บทที่3.ปมปัญหาที่เพิ่มขึ้นจนนับไม่ถ้วน
มาริสาไม่มีเวลาขบคิดเรื่องปัญหาที่ยังค้างคาและไม่มีคำตอบให้เธอคลายความสงสัยนั่นได้เลย เธอวิ่งวุ่นจนหัวปั่น เริ่มตั้งแต่ลืมตาจนหลับสนิทบนเตียงนอนในอพาร์ทเม้นท์ของพี่สาว
เธอเริ่มสงสัย เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองเดือน เธอรับเงินเดือนงวดที่สอง แต่ไม่เคยได้จ่ายค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับหลานชายหรืออาพาร์ทเม้นที่ใช้อยู่ใช้กินเลย
วันนี้หลังเลิกงาน มาริสาเลยแวะไปห้องทำงานผู้ดูแลอพาร์ทเม้นท์ เธอได้เจอกับแคโรไลท์ ผู้ดูแลอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ แทนตัวเจ้าของที่ไม่เคยโผล่มาเลย นั่นคือคำบอกเล่าของแคโรไลท์
“ฉันต้องจ่ายค่าห้องตอนไหนคะ” หลังเธอถาม แคโรไลท์มีสีหน้างุนงง
“ค่าอะไรนะคะ ถ้าค่าส่วนกลาง ห้องนั้นจ่ายล่วงหน้าไว้แล้วค่ะ” แคโรไลท์ตอบ
“ไม่ใช่ค่ะ ค่าห้อง ฉันต้องจ่ายตอนไหน หรือว่าพี่สาวฉันจ่ายล่วงหน้าไว้แล้ว” มาริสาพูดต่อ แคโรไลท์มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“คุณไม่ต้องจ่ายค่ะ ห้องนั้นพี่สาวของคุณซื้อไว้แล้วนะ”
มาริสากะพริบเปลือกตาปริบๆ มะลิไม่มีทางซื้ออพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ได้ อพาร์ทเม้นท์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจ มีแหล่งชุมชนอยู่ใกล้ๆ สะดวกในการเดินทาง มีสวนสาธารณะไกลไม่เกินครึ่งกิโลเมตร ราคาอพาร์ทเม้นท์คงไม่ใช่น้อยๆ แล้วผู้หญิงที่เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แถมยังเจือจานค่าใช้จ่ายบางส่วนให้กับเธอที่เป็นน้องสาวด้วย เงินเก็บของมะลิก็คงไม่เหลือ และเท่าที่ผ่านตากับซองจดหมายเหล่านั้น นอกเหนือจากรายจ่ายบัตรเครดิต ไม่มีสักรายการที่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้ออพาร์ทเม้นท์
เธอถอนใจแรงๆ ปมปัญหาเรื่องพี่สาวโถมใส่เธอไม่หยุด
และไม่มีสักปมที่เธอคลี่คลายได้เลย ความลับที่มะลิซุกไว้คืออะไรกันนะ? เธออยากรู้เหลือเกิน
เอาสิ อยากปิดไม่ให้เธอรู้ใช่มั้ย มาริสายิ้มเครียด เธอปล่อยวางไม่ลง เธอต้องรู้ให้ได้ ใครกันนะที่อยู่เบื้องหลังความลึกลับเหล่านี้
“เคยเห็นผู้ชายที่เป็นคู่รักพี่สาวของฉันมั้ยคะ?”
เริ่มที่คนสนิทสุดๆ ของมะลิแล้วกัน จากนั้นก็ค่อยๆ สาวไปจนถึงต้นตอ
แคโรไลท์ส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ฉันไม่เคยเห็นนะ นอกจากเมอร์รี่ ก็ไม่มีใครมาหาพี่สาวของเธอที่นี่เลย”
เมอร์รี่ ชื่อแรกที่มาริสารีบจดไว้ในสมอง เธอต้องควานหาตัวผู้หญิงคนนี้ให้เจอ อย่างน้อยความคืบหน้าเรื่องของพี่สาวก็เปิดเผยออกมาหนึ่งเรื่องแล้ว
“ขอบคุณนะคะ หากมีอะไรที่คุณนึกออกทีหลัง ช่วยบอกฉันหน่อย ฉันมึนไปหมดเลยค่ะ ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ตัวเองสักเรื่อง” มาริสาบ่นพึมพำ สีหน้าและแววตาหนักใจจนปิดไม่มิด
แคโรไลท์ยิ้มให้กำลังใจ เธอแค่พนักงานที่ถูกว่าจ้าง ปากมากไป ตนเองจะเดือดร้อน แต่ก็อดเวทนาหญิงตรงหน้า และเด็กน้อยตาดำๆ คนนั้นไม่ได้
“ฉันจะพยายามนึกนะคะ คุณไปที่โรงแรมเมดิสันหรือยังละ”
มาริสาขมวดคิ้ว มะลิเกี่ยวอะไรกับโรงแรมแห่งนั้นหรือไง
“พี่ฉันเคยทำงานที่นั่นเหรอคะ?”
แคโรไลท์ส่ายหน้า ถอนใจแรงๆ “ฉันบอกอะไรคุณมากกว่านี้ไม่ได้แล้วค่ะ หากอยากรู้ ตีสนิทกับคริสติน่านะคะ เธอสามารถบอกคุณได้ทุกอย่าง ถ้าเธอไม่ถูกปิดปากเสียก่อน”
ข้อมูลที่รู้ทำให้มาริสาใจเต้น
เธอจวนจะได้รู้ความลับที่พี่สาวของเธอปกปิดไว้แล้ว
“ขอบคุณนะคะ” เธอพึมพำขอบคุณแล้วจากมา
ทุกอย่างรอบตัวพี่สาวเหมือนมีมือลึกลับพยายามปิด และซ่อนทุกสิ่งที่เธออยากรู้ไว้ เธอพยายามทำความเข้าใจเหตุผลนั้น แต่ก็ไม่เคยขบแตก ใครบางคนที่เป็นบิดาของหลานชาย เขาอำพรางเรื่องของตัวเองหลบสายตาคนอื่นหรือเปล่า เหตุผลนั้นต้องยิ่งใหญ่ แต่ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น
ในเมื่อบุตรชายกำพร้าของเขาต้องการที่พึ่ง
และที่พึ่งเดียวที่เหลืออยู่กลับทอดทิ้งเขา
แต่เธอเองก็ไม่สบายนักกับการดิ้นรนมีชีวิตรอดในพื้นที่แปลกตา เธอยังไม่คุ้นเคยกับวัฒธรรมและภาษา ดังนั้นมาริสาเลยต้องขวนขวายมากกว่าคนอื่น ทำงานหนักเหนื่อยสายตัวแทบขาด และยังมีเด็กชายวัยขวบเศษให้ดูแล เวลาของเธอจึงหมดลงแบบไม่รู้ตัว แถมซ้ำ ความคืบหน้าเรื่องพี่สาวก็ไม่มี
ทุกวันนี้การเอาตัวรอดไปวันๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มาริสารู้ เธอยังมีชีวิตรอดอยู่
เกดจ์คือกำลังใจ รอยยิ้มของหลานชาย ช่วยให้ความเหนื่อยของเธอบรรเทาลง
“สู้ๆ” เธอให้กำลังใจตัวเองทุกเช้า
ในขณะที่เธอลำบาก คนบนโลกนี้หลายล้านคนลำบากกว่าเธอ หากอยากเดินหน้า ให้มองตรงไป อยากประสบความสำเร็จได้ก็ต้องตั้งเป้าหมาย อย่ามองคนที่ต่ำกว่า ให้มองไปที่จุดสูงสุด และไปให้ถึง
บทที่4.วันหยุดแสนสบายกับหลานชายสุดรัก
ล่วงเข้าเดือนที่สามที่เธอทำหน้าที่เลี้ยงดูหลานชายเต็มตัว เกดจ์เริ่มยืนตั้งไข่ หลายครั้งที่เขาพยายามทรงตัวเดิน แต่ยังทำได้ไม่ดีนัก พอถึงวันหยุดมาริสาเลยตั้งใจพาหลานชายไปเดินบนพื้นหญ้าที่มีไอน้ำค้างหลงเหลืออยู่ สมัยอยู่ที่สถานสงเคราะห์ พี่เลี้ยงชอบทำแบบนั้นกับเด็กกำพร้าที่กำลังหัดเดิน มันอาจช่วยได้หรือไม่มีผลอะไรเลย ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อ
มันเป็นเรื่องของความเชื่อของคนยุคเก่า มาริสาไม่ได้คิดมาก อย่างน้อยการอาบแดดยามเช้าก็ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เธอเลยตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อน พอถึงวันหยุดเธอตื่นมาเตรียมมื้อเช้าใส่กระเป๋าเก็บความร้อน และของใช้ส่วนตัวของหลานชาย เพื่อไปปิกนิกที่สวนสาธารณะตามประสาแม่ลูก
หลังปูเสื่อที่เตรียมมาบนพื้นหญ้า มาริสาปล่อยให้หลานชายนั่งเล่นข้างๆ เกดจ์คงชอบใจเขายิ้มไม่หยุด พยายามทรงตัวยืนมากว่าทุกครั้ง และมาริสาแสร้งทำเป็นไม่เห็น เธอเอาใจช่วยหลานชาย แอบลุ้นแทบลืมหายใจ ตอนที่เขาขยับเดินก้าวแรก และไม่ล้ม
เกดจ์ตบมือเปาะแปะ ยิ้มหน้าบาน
มาริสายกหลังมือขึ้นป้ายน้ำตา เธอคิดถึงพี่สาวจับใจ
“มะลิเห็นมั้ย ลูกชายของพี่เดินได้แล้ว” เธอขยับเข้าไปใกล้หลานชาย ยกมือลูบศีรษะและชมเกดจ์ไม่หยุดปาก วันนั้นเกดจ์เดินได้หลายก้าว กินซุปข้นๆ ที่เธอทำหมดเกลี้ยง เธอกับเกดจ์ใช้เวลายามเช้าด้วยกัน จนแดดเริ่มแรง และหลานชายก็ง่วงเต็มแก่ เธอเก็บของใส่กระเป๋าสะพายเตรียมกลับ
กระเป๋าอุ้มเด็กใช้ได้ดีตอนที่เธอต้องถือของพะรุงพะรัง
เกดจ์หลับปุ๋ย หมดแรงเพราะเล่นจนเหนื่อย เธอเลยเดินเอื่อยๆ อยากให้หลานได้รับอากาศบริสุทธิ์นานขึ้นอีกหน่อย เพราะเมื่อถึงอพาร์ทเม้นท์ เขาต้องอุดอู้มองแค่กำแพงปูนสีขาว วันหยุดที่มีอาทิตย์ละหนึ่งวัน มาริสาจึงอยากให้หลานชายได้ผ่อนคลาย เธอเดินทอดน่องเลาะริมบึง ฟังเสียงนกร้องจิบๆ กับเสียงผู้คนที่มาออกกำลังกาย หลายครอบครัวหอบหิ้วกันมานั่งกินมื้อเช้าตอนสายๆ ด้วยกัน ความสุขที่ไม่ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่าย เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
“กลับบ้านดีกว่าเนอะเกดจ์”
ยังมีงานบ้านอีกหลายอย่างที่มาริสายังไม่ทำ วันหยุดของเธอยุ่งวุ่นวายไม่ต่างอะไรกับวันทำงาน เธอตั้งใจหลังอาบน้ำให้เกดจ์และกล่อมเขาหลับต่อ เธอจะต้องสังคยานาเสื้อผ้าใช้แล้วที่หมกไว้จนล้นตะกร้าให้หมด ทำความสะอาดห้อง และล้างห้องน้ำเป็นลำดับต่อไป
มาริสาเลือกการเดินแทนการขึ้นรถประจำทาง เธอเดินตามฟุตบาทที่เรียบและข้างทางยังมีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่ง เธออดคิดถึงบ้านที่ตนเองจากมาไม่ได้ ความเจริญยังเข้าไม่ถึง หรือเพราะนักการเมืองหรือผู้นำละโมบก็ไม่อาจรู้ได้ ความเจริญที่เป็นพื้นฐานแท้ๆ ถึงยังย่ำอยู่กับที่ เจ้าหน้าที่รัฐไม่รู้จักหน้าที่ ทำงานแบบขอไปที สิ่งที่ควรได้รับการแก้ไข เลยยังไม่ได้ทำ
พอนานวันเข้าก็กลายเป็นงานสะสมที่ต้องรอการสะสาง
คนดีคนตั้งใจทำงานอยู่ไม่ได้ เพราะประจบสอพลอไม่เป็น
ทั้งที่หน่วยงานรัฐควรมีแต่คนเก่ง แต่เมื่อเจอการคอรัปชัน ระบบอุปถัมภ์เข้าไป คนตั้งใจทำงานก็เลยท้อ
ที่เหลืออยู่เกือบทั้งหมดกลายเป็นเส้นสาย ที่ไร้ความสามารถ งานที่ควรเดินหน้าเลยย่ำอยู่กับที่ ต่างคนต่างจ้องหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง คนที่พลอยซวยไปด้วยคือประชาชน ที่ก้มหน้าทำงานและจ่ายภาษีให้หน่วยงานรัฐเอาไปถลุงแบบเปล่าประโยชน์ หากภาษีถูกใช้ถูกที่ถูกทาง บ้านเมืองคงเจริญ ไม่ล้าหลังเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ที่ถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการ