เอกกวี ภูพนา หรือที่คนงานทุกคนเรียกว่า ‘นาย’ กำลังสั่งลูกน้องให้ตัดกิ่งของต้นองุ่น
“ครับนาย”
“ดีมาก ไปทำได้แล้ว”
“ครับ”
คนงานเดินจากไป แต่ชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนส์สีซีด เสื้อยืด และมีแจ็คเก็ตยีนส์สีเดียวกับกางเกงสวมทับยังคงยืนกอดอกมองไร่องุ่นที่กว้างสุดลูกหูลูกตาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจเช่นเดิม
เขาเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง แต่กลับไม่สนใจที่จะทำงานในบริษัทใหญ่โตที่ยื่นข้อเสนอดีๆ มาให้ ความชื่นชอบในการทำเกษตรฝังอยู่ในตัวตนของเขามานานแล้ว อาจจะเป็นเพราะบิดาและมารดาเป็นชาวไร่ เขาซึ่งเป็นลูกจึงซึมซับเลือดของกรรมกรมาเต็มเนื้อตัว
“นายคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
คนงานผู้หญิงวิ่งหน้าตาตื่นมาบอก
“มีอะไรหรือ”
“เอ่อ... คนจากกรุงเทพฯ เดินทางมาถึงแล้วค่ะ”
เขาระบายยิ้มน้อยๆ “แล้วไงล่ะ แม่ฉันก็อยู่ที่บ้านนี้ ให้ต้อนรับแทนฉันไปเลย”
“เอ่อ คือว่า...”
“กลับไปบอกแม่ด้วยนะว่ากลางวันนี้ฉันจะไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“เอ่อ...”
“ไปสิ ฉันจะทำงานแล้ว”
คนงานหญิงดูอึกอักและอึดอัดแต่เขาไม่ได้สนใจอะไร เขาหมุนตัว และเดินออกไปอีกทาง
“โธ่ นาย... กำลังจะบอกว่าถูกแย่งห้องนอนไปแล้วก็ไม่ยอมฟัง...”
เอกกวีเดินลัดเลาะดูคนงานตัดแต่งกิ่งของต้นองุ่น ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ครับเดือน”
เดือนเพ็ญเพื่อนผู้หญิงที่เขาสนิทด้วยมากที่สุด
“เอาไว้เย็นนี้นะครับ กลางวันผมไม่ว่างนะ ต้องคุมคนงานตัดกิ่งองุ่น ครับ... ไว้เจอกันครับ”
เขากับเดือนเพ็ญคบหากันในฐานะเพื่อนสนิทมาเกินสิบปี แม้จะรู้ดีว่าเดือนเพ็ญคิดกับเขามากกว่าคำว่าเพื่อน แต่เขาก็ไม่คิดจะสานสัมพันธ์ให้มากกว่านั้น เพราะคำว่าเพื่อนทำให้คบกันสบายใจที่สุดแล้ว
ชายหนุ่มระบายยิ้มบางๆ พลางอดคิดถึงแขกของมารดาที่จะมาอยู่ที่ไร่เป็นเวลาหนึ่งเดือนไม่ได้
“คุณปฐพีอยากให้เอกช่วยดัดนิสัยของลูกสาวเขาน่ะ เอกพอจะทำได้ไหม”
“ผมไม่ใช่ครูนะครับแม่ที่จะฝึก จะดัดนิสัยใครได้ แถมนี่ยังเป็นผู้หญิงอีก”
“นะเอกนะ ถือว่าแม่ขอร้องก็แล้วกัน ลูกสาวของคุณปฐพีดื้อมาก ไม่มีใครปรามได้เลย ตอนนี้คุณปฐพีก็หวังพึ่งเอกของแม่นี่แหละ”
“ก็ได้ครับ แต่ผมโหดนะครับ ถ้าขัดคำสั่งเอาไม้เรียวฟาดก้นทันที”
แม่ของเขาหัวเราะชอบใจ
“คุณปฐพีบอกกับแม่ว่าตามสบายเลยไม่ขัดข้อง เพราะอยากให้ลูกสาวนิสัยดีขึ้นสักหน่อย เล็กน้อยก็ยังดี”
จำได้ว่าเขารับปากมารดาออกไป และหัวเราะอย่างขบขัน
“ได้ครับ แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีผู้หญิงที่ไหนนิสัยเสียเกินยายช่อลูกสาวคนโปรดของแม่อีกแล้วน่ะครับ”
“แหม เอกก็ว่าน้องอยู่เรื่อยเลย น้องยังเด็กอยู่ก็เห็นนี่น่า”
“คุณแม่ก็แบบนี้ทุกที”
เขาระบายยิ้มบางๆ ออกมา มองมารดาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แม่ของเขาก็เป็นแบบนี้แหละ เข้าข้างช่อผกาจนจะกลายเป็นเด็กนิสัยเสียอยู่แล้ว
นี่คือบทสนทนาของเขากับมารดาเมื่อสองคืนก่อน และแน่นอนว่าเขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงภาระดัดนิสัยคุณหนูผู้ร่ำรวยได้อีกแล้ว
“ไว้เจอกันตอนเย็น คุณหนูฟ้าลดา”
“คุณหนูขา ออกไปเดินเล่นกันไหมคะ”
แววเอ่ยถามเมื่อเห็นเจ้านายสาวเอาแต่นอนเขี่ยโทรศัพท์มือถือเล่นอยู่บนเตียง
“ไม่เอาหรอก แดดร้อน เดี๋ยวผิวไหม้หมด”
“โธ่ คุณหนูขา นี่บ่ายสี่โมงกว่าแล้วค่ะ แดดอ่อนๆ แล้วล่ะค่ะ”
“ก็บอกว่าไม่ไปไงแวว เซ้าซี้อยู่ได้ เดี๋ยวไล่กลับกรุงเทพฯ เลยดีไหม”
แววยิ้มกว้างทันที “งั้นแววไปเก็บของเลยนะคะ”
“ยายแวว!”
“คะ คุณหนู” แววหน้าเจื่อนลง ในขณะที่ฟ้าลดาจ้องหน้าเขม็ง
“ฉันประชดยะ”
“แววก็นึกว่าเรื่องจริงเสียอีก” แววยิ้มหน้าเจื่อน
ฟ้าลดากระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นนั่ง
“ไปก็ได้ แต่เธอเอาครีมกันแดดมาชโลมตัวให้ฉันก่อน ฉันไม่อยากดำรู้ไหม”
“ค่ะ คุณหนู”
แล้วฟ้าลดาก็ยื่นแขนยื่นขาให้กับแววทาครีมกันแดดให้ ในขณะที่สายตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างโดยบังเอิญ
“ไร่องุ่นสวยเหมือนกันนะ เขียวขจีราวกับทุ่งหญ้า”
“คุณหนูชอบเหรอคะ” แววตาครีมกันแดดไปด้วยและถามไปด้วย
“ก็รู้สึกดีนะ แต่ยังไงก็สู้กรุงเทพฯ ไม่ได้หรอก ที่นั่นมีชีวิตชีวากว่าเยอะ”
“งั้นก็แสดงว่าคุณหนูจะกลับกรุงเทพฯ ทันทีเมื่อครบหนึ่งเดือนเหรอคะ”
“ใครว่าล่ะ ฉันจะกลับกรุงเทพฯ ทันทีเมื่อข่าวบ้าๆ นั่นซ่าแล้วต่างหาก”
“แต่คุณท่านบอกว่าหนึ่งเดือนนี่คะ”
“นั่นมันก็เรื่องของคุณพ่อ ไม่ใช่เรื่องของฉัน ว่าแต่เธอทาเร็วๆ สิ เสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้วค่ะ”
ฟ้าลดายกแขนของตัวเองขึ้นมาจ้องมอง
“นี่แวว แขนฉันยังทาไม่ทั่วเลย เดี๋ยวฉันผิวไหม้จะทำยังไง”
“เอ่อ แววก็ทาทั่วแล้วนี่คะ”
“ไม่ต้องเถียงเลย เอ๊าทาใหม่”
แววทำหน้าน่าสงสาร ก่อนจะทาให้ใหม่อีกรอบ และพอเสร็จสองสาวก็พากันเดินออกมาจากห้องพัก
“กางร่มให้ตรงๆ ฉันหน่อยสิแวว เห็นไหมว่าแดดยังแรงอยู่เลย”
ฟ้าลดาเดินย่องราวกับแขยงพื้นดินไปข้างหน้า
“แววก็กางดีแล้วนี่คะ”
“เถียงอีกแล้ว นี่เดี๋ยวออกไปซื้อร่มคันใหญ่กว่านี้มาเลยนะ นี่มันเล็กไป”
ฟ้าลดาพูดไปเดินไป และบ่นแววไปตลอดทาง
“แล้วนี่เราจะไปไหนกันเนี่ย”
“ก็เดินไปเรื่อยๆ ดีไหมคะ คุณหนูจะได้ดูองุ่นด้วย”
“อืม ก็ได้ ดีกว่านอนเหงาอยู่แต่ในห้อง”
ฟ้าลดาในร่มที่แววกางกันแดดให้เดินไปตามทางลูกรังและแน่นอนว่าบ่นตลอดทาง
“ว๊ายยยย...”
หล่อนรีบหลบเข้าข้างทางเมื่อรถคันหนึ่งวิ่งผ่านมา และทำฝุ่นสีแดงฟุ้งกระจายใส่หน้าของตัวเอง
“ไอ้บ้า ขับรถยังไงเนี่ย ไม่เห็นคนเดินหรือไง”
หญิงสาวตะโกนด่าตามหลังไป
“คุณหนูคะเป็นยังไงบ้างคะ” แววรีบทิ้งร่มและเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“หน้าฉันมีแต่ขี้ฝุ่นนี่ไงล่ะ” หล่อนโกรธสุดๆ “คอยดูเถอะ ฉันจะต้องฆ่าไอ้คนขับรถให้ได้”
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ ที่นี่เป็นถนนลูกรัง ก็เลยมีฝุ่นเยอะแบบนี้”
แววพยายามพูดให้เจ้านายสาวอารมณ์เย็นขึ้น แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล
“ก็ถ้ามันขับช้ากว่านี้ ฝุ่นก็คงไม่เข้าหน้าฉันหรอก จริงไหมแวว”
“แต่... เขาก็ไม่ได้ขับเร็วนะคะ ฝุ่นมันคงเยอะเอง”
“นี่แวว! เธอเป็นคนของใครเนี่ย ทำไมชอบขัดฉันจังเลยล่ะ”
ฟ้าลดาเอ็ดตะโรด้วยความโมโห
“แวว... แววเป็นคนของคุณหนูค่ะ”
“ดีนี่ที่ยังจำได้ว่าใครจ่ายเงินเดือน”
แววหน้าเจื่อนและซีด ในขณะที่ฟ้าลดาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวแล้ว กลับเถอะ”
“เออ ค่ะ...”
แววรีบไปหยิบร่มมากางให้กับฟ้าลดาอย่างรวดเร็ว ขณะเดินเคียงข้างกันกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
‘ผู้ชายที่จะปราบพยศฟ้าลดาได้ จะต้องสตรองเบอร์ไหนกันนะ’
แววเต็มไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจเป็นที่สุด