ตอนที่ 13
คำสารภาพที่ตามมาของเพื่อนรักที่ได้ยินก็ทำให้กัลย์กฤษณ์แทบจะปล่อยขำหัวเราะก๊าก
ออกมาเลยทีเดียวที่เขาเพิ่งได้ทราบว่าจามิกรเพื่อนรักนี่เป็นคนที่ค่อนข้างกลัวแฟนเสียยิ่งว่าอะไรอีก นี่ถ้าเกิดได้เป็นเมียด้วย เขาจึงคิดว่าเพื่อนรักคงเป็นคนที่ค่อนข้างกลัวเมียเอาเสียมากๆด้วยล่ะ
“เออว่ะนี่เอาแต่หัวเราะกัน ฮึ ก็ขอไว้เป็นทีของนายบ้างเหอะไอ้กิ้น ฉันเองก็จะหัวเราะให้ท้องคัดท้องแข็งไปเลยเหมือนกันว่ะ”
จามิกรก็ไม่น้อยหน้าเพื่อนรัก เขาก็ใส่ฤทธิ์เดชเป็นการเอากลับคืนเพื่อนรักหนุ่มเจ้าของฟาร์มด้วยเช่นกันแล้วจากนั้นกิ้นหรือกัลย์กฤษณ์ถึงกับหยุดหัวเราะที่เพื่อนตอกใส่อย่างนั้น
แต่ก็แย้งว่า “เฮอะนายกรเอ๋ยคนอย่างฉันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอกเพราะฉันจะต้องถือว่าฉันเป็นช้างเท้าหน้า ส่วนผู้หญิงนั้นก็เป็นช้างเท้าหลังไป เพราะโลกใบนี้ก็สร้างให้เป็นอย่างนี้อยู่แล้วเพื่อน”
กัลย์กฤษณ์อดที่จะเข้าข้างเพศเดียวกับตัวเองไม่ได้ ฝ่ายจามิกรที่เพิ่งมาถึง หลังจากที่เขานั้นได้สัพยอกหยอกเพื่อนแล้วก็ไม่มีอะไรมากมาย ก็เพียงแค่ทักทายตามประสาเพื่อนสนิทเท่านั้นที่เขาถือว่ามาทำงานที่นี่ให้กับครอบครัวของเพื่อนรักแต่ไม่ใช่เป็นงานประจำเพราะงานประจำของเขามีอยู่อีกที่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรักษาสัตว์
แต่ในช่วงระยะหลัง ดูเหมือนที่ไร่ของคุณมณีพิณจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องพวกสัตว์ล้มป่วยมาตลอด เป็นอย่างต่อเนื่อง จามิกรเลยอาสาเข้ามา และเข้ามาทำงานอย่างต่อเนื่อง จนคนทั่วไปและคนงานในฟาร์มคิดว่าเขาทำงานที่นี่ประจำ
อีกอย่างเมื่อเพื่อนรักกลับมาสู่บ้านเกิด ก็ทำให้ผละไปไหนไม่ได้ เพราะทั้งคู่ถือว่าสนิทกันเหมือนคู่ปาท่องโก๋ เพราะเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่สมัยเด็กอีกอย่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมากที่สุดด้วยและอีกอย่างในตอนนี้ก็รู้ดีว่า กามเทพกำลังจะแผลงศรรักให้กับชายหนุ่มทายาทเจ้าของฟาร์ม ได้เปิดประตูรับทักทายกับความรักกับเขาคนหนึ่งแล้ว
และครู่ต่อมานายสัตวแพทย์หนุ่มเดินมาพร้อมกับลูกชายคนเดียวของเจ้าของไร่ ผู้เป็นเพื่อนสนิท และตั้งใจมุ่งหน้าเข้าไปในตัวบ้านก่อน เพื่อเอ่ยทักนางมณีพิณ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้านายและเป็นผู้จ่ายเงินเดือน และคุณมณีพิณเองก็รักเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่งเช่นกัน
“สวัสดีครับ แม่พิณ” คำพูดที่ใช้เรียกสนิทสนม และเป็นคำพูดที่ฟังแล้วสบายใจ
นางมณีพิณเมื่อได้ยินเสียงทัก จึงได้หันหน้าเข้ามาหาสองหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาถึงข้างใน และนางเองกำลังจัดวางคว่ำถ้วยกาแฟและจานรอง หลังจากที่ทานเสร็จเพื่อให้ดูเป็นระเบียบและใช้ผ้าสะอาดเช็ดถาดไปพร้อมๆกัน เพื่อลบรอยเปื้อนคราบที่เป็นสีน้ำตาล อยู่ตามลำพัง จากนั้นสองหนุ่มก็ขออนุญาตออกไปข้างนอกเช่นเดิม
“จ้ะลูก ตามสบายนะ แม่กำลังวุ่นอยู่ในครัว” คุณมณีพิณขอจัดการงานในครัวก่อนส่วนคนใช้อีกคนก็ถูเรือนอยู่ข้างในกับปัดกวาดเช็ดถู
และเมื่อเริ่มทำงานอีกครั้ง เขาและเพื่อนนั้นอยู่ในท่ามกลางสนามหญ้ามีเครื่องมือแพทย์นั้นวางอยู่ใกล้ตัว ซึ่งเวลานี้แดดกำลังทอแสงอ่อนๆ คิดว่าวันนี้ตั้งแต่เวลาแปดโมงไปจนถึงสิบโมง แดดยังไม่แรงเริงหรือกล้าทวี เหล่าบรรดาคนงานในไร่ก็ทำงานด้วยความสบายใจ
ส่วนเขานั้นกัลย์กฤษณ์แต่งกายทะมัดทะแมง สวมกางเกงยีนในชุดโคบาล หมวกสีดำปีกกว้าง ในขณะที่หมอจามิกรกำลังให้วัคซีนลูกแกะในคอกที่แยกเดี่ยว เพราะหวั่นติดเชื้อจากแม่มาสู่ลูก ก่อนหน้านั้นแม่ของมัน ได้ล้มป่วยเสียชีวิตลง จามิกรจึงดูแลอย่างสุดชีวิต
เจ้านายของเขาอีกตำแหน่งเป็นเพื่อนสนิท ก็เป็นคนรักสัตว์กำชับว่า
“รักษาเจ้าโบวี่ให้ได้นะอย่าให้มันตายแค่มันกำพร้าแม่ฉันก็รู้สึกสงสาร” และหมอจามิกรเลยหันมาพยักหน้าเสียงหนักแน่นให้เพื่อน “อือม ได้ ฉันรับประกันนะกิ้น ว่ามันต้องรอด”
คนฟังที่เป็นเพื่อนสนิทถึงกับยิ้ม แค่นี้ก็มีความหวังพร้อมกับเขาเอื้อมมือไปลูบที่ต้นคอของมัน บอกว่า
“สู้เขานะโบวี่ สู้ๆ แกต้องรอดตายอย่างแน่นอน”
และเจ้าแกะน้อยบาดเจ็บมันก็ทำท่ารับรู้พร้อมกับผงกศีรษะ จากนั้นแล้วก็ลองวิ่งไปมา
รอบคอกอย่างช้าๆก็ยังดีกว่ามันตื่นกลัวหรือเหงาหงอยอีกหน่อยอาการของมันก็เริ่มจะดีเองตามที่จามิกรบอกเขา
และภายในอาณาเขตไร่ที่ดูกว้างขวางมีจำนวนพืชพันธ์ในการดูแลที่หว่านปลูกและหยอดเมล็ดหลายรายการส่วนแปลงที่ลงใหม่เป็นต้นฝ้ายพันธ์ที่ได้มาจากกรมเกษตรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มารดาได้เข้าไปอบรมแล้วนำหน่อพันธ์มาลงปลูกทดแทนที่เดิมซึ่งเป็นหญ้าเนเปียร์สำหรับเลี้ยงแกะและแพะซึ่งพื้นที่ปลูกหญ้านั้นมีมากเกินไปและนางก็ต้องการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์นอกจากปลูกผักสวนครัว ที่ส่งขายให้เจ้าประจำ อันมีตะไคร้ ขิงข่า และเตยหอม พริก มะเขือ
“ที่ใหม่นั้นแม่ต้องการจะปลูกฝ้ายเพราะเห็นว่าตอนนี้ราคาดี และหายาก” คุณมณีพิณนั้นเธอสวมงอบใบลานส่วนใบหน้าถูกปิดทับด้วยผ้า เห็นแต่เพียงลูกตา หลังจากชี้มือบอกกับบุตรชาย และก็วาดหวังให้เขานั้นสานต่องานในไร่เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องตกเป็นของลูกชายคนเดียวอย่างเขาอยู่แล้ว
“แม่หวังเหลือเกินว่าลูกจะดูแลมันได้ดีเท่าแม่”
ชื่นชมและให้กำลังใจหากว่ากัลย์กฤษณ์ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายหมากรุกในวันนี้ อวดร่างสูงเมื่อยืนเคียงมารดานางมณีพิณสูงเท่าระดับไหล่ของบุตรชายและในวัยห้าสิบสองปีของนางแม้ยังจะดูกระฉับกระเฉงว่องไวและทำการงานตามปกติ
เป็นเพราะความเคยชินแต่บางครั้งก็ถดถอยเพราะอายุเพิ่มขึ้นก็ตั้งแต่หย่าขาดจากสามีนั้นนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อนายโกสีย์อดีตสามีให้ลูกชายรับฟัง
แม้ทั้งที่รู้ว่ากัลย์กฤษณ์นั้นยังมีความผูกพันและสัมพันธ์ต่อตระกูลของย่าและบิดา ที่นางได้ตัดใจจากทุกสิ่งทุกอย่างมา เพราะคิดว่านี่ดีที่สุดแล้วทรัพย์สมบัติแท้จริงเป็นของใครก็ควรจะตกเป็นของผู้ครอบครองอย่างสมบูรณ์ คือคุณธิดาภรรยาหลวง ซึ่งตอนเมื่อก่อนในระหว่างที่นางอยู่กินกับนายโกสีย์ นั้นก็โดยไม่ทราบเรื่องว่าเขามีภรรยามาก่อน จนมาคลอดลูกชายเรื่องจึงแดงขึ้นหากว่าสำหรับนางมณีพิณในชีวิตนี้ก็ไม่เคยถูกตราหน้าว่าแย่งของคนอื่นแต่คราวนี้ต้องพบเจอกับตัวเอง รวมทั้งมันก็ไม่น่าแปลกใจที่นางกลับถูกพิษพยาบาทและอาฆาตปองร้ายจากภรรยาหลวงอย่างคุณธิดา