ตอนที่2.

1240 คำ
ใครเลยจะรู้ว่าคุณหนูฟู่เซียงเซียง บุตรสาวภรรยาเอกของเสนาบดีกรมพิธีการฟู่เจี้ยนกั๋วจะตกอับถึงเพียงนี้ เรือนของนางอยู่ด้านหลังไกลหูตาผู้คน ข่าวเล่าลือไปว่านางเจ็บป่วยเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในจวน ทว่าในความจริงนั้นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง ความเป็นอยู่ของนางแทบไม่ต่างจากสาวใช้ แต่ยังดีที่มีแม่นมหวงและจางลี่อยู่คอยดูแลนาง ทำให้ชีวิตเด็กสาววัยสิบสี่อย่างนางไม่ลำบากจนเกินไปนัก อ่างน้ำถูกเปลี่ยนน้ำครั้งแล้วครั้งแล้ว ร่างกายที่เคยเต็มไปด้วยคราบสกปรกเผยให้เห็นผิวกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ สิ่งที่เด็กสาวเป็นกังวลที่สุดคือบาดแผลที่ด้านหลังของเขา คล้ายมีหัวลูกศรยังฝังอยู่ “ข้าต้องกรีดแผลเพื่อเอาหัวลูกศรนี้ออก” นางพูดกับแม่นมหวงและจางลี่ “หาผ้าให้เขากัดไว้” จางลี่ที่กล้าๆ กลัวๆ ข่มใจหยิบผ้าผืนหนึ่งที่พับหลายทบจนกลายเป็นก้อนหนาพอจะยัดใส่ปากของชายผู้นี้ แต่เพราะดวงตาที่จ้องเขม็งทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้ ฟู่เซียงเซียงเตรียมอุปกรณ์ทำแผลเสร็จแล้วแต่ไม่เห็นจางลี่เอาผ้าใส่ปากคนเจ็บ นางจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จางลี่ได้แต่หดคอเหมือนเต่าตัวน้อย เด็กสาวที่มีความรู้การรักษาไม่มากนักส่ายหน้าไปมาแล้วหยิบผ้ายัดใส่ปากคนเจ็บด้วยตนเอง เพราะบ้านใหญ่แทบไม่ให้เงินใช้ ข้าวปลาอาหารก็ส่งมาไม่พอกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ต้องกล่าวถึง นางจำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงตัวและคนในเรือนหลังน้อยแห่งนี้ ด้วยความเป็นคนหัวไว และอ่านออกเขียนคล่อง อายุเพียงสิบเอ็ดปีนางก็แอบรับจ้างคัดลอกตำราให้ร้านขายหนังสือแห่งหนึ่ง ประจวบกับตัวนางเคยเจ็บป่วยหนัก บิดาไม่แลเหลียว แม่นมหวงลอบไปเชิญหมอมาตรวจรักษานางทำให้ได้รู้จักกับได้ท่านหมอจูซีห่าว หลังจากหายดีนางจึงขอทำงานกับท่านหมอจู เรียนรู้วิชาแพทย์และคัดลอกตำราแพทย์ไปพร้อมกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กสาวรักษาคน แต่เป็นครั้งแรกที่นางซื้อคนมารักษา เงินสองตำลึงนั้นก็เพิ่งได้จากการรักษาฮูหยินท่านหนึ่ง เพราะเป็นสตรีจะพูดคุยกับหมอบุรุษก็รู้สึกขัดเขิน นางที่แอบลอบออกจากจวนติดตามหมอจูรักษาผู้คนจึงพอจะตรวจโรคพื้นฐานทั่วไปได้ แต่ถึงกระนั้น นางยังเจียมตัวไม่อาจเรียกตัวเองว่าหมอ “อดทนหน่อยนะ” นางเอ่ยแล้วใช้ปลายมีดกรีดเปิดปากแผล รับรู้ได้ถึงร่างกายที่เกร็งจนสั่นสะท้าน แผลตรงหัวไหล่เป็นมานานจนแผลอักเสบเป็นหนอง ทันทีที่ปากแผลเปิด หนองสีขาวขุ่นก็ไหลทะลักออกมา กลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งจนแม่นมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก จากนั้นใช้แหนบคีบเอาหัวลูกศรที่ฝังอยู่ออกมา เสียงถอนหายใจโล่ง อกที่อุปสรรคแรกผ่านไป “ต้องเอาหนองออกให้หมด” นางอธิบายทั้งที่ไม่แน่ใจว่าทาสที่ซื้อตัวมาฟังอยู่หรือไม่ เด็กสาวล้างแผลด้วยน้ำผสมเกลือเจือจาง ซับแผลจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดตกค้างอีกจึงหยิบยาผงโรยที่แผลแล้วใช้ผ้าปิดปากแผล “คุณหนูเก่งจังเลยเจ้าค่ะ” จางลี่อดชื่นชมไม่ได้ “ยังมีอีกแผลที่ต้องเย็บ” “ยะ..เย็บ..เย็บแผล?” คราวนี้จางลี่พูดไม่ออก นางเคยเห็นคุณหนูฝึกเย็บแผลบนหนังหมูที่ซื้อมา แต่ไม่เคยเห็นทำบนตัวคนเลยสักครั้ง ฟู่เซียงเซียงครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่ง อย่างไรก็ต้องเร่งรีบรักษาบาดแผลเหล่านี้ นางเปิดล่วมยาหยิบขวดยาที่เป็นสูตรลับของท่านหมอจูออกมาแต่เตรียมเครื่องมือเย็บแผล “ทำแผลไม่ยากเท่าไหร่ แต่หลังการทำแผลนี่ต่างหากที่สำคัญ ไม่รู้ว่าเขาจะอดทนได้มากน้อยเพียงใด” “แล้ว...คนผู้นี้เป็นใครเจ้าค่ะ” จางลี่เอียงคอถามอย่างสงสัย เด็กสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้แม่นมงุนงงหนักขึ้น “ข้าเดินผ่านตลาดค้าทาส เห็นแล้วก็คิดว่าเขาเหมาะกับการเป็นหุ่นให้ข้าได้ฝึกฝนรักษาบาดแผลจึงซื้อมา” “หา!” ฟู่เซียงเซียงเหนื่อยล้าจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง นางก้มหน้าลงมองคนเจ็บที่ยามนี้สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว มือเรียวเล็กยื่นไปหยิบผ้าออกจากปากของเขา เงินสองตำลึงที่คิดจะซื้อข้าวสารและเนื้อสัตว์ไว้ให้แม่นมปรุงเป็นอาหารหายวับไปกับตา จะโทษใครได้เล่านอกจากความใจอ่อนของตนเอง. .... “ไม่น่าเชื่อเลย” “ทำไมรึเจ้าคะ” หมอจูซีห่าวในวัยสามสิบห้าหันมามองเจ้าของเสียงหวานใสที่จ้องมองเขาอย่างเฝ้ารอคำตอบ มุมปากยกยิ้มอย่างเอ็นดู เขาเคยประกาศว่าไม่รับนางเป็นศิษย์ แต่เด็กสาวต้องการหาเงินเป็นค่าใช้จ่าย นางเคยคัดตำรามาก่อน ลายมือใช้ได้ดีทีเดียวและยังหัวไวสอนอะไรนิดหน่อยก็จำได้อย่างดี เสียดายที่นางเกิดเป็นหญิง ซ้ำยังเป็นสตรีที่เกิดในตระกูลสูงส่งจะให้เป็นหมอหญิงนั้นคงเป็นไปได้ยาก แม้ว่าสภาพความเป็นอยู่ของนางจะดู...เอ่อ...ไม่สมฐานะบุตรสาวภรรยาเอกไปสักหน่อย “เจ้าเย็บบาดแผลได้ดี หากหายแล้วคงเหลือแผลเป็นไม่น่าเกลียดนัก” “ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ข้านะฝึกฝนมาหลายครั้งแล้ว” “แต่เจ้าก็เพิ่งเคยเย็บหนังมนุษย์ครั้งแรก” หมอจูซีห่าวส่ายหน้าไปมาอายุยังน้อยแต่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ครั้งก่อนเขาไม่อยู่โรงหมอ นางแอบไปตรวจอาการคนป่วยเสียเอง แม้คนป่วยเป็นสตรีแต่นางก็ประมาทเกินไป “ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีที่เจ้าไปตรวจคนป่วยโดยพละการ” “ข้าไม่ได้อยากไปเสียหน่อยแต่เพราะฮูหยินท่านนั้นต้องการให้ข้าไปตรวจด้วยตนเอง นางเป็นหญิงไม่กล้าพูดบางเรื่องกับท่านหมอหรอกเจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงเบ้ปากใส่ทำแง่งอนราวเด็กน้อย “อย่าให้มีเรื่องเช่นนี้อีก” หมอจูซีห่าวถอนหายใจอีกครั้ง หากไม่รู้มาก่อนว่าความเป็นอยู่ของนางลำบากเพียงใด เขาคงไม่เชื่อว่าคุณหนูฟู่เซียงเซียงที่คนในเมืองต่างลือว่าร่างกายอ่อนแออยู่แต่ในจวน แท้จริงแล้วเป็นเด็กสาวร่าเริงและเฉลียวฉลาด เพราะเขาเป็นหมอที่เคยพานพบผู้คนมาหลายรูปแบบ จึงรู้ว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูด หรือไม่ก็ทำเป็นไม่เคยรู้เคยเห็นอะไรทั้งนั้น “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” ฟู่เซียงเซียงเข้าใจความลำบากใจของท่านหมอจูเป็นอย่างดี วันนี้ท่านหมอจูแค่แวะมาเตือนนางที่รักษาคนโดยพละการ แต่เมื่อนางเห็นหน้าเขาก็รีบจูงมือมาดูอาการของทาสที่ยังนอนหลับใหลหลังจากทำแผลตามเนื้อตัวและบนศีรษะให้เรียบร้อยแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม