่เขาไม่เคยเห็น ไม่สิ! รู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นยามที่เธอยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ หรืออิริยาบถอื่นที่ต่างออกไป แต่เมื่อไหร่และที่ไหนกันล่ะ ชนะชนถามตัวเองด้วยความรู้สึกสับสน ว้าวุ่น สมองไม่ยอมรับรู้เรื่องอื่นใดนอกเหนือจากนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากนั้นจึงเป็นเพียงระบบสั่งการอัตโนมัติของร่างกาย รวมทั้งการที่ชนะชนพยักหน้าตอบรับคำชวนครั้งที่ 2 ของจตุรงค์ จนดูเหมือนว่าเขายอมไปเป็นไกด์ให้สองสาว เพราะอยากอยู่ใกล้ชิดมินตรามากกว่า ...ปฏิบัติการจับผิดรุ่นพี่หนุ่มหัวหน้ากลุ่มวิชาการโบราณคดีของเกสรี กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว! สถานที่อันเป็นเป้าหมายของทั้ง 4 คนในครั้งนี้คือ ตลาดข่านเอล คาลิลี ซึ่งเป็นตลาดชื่อดังอายุกว่า 600 ปี ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานทูตไทยมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าเป็นโชคดีที่รถยนต์ประจำสถานทูตซ่อมเสร็จแล้ว คุณประสิทธิ์จึงให้คนรถสมชายขับรถสภาพกลางเก่ากลางใหม่คันนี้ไปคอยรับ – ส่งคนทั้งหมดแทน “โห ขายของเยอะแยะเลย คล้ายๆ ตลาดจตุจักรบ้านเราเลยนะคะเนี่ย” เกสรีออกอาการตื่นเต้นหนักกว่าเดิม ทันทีที่มาถึงและได้เห็นสถานที่จริงซึ่งไม่เกินไปกว่าที่จตุรงค์คุยโวมาตลอดทางเลย “เดินเกาะกลุ่มกันไว้ดีๆ ล่ะ ทางเดินค่อนข้างจะเป็นเขาวงกต เดี๋ยวจะหลงได้” ชนะชนบอกสองสาว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าใดนัก โดยเฉพาะเกสรีที่มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับข้าวของสินค้าแปลกๆ มากมาย และลากมินตราไปทางนั้นทีทางโน้นที ปล่อยให้สองหนุ่มเดินเร็วตามไปร้านนู้นทีร้านนี้ทีจนหัวหมุน เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายพลัดหลงกันในที่สุด “หายไปไหนแล้วล่ะ เฮ้อ! ยุ่งล่ะสิทีนี้” จตุรงค์เกาหัวแกรกๆ ระหว่างที่พยายามกวาดตามองหาสองสาว “ก็บอกแล้วว่าให้เดินเกาะกลุ่มกัน จะได้ไม่หลง ท่าทางคงไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลย” ชนะชนส่ายหน้าแล้วสาวเท้าเดินนำออกไป พลางหันซ้ายหันขวามองหาสองสาวไปเสียทุกร้าน และตอนนั้นเอง... “Let go her hand and give back the change.” เสียงคุ้นหูดังมาจากร้านขายเครื่องประดับข้างหน้า และชนะชนก็จำได้แม่นยำว่า... “เสียงมินตรา!” เขาหันไปบอกจตุรงค์ ก่อนที่ทั้งสองหนุ่มจะรีบเดินเร็วตรงไปยังร้านอันเป็นต้นตอของเสียง ซึ่งจากน้ำเสียงขุ่นๆ กับคำพูดที่บอกให้ปล่อยมือเกสรีและทอนเงินค่าสินค้า ก็พอจะทำให้ทั้งคู่คาดเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ “ตามหาตั้งนาน มาอยู่ที่นี่กันนี่เอง” เสียงพูดของชนะชนเรียกสองสาวให้หันมามองด้วยความดีใจ ตรงข้ามกับชายหนุ่มชาวอียิปต์เจ้าของร้านซึ่งถึงกับชะงัก จากที่ยอมปล่อยมือเกสรีเพราะเสียงอันทรงพลังของมินตรา แต่ยังแกล้งทำเป็นยักท่าไม่ยอมทอนเงิน ก็กลับรีบหยิบเงินทอนให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ ซ้ำยังแถมกำไลข้อมือให้อีกชิ้นหนึ่งด้วย นัยว่าเป็นค่าทำขวัญและค่าเสียหายของสองสาว สร้างความประหลาดใจให้ทั้งคู่เป็นอย่างมาก “สุดยอดเลยนะคะหัวหน้าเนี่ย แค่ตานั่นเห็นหน้าขรึมๆ ของหัวหน้าก็รีบทอนเงินให้ แล้วยังแถมกำไลมาให้อีก รู้อย่างนี้ให้หัวหน้าไปยืนมองหน้าคนขายตั้งแต่แรกก็ดีหรอก” เกสรีตื่นเต้นกับเรื่องประหลาดเรื่องนี้ยิ่งกว่าร้านรวงรอบข้างไปเสียแล้ว “นั่นมันแค่ผลพลอยได้ สิ่งสำคัญที่สุดของการที่เราเดินเกาะกลุ่มกันก็คือความปลอดภัยต่างหาก ต่อไปก็อย่าทำแบบนี้อีก รู้แล้วใช่ไหมว่าปัญหาที่ตามมามันเป็นยังไง” ชนะชนดุสาวหมวยรุ่นน้องโดยที่จตุรงค์ไม่กล้าขัด “ขอโทษค่ะ...” เกสรีหน้าจ๋อย ไม่กล้าดึงมินตราไปไหนต่อไหนอีก นอกจากปล่อยให้สองหนุ่มเดินขนาบข้างตัวเองและเพื่อนไว้ เพื่อป้องกันการพลัดหลงเป็นครั้งที่ 2 ทั้งหมดใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ในการเดินเที่ยวภายในตลาดข่านเอล คาลิลีแห่งนี้ และแม้จะผ่านไปกว่า 6 ศตวรรษ แต่อาคารร้านรวงต่างๆ ก็ยังคงศิลปะแบบเก่าไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ตึกสีอิฐกับสถาปัตยกรรมและการแกะสลักอันประณีตวิจิตรอย่างยากที่จะหาได้ในปัจจุบัน รวมทั้งสินค้าที่วางเรียงรายซึ่งให้กลิ่นไอประวัติศาสตร์ยุคเก่า ทั้งพีระมิดจำลอง สฟิงซ์ย่อส่วน รูปปั้นมัมมี่ ตะเกียงอาละดิน และโคมรูปร่างแปลกๆ นอกจากนี้ยังมีอาหาร ขนม ผลไม้ เครื่องแต่งกายแบบพื้นเมือง เครื่องประดับ น้ำหอม และสินค้าร่วมสมัยอื่นๆ ภายใต้พื้นที่ที่ประกอบด้วยตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ยิ่งกว่าเขาวงกตแห่งนี้ “พักเหนื่อยสักหน่อยก็แล้วกันนะ” ชนะชนบอกสองสาว ก่อนจะเดินนำเข้าไปในร้านขายเครื่องดื่มมีชื่ออายุกว่า 100 ปี มีจตุรงค์ซึ่งเดินหอบถุงพะรุงพะรังตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ด้วยท่าทางหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม อันเป็นผลจากการอาสาถือของให้สองสาว “ชามะนาวที่นึงครับ” จตุรงค์สั่งเครื่องดื่มของตัวเองเป็นภาษาอาหรับ หวังอวดเกสรีซึ่งก็ดูจะได้ผล “ว้าว! รองหัวหน้าจตุรงค์ก็พูดภาษาอาหรับได้หรือคะเนี่ย” สาวหมวยทำท่าตื่นเต้น ตาเป็นประกาย ไม่เหลือแววสลดให้เห็น ซึ่งก็อาจจะเพราะผ้าผูกเอวสีหวาน กับน้ำหอมขวดสวยที่ชนะชนและจตุรงค์ซื้อให้สองสาวเป็นของขวัญรับน้องใหม่ก็เป็นได้ “เรียนมาด้วยกันกับหัวหน้าชนะชนนี่แหละจ้ะ แต่ได้แค่ 3 ภาษา ไม่อัจฉริยะเหมือนเขาหรอก” จตุรงค์มิวายยกยอปอปั้นเพื่อน “อวดอ้างสรรพคุณกันมาก เดี๋ยวจะให้เข็นรถเข็นกระเป๋าคนเดียว” ชนะชนขู่ซ้ำ พร้อมกับปั้นหน้าขรึมๆ ให้ดูเข้ากัน “โธ่! ต่อไปจะไม่พูดแล้วคร้าบ” จอมกะล่อนหน้าเสีย รีบละล่ำละลักสัญญิงสัญญา จนสองสาวพากันขบขัน เช่นเดียวกับชนะชนที่แอบยิ้มขำเพื่อนสนิทอยู่ในใจ ภายนอกเขาอาจดูเป็นคนเคร่งขรึม แต่ความจริงแล้วเขาก็มีมุมสนุกในแบบของเขา “ยืนตัวตรง ยิ้มหวานๆ ตามองกล้องด้วยครับคุณจตุรงค์” หลังออกจากร้านเครื่องดื่ม ชนะชนก็ชวนทุกคนมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกตรงหน้ามัสยิดภายในตลาดก่อนกลับ และเจ้ากี้เจ้าการจับคู่ให้จตุรงค์ได้ถ่ายรูปคู่กับเกสรี บันทึกภาพเด็ดด้วยโทรศัพท์มือถือของจอมกะล่อน โดยที่อีกฝ่ายยังคงหอบถุงพะรุงพะรังแสดงความเป็นลูกผู้ชาย แม้ในขณะที่เปลี่ยนมาเป็นคนถ่ายรูปคู่ให้กับชนะชนและมินตราด้วยโทรศัพท์มือถือของชนะชน ก็ยังอุตส่าห์หิ้วถุงทั้งหมดด้วยมือเพียงข้างเดียว จนชนะชนนึกเวทนา “ส่งมาเร็ว ฉันจะช่วยถือ” “ไม่ต้องๆ เดี๋ยวรูปออกมาไม่หล่อ... เตรียมตัว สาม สอง หนึ่ง” จตุรงค์ฉีกยิ้มสู้ จนสองคนในโฟกัสกล้องเกือบฉีกยิ้มในท่าเดียวกันไปด้วย “อย่าทำเป็นเท่คนเดียวเลยน่า ส่งถุงมาครึ่งนึง ฉันจะช่วยถือ” ชนะชนเดินตามแย่งถุงจากจตุรงค์ ขณะที่สองสาวซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าผลัดกันกระเซ้าเย้าแหย่กันเอง ระหว่างเดินกลับไปยังจุดที่นัดกับคนรถสมชายไว้ “แหมๆ ๆ ได้ถ่ายรูปคู่กับเขาด้วย ทีนี้เชื่อฉันหรือยังล่ะว่าเขาน่ะแอบชอบเธอ ถึงได้หาเรื่องชวนพวกเราไปถ่ายรูป” เกสรีเป็นฝ่ายฟื้นฝอยหาตะเข็บขึ้นมาก่อน “เธอเองก็ได้ถ่ายรูปคู่กับเพื่อนเขาเหมือนกันนั่นแหละ ฉันว่าเป็นแผนให้เพื่อนเขาได้ถ่ายรูปคู่กับเธอมากกว่า เล่นแสดงออกว่าชอบเธอออกหน้าออกตาซะขนาดนั้น” มินตราแซวกลับบ้าง “พูดอะไรของเธอน่ะมิน ฉันแซวเธออยู่นะยะ” สาวหมวยผลักแขนเพื่อนกลบเกลื่อนอาการเขิน จนมินตราเซลงไปที่ถนน เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นมา ...หากคำนวณจากระยะทางแล้ว หญิงสาวยังพอมีเวลาเหลือที่จะหลบรถได้ทัน แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อจู่ๆ ความเร็วของรถกลับเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหลังพวงมาลัย จงใจเหยียบคันเร่งจนสุดแรง บรืนนนน...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม