เมื่อสองปีก่อน
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้ามืดของวันใหม่หลังจากที่เมื่อคืนฉันและเขามีอะไรกันไปกี่รอบก็ไม่รู้ได้ เพราะฉันหมดแรงหลับไปก่อนทั้งที่ยังรู้สึกถึงการกระแทกเข้าออกตรงส่วนนั้นของเราสองคน
“เจ็บชะมัด ครั้งแรกเป็นแบบนี้เองเหรอ” ฉันพยายามพาร่างตัวเองออกไปจากห้องนี้
ฉันพยายามสอดส่องสายตาหาเสื้อผ้าของตัวเองในความมืดที่มีแสงส่องเข้ามาน้อยมาก ว่าเสื้อผ้าของตัวเองกระจายไปอยู่ส่วนไหนของห้องบ้าง เพราะเมื่อคืนเท่าที่จำได้ เราสองคนดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรเลยนอกจากสัมผัสที่มอบให้กัน เหมือนคนตายอดตายอยากที่ไหนกันก็ไม่รู้ ทั้งที่เป็นครั้งแรกของฉัน แต่ฉันก็เข้าใส่เขาไม่ยั้งเหมือนกัน เขาคงไม่รู้หรอกว่า นั่นคือครั้งแรกของฉัน และเป็นเขาที่ได้ไปจากฉันอย่างเต็มใจ
พอเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ตรงไหน ฉันก็ค่อยๆลุกออกจากเตียง โดยที่เขายังคงนอนหลับอยู่ ฉันพยายามลุกออกมาอย่างระมัดระวังในสภาพเปลือยเปล่า เพราะกลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมาเห็นฉันในสภาพนี้ แล้วฉันไม่รู้จะทำหน้ากับเขาอย่างไร รวมถึงไม่มีคำพูดที่จะพูดกับเขาด้วย การชิ่งหนีออกไปจากที่นี่ก่อนเขาจะตื่นขึ้นมาเหมือนเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ
ฉันรวบรวมเสื้อผ้าของตัวเองพร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินของเขาที่สายตาฉันเหลือบไปเห็นพอดีเดินเข้าห้องน้ำทันที เมื่อฉันแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ฉันก็เปิดกระเป๋าสตางค์ของเขาเพื่ออยากจะรู้ว่าผู้ชายที่ฉันนอนด้วยนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร
“กวินทร์ เศรษฐาสกุล” ฉันอ่านชื่อจากหน้าบัตรประชาชนของคนที่ฉันเพิ่งมีอะไรด้วยเมื่อคืนนี้พร้อมกับจ้องไปที่รูปติดหน้าบัตรประชาชนอย่างพินิจพิเคราะห์ ฉันไม่คิดเลยว่าคนที่ฉันมีอะไรด้วยจะหล่อได้ขนาดนี้
“เศรษฐาสกุล นามสกุลคุ้นจัง” ฉันพยายามนึกนามสกุลว่าเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหน
แต่พอคิดได้ว่าตัวเองควรรีบออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ฉันจึงรีบเก็บบัตรประชาชนของเขาไว้ในกระเป๋าเงินเหมือนเดิม ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่คิดว่าเรียบร้อยที่สุด
เมื่อฉันเดินออกมาจากห้องน้ำฉันก็เก็บเสื้อผ้าของเขาเอามาแขวนไว้ให้เรียบร้อย อย่างน้อยเวลาที่เขาตื่นขึ้นมาจะได้ไม่ลำบากเดินหาเสื้อผ้าอย่างฉัน
“ลาก่อนนะคะ ผู้ชายคนแรกของฉัน” ฉันบอกออกไปเบาๆ พร้อมกับมองคนที่ยังคงหลับอยู่ในความมืดด้วยความรู้สึกใจหาย
“เฮ้อ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปรสา” ฉันตัดสินใจเดินออกมาจากห้องพักของโรงแรมหรู โดยพยายามลืมเรื่องราวของเมื่อคืนให้หมด
กลับมาปัจจุบัน
“ควินน์ กวินทร์” ฉันเปิดมาถึงหน้าประวัติของผู้ชายคนแรกของฉัน ภาวนาในใจว่าเขาคงจะไม่มีทางรู้เลยว่าฉันคือคนที่เขานอนด้วย
ซึ่งขนาดฉันเองถ้าไม่เอาบัตรประชาชนมาดูใบหน้าของเขา ฉันก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ชายที่ฉันนอนด้วยเมื่อสองปีนั้น คือ ควินน์ กวินทร์
เวลา 21.00 น. @คอนโด
“ควินน์ กวินทร์ เล่นตำแหน่งคีย์บอร์ด เป็นคนเงียบขรึม พูดน้อย พูดเพราะ มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ดี แต่ไม่ชอบคนวุ่นวายมาก ไม่ชอบให้ใครถามถึงเรื่องส่วนตัว ไม่ชอบผู้หญิงเข้ามาอ่อย จะถอยห่างและมองบุคคลเหล่านั้นเป็นอากาศธาตุ เป็นคนที่เรียนรู้เร็วมาก โดยเฉพาะเรื่องดนตรี จบการศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย xxx เป็นทายาทคนเดียวของเจ้าสัวการันต์ เจ้าของบริษัทจิลเวลรี่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การศึกษาดี บ้านรวย มิน่า ทำไมนามสกุลคุ้นๆ ทำไมคุณกับฉันแตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหวเลย”
ฉันนั่งอ่านประวัติของสมาชิกคนอื่นๆต่อเพื่อจะได้ทำตัวถูกเวลาต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา และดูเหมือนว่าคนที่ฉันต้องระวังตัวไม่ไปยุ่งวุ่นวายมากก็คงเป็น เขา นั่นแหละ ควินน์ กวินทร์ ผู้ชายที่เป็นคนแรกของฉัน
สามวันต่อมา @บริษัท Aria Studio
ฉันเดินเข้าลิฟต์เพื่อไปยังชั้นที่ได้นัดกับพี่วาวไว้ ในขณะที่ฉันอยู่ในลิฟต์นั้นอยู่ๆใจก็เต้นแรงขึ้นมา ความกังวลเริ่มเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตอนก่อนจะออกมาจากคอนโดใจของฉันก็เต้นแรงแบบนี้ ขนาดพยายามทำสมาธิและทำใจมาแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าอาการแบบนี้ก็กลับมาเป็นอีกครั้ง
“นิ่งๆไว้รสา เขาไม่รู้ว่าเป็นแกหรอกน่ะ อย่าตื่นตูมไปก่อน” ฉันพยายามพูดปลอบใจตัวเองไม่ให้กังวลเกินเหตุโดยเอามือขึ้นมาลูบหน้าอกตัวเองเบาๆเพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง
“ทุกคนรอแกคนเดียวเลย” พี่วาวเดินเข้ามาหาฉันในขณะที่ฉันกำลังเดินไปยังห้องประชุมที่ทางพนักงานของบริษัทคนหนึ่งชี้บอกทางให้ฉันว่ามันต้องเดินมาทางนี้
“หืมม รอโรส แต่ยังไม่ถึงเวลาประชุมเลยนะคะ” ฉันยกมือซ้ายเพื่อดูเวลา ซึ่งนี่ฉันมาก่อนเวลาที่นัดไว้ตั้งสิบห้านาทีเลยนะ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย เข้าไปข้างในก่อนเถอะ” พี่วาวไม่สนใจว่าฉันจะเอ่ยอะไรต่อเลย กลับลากฉันเข้าห้องประชุมทันทีโดยไม่ถามฉันสักนิดเลยว่าฉันพร้อมหรือยัง
“มาแล้วค่ะ นี่รสา จะมาเป็นผู้จัดการวงชั่วคราวในระหว่างที่รอผู้จัดการวงคนใหม่” พี่วาวรีบแนะนำฉันต่อหน้าทุกคนทันที ซึ่งฉันไม่ได้มองว่าตอนนี้ในห้องประชุมนี้มีใครบ้าง จนกระทั่งถึงคิวที่ฉันต้องแนะนำตัวเองกับทุกคนอีกครั้ง สายตาของฉันก็ไปสบตาเขาพอดี
“สวัสดีค่ะ รสาค่ะ หรือทุกคนจะเรียกว่า โรส ก็ได้นะคะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน ขอฝากตัวด้วยนะคะ” ฉันสาดสายตามองไปที่สมาชิกแต่ละคนในวงแบดกายที่พากันมองมาทางฉันเป็นสายตาเดียวกัน
มันทำให้ฉันเกร็งตรงที่สายตาของแต่ละคนไม่บ่งบอกถึงความยินดียินร้ายออกมาให้ฉันรู้เลยว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับการมาของฉันในวันนี้ โดยเฉพาะสายตาของเขาที่ฉันรู้สึกว่าการมองของเขาที่มองมาที่ฉันแบบนี้เหมือนสายตาของคนที่รู้จักกันแล้วไม่เจอกันมานาน และมาเจอกันในวันนี้ ไม่หรอกมั้ง ฉันคงคิดมากไปเอง ถ้าเขาจำได้ว่าเป็นฉัน สายตาของเขาต้องดูตกใจ ไม่ใช่สายตาว่างเปล่าแบบนี้หรอก
“เอ่อ ทุกคนค่ะ พี่แนะนำผู้จัดการคนใหม่ให้ทุกคนรู้จักแล้ว เรามาบรีฟงานกันต่อเลยแล้วกันนะคะ วันนี้พี่จะอยู่ช่วยครึ่งวัน ส่วนครึ่งวันบ่าย โรสทำได้อยู่นะ” หืมม พี่วาววันนี้วันแรกของฉันจะทิ้งกันครึ่งทางแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ แล้วดูหน้าพวกเขาแต่ละคนสิ จะเชื่อฟังฉันกันหรือเปล่า
“ทำไมต้องให้พวกเราเรียกว่า พี่โรส” เสียงคำถามมาจาก เอ คนนี้น่าจะเป็นคิง มือกีตาร์ของวงนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด
“ปีนี้พี่อายุ 25 แล้วค่ะ แล้วพี่ดูจากประวัติทุกคน แก่สุดก็น้องชินที่อายุห่างจากพี่แค่ปีเดียว แบบนี้ทุกคนเรียกว่า พี่โรส ได้หรือเปล่าคะ หรือถ้าไม่สะดวกใจเรียกพี่ จะเรียกชื่อเฉยๆก็ได้ค่ะ”
“โห หน้าเด็กจัง นึกว่าเด็กเพิ่งจบใหม่” แล้วเสียงที่ดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นนั้นก็ไม่ใช่ใคร ก็คนที่ถามฉันนั่นแหละ ฉันหน้าเด็กจนน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอไง
“หน้ามัธยมแต่นมมหาลัยเลยแฮะ โอ๊ย! พี่ควินน์ ตบหัวผมทำไมเนี๊ย”
“เหมือนเห็นยุงบินผ่านหัวแก” คนที่ตบหัวคิงตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างไม่รู้สึกอะไร ทำให้ฉันมองไปที่เขาอย่างไม่เข้าใจ
“เฮ้ย ยุงมันบินขึ้นมาสูงถึงชั้น 20 เลยเหรอ”
“มันอาจจะขึ้นลิฟต์มาก็ได้นะ” คราวนี้เป็นพายุ หรือหมอสายลม ที่สาวๆพากันกรี๊ดกร๊าดกันเป็นคนพูดขึ้นมาแทน
“เดี๋ยวนี้ยุงยุคนี้มันฉลาดมากขนาดนี้เลยเหรอ” คำพูดกึ่งประชดประชันที่ฉันสัมผัสได้จากน้ำเสียงของคิง มือกี้ตาร์ ที่หันไปพูดกับหมอสายลม นักร้องนำวง ส่วนเขาที่ยังคงเงียบไปหลังจากพูดออกมาเพียงแค่ประโยคเดียวนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ
จากนั้นพี่วาวก็พูดถึงคิวงานวันนี้ว่าจะต้องไปที่ไหนทำอะไรบ้าง รวมถึงสคริปต์สัมภาษณ์ของรายการที่ต้องไป ในขณะที่พี่วาวกำลังบอกทุกคนในวงอยู่นั้น ฉันก็แอบเหลือบไปเห็นสายตาของควินน์ที่ดูเหมือนมองมาทางฉันตลอด โดยที่ฉันไม่ได้คิดไปเองนะ เพราะสายตาของเขามองมาที่ฉันแล้วนิ่งและไม่หันไปมองทางอื่นเลยจนรู้สึกได้
“โอเค ทุกคนตามนี้นะคะ” พี่วาวบอกกับทุกคน ก่อนที่สมาชิกในวงจะทยอยเดินออกไปจากห้องประชุม ส่วนพี่วาวก็หันไปคุยโทรศัพท์เมื่อมีสายเข้ามา ตอนนี้จึงเหมือนว่าเหลือเพียงฉัน พี่วาว และควินน์ที่ยังนั่งนิ่งไม่ยอมลุกตามสมาชิกคนอื่นๆ
“โรสพี่ฝากดูแลต่อด้วยนะ เดี๋ยวพี่ต้องไปดูวงเบบี้เกิร์ลก่อน ทางทีมงานที่พี่ฝากให้ดูช่วงที่พี่มาเทรนงานให้แก โทรมาบอกว่าตอนนี้ทางนั้นกำลังเจอปัญหา แกทำต่อคนเดียวได้ใช่ไหม พี่เชื่อใจแกนะ” พี่วาวบอกกับฉันด้วยสีหน้าเป็นกังวล จนฉันต้องเปลี่ยนสีหน้าไม่มั่นใจเป็นพร้อมรับกับสถานการณ์ที่ต้องเจอทันที
“พี่วาวไม่ต้องห่วงนะคะ โรสซะอย่าง จัดการได้อยู่แล้ว”
“ดีมาก อยากได้ยินคำนี้แหละ งั้นฝากด้วยนะ พี่ไปก่อนล่ะ อ้าว ควินน์นั่งรออะไรหรือเปล่าคะ ทำไมยังไม่ออกไป” พี่วาวพูดกับฉันจบแล้วกำลังจะเดินออกไปจากห้อง สายตาของพี่วาวก็มาเจอควินน์ยังนั่งอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นมาทันที
“พอดีผมมีเรื่องจะปรึกษาผู้จัดการวงหน่อยครับ”
“หืมม” น้ำเสียงประหลาดใจของพี่วาวทำเอาใจฉันสั่นขึ้นมาทันทีเลย
“เอ่อ งั้นตามสบายนะคะ พี่ไปแล้วนะ” พี่วาวโบกมือลาฉันแล้วเดินเปิดประตูห้องออกไปทันที
“ควินน์มีอะไรจะปรึกษาพี่หรือคะ” ฉันที่โบกมือลากับพี่วาวเสร็จก็หันมาถามคนที่นั่งรอ ไม่ใช่สิ ตอนนี้เขาลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเดินเข้ามาหาฉันอย่างช้าๆก่อนจะเอ่ยออกมา
“เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าครับ” คำถามของคนตรงหน้าทำเอาฉันแทบอยากจะหยุดหายใจทันที ก่อนที่จะคิดหาคำตอบให้คนตรงหน้า
“อืมม เท่าที่พี่จำได้ คงเจอควินน์ทางสื่อโทรทัศน์ หรือไม่ก็ตามสื่อโซเชียลนะคะ ถ้าแบบเดินสวนกัน อันนี้พี่ก็ไม่แน่ใจ เพราะสายตาของพี่ไม่ค่อยจะโฟกัสใครเป็นพิเศษ” ฉันตอบออกไปแบบดารามาก ซึ่งฉันก็ยังงงๆคำพูดของตัวเองที่ตอบออกไปเช่นกัน
“เหรอครับ สงสัยผมคงจำคนผิด”
“อืมม ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าเราเคยเจอกันก่อนหน้านี้จริงๆ หล่อๆอย่างควินน์พี่ไม่ทางที่จะลืมได้แน่นอน”
“ครับ ขอโทษด้วยนะครับ บังเอิญว่าหน้าตาของ...พี่โรสเหมือนกับคนที่ผมเคยนอนด้วยเลย” คำพูดของควินน์ทำเอาฉันช็อก แต่ไม่ช็อกเท่ากับประโยคถัดมา
“เธอเป็นคนแรกและจะเป็นคนเดียวของผม”