ตอนที่ 11
เพราะได้รับคำสั่งและคำกำชับ จากเจ้านายใหญ่คุณธิดาสั่งว่าให้ดูแลหลานสาวของนางให้ดี และเชื่อฟังทุกอย่างแทนนางถือว่าหลานสาวคนนี้ของคุณธิดาเป็นตัวแทนของนาง
แต่แล้วก็ถึงที่พักในที่สุด และหญิงสาวได้สั่งให้คนขับนั้นหยุดจอดที่หน้าบันไดทางขึ้น เพื่อที่หล่อนจะได้ก้าวขึ้นตึกห้องพักได้สะดวก แล้วเพียงปัทม์และพนักงานสาวอีกสองคนที่ตามมาด้วยก็ผลักประตูเปิดลงเช่นเดียวกันหญิงสาว หากหล่อนไม่ลืมที่จะตรวจตราดูข้าวของอีกครั้ง ทั้งกระเป๋าสะพายรวมทั้งกระเป๋าสตางค์ และโทรศัพท์มือถือหล่อนคิดว่าอาจมีธุระที่จะต้องคุยกับมารดาในคืนนี้ด้วย เพราะความคิดถึง ต่อมานั้นในห้องส่วนตัวของเพียงปัทม์ ที่ทาด้วยสีครีมและชมพูเป็นสีโทนอ่อนๆสีหวานที่หล่อนชอบ หญิงสาวทิ้งกายลงบนเตียงนอน หลังจากที่จัดการกับธุระทุกอย่างลงตัวรวมทั้งจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่เป็นชุดนอนสีชมพูตัวโปรด ก่อนจะทาแป้งให้หอมกรุ่น และทาโลชั่นบำรุงผิวก่อนนอน
ส่วนกัลย์กฤษณ์นั้นเป้าหมายพลาดจนได้แป้วทันทีรู้สึกว่าเขาจะกลับมาที่บ้านด้วยความว่างเปล่ากับอาการกินแห้ว แต่เขาจะไม่ละความพยายามแน่ การเดินแผนของเขาผิดคาดไปหมดหญิงสาวสวยท่าทางเหลี่ยมจัดคนนั้นหล่อนระมัดระวังตัวเองดีนักหนา
หากยอมรับว่ามันทำให้กัลย์กฤษณ์หัวเสียอยู่เช่นกัน เมื่อเขานั้นได้ขับรถมาถึงบ้านโดยความปลอดภัยดีแล้ว และก็ทำเอาคุณมณีพิณมารดาที่ใจคอกระวนกระวายด้วยความไม่สบายใจนั้นยิ้มออกมาได้ ที่ไม่เห็นลูกชายโผล่ตัวกลับมาซักทีในค่ำของวันนี้ เพราะบอกก่อนจะไปว่า ไปส่งเพื่อนสนิทที่เป็นนายสัตวแพทย์เท่านั้น ผู้หญิงคนนั้นหรือ กิ้นแอบคิด ด้วยความมุ่งมั่น ขณะเดินขึ้นบ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มย่อท้อ ซึ่งมันตรงกันข้าม เพราะรู้สึกทำให้เขาอยากจะเอาชนะถ้าหล่อนเล่นแผนนี้ ละก็ คนอย่างเขาก็มีแผนใหม่รองรับเช่นกัน
ให้ตายสิ แต่ไม่รู้ว่าหล่อนพักอยู่ที่ไหนเขาคิดว่าหนองบัวแดงนั้นคงไม่กว้างเกินไปหรอกจนถึงขนาดตามหาหล่อนได้ไม่เจอ แต่ขณะนี้สีหน้าของเขาก็แบกความผิดหวังและบ่งบอกว่าไม่ค่อยสบายใจสักเท่าใดนัก
แต่ปกตินั้นกัลย์กฤษณ์จะไม่เป็นอย่างนี้นี่ โน่นตรงหน้า คุณนายมณีพิณ เธอช่างสังเกต อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นมารดาที่คอยติดตามดูแลเขาตลอดมา เขาเป็นลูกชายคนเดียว เป็นแก้วตาดวงใจของหล่อน ที่ไม่ยินยอมให้สามีพรากไปจากอก เพราะหล่อนคิดว่าสามารถเลี้ยงลูกชายคนเดียวให้อยู่รอดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้อย่างแน่นอน
“นี่ไปทะเลาะกับเพื่อนมาหรือยังไงลูก”
เพราะยิ่งสงสัย คุณมณีพิณเลยเอ่ยถาม
แต่กัลย์กฤษณ์กลับเงียบ ใบหน้าคมคายที่ดูหล่อเหลาเช่นเดิม หากแต่ดูขรึม คล้ายกับมีเรื่องบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ ยิ่งเห็นท่าทีของบุตรชายแล้ว นางมณีพิณได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่ได้ทะเลาะกับนายหมอ มาหรอกครับ แต่เรื่องอื่นมากกว่า”
ในที่สุดเสียงทุ้มจึงหลุดออกมาให้คุณมณีพิณได้ทราบ
กัลย์กฤษณ์เอ่ยตอบแล้วหันไปทางมารดา
“คุณแม่ทานข้าวเรียบร้อยแล้วหรือยังครับ”
เสียงถามอ่อนโยนด้วยความเอาใจใส่ทำให้สีหน้าของนางมณีพิณดีขึ้นกว่าเก่าหลังจากที่ลูกชายกลับมาอย่างปลอดภัย
“จ้ะแม่เรียบร้อยแล้วห่วงแต่ลูกนั่นแหละ ไม่นึกว่าจะไปส่งเพื่อนนานขนาดนั้น”
เอ่ยบ่นแต่ก็ไม่ได้เชิงตำหนิ
เขาเลยอธิบายให้ทราบ
“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับแม่ ทีแรกผมเองก็ไม่นึกว่านายหมอ มันจะนัดน้องป่านแก้วเอาไว้ด้วยแฟนมันเอาไว้ด้วย ก็ชวนกันไปทานข้าว ผมก็เลยต้องอยู่ต่อ”
คุณมณีพิณเองรู้จักป่านแก้วที่เป็นลูกสาวของกำนันบุญยิ่งเป็นอย่างดีเพราะเขายังให้ความช่วยเหลือในเรื่องธุรกิจในฟาร์มของนางเสียหลายครั้งในฐานะคนบ้านเดียวกัน
“เอาล่ะพอแม่ได้มาเห็นกิ้นกลับมาอย่างปลอดภัย แม่ก็หายห่วงแล้วล่ะลูกเอ๋ย” คุณมณีพิณเอ่ยเช่นนี้กับแก้วตาดวงใจของนาง
กัลย์กฤษณ์ยิ่งเข้าใจคำพูดของมารดาที่นางตอกย้ำถึงความเป็นห่วงเป็นใยในสายใยระหว่างแม่ลูกที่กัลย์กฤษณ์นั้นเขาก็ไม่ลืม เช่นกัน และชายหนุ่มก็ซาบซึ้งในบุญคุณยิ่งนัก
เขาสัญญาว่าจะดูแลมารดาของเขาให้ดีทั้งเรื่องสุขภาพและจิตใจ ปกป้องดูแลท่านให้สมกับเป็นบุพการี ส่วนบิดานั้นกัลย์กฤษณ์ไม่อยากจะเอ่ยถึงเพราะท่านก็อยู่กับครอบครัวใหม่และคิดว่าท่านเองก็มีความสุขดี จากการที่มีบริวารคอยห้อมล้อม ปฏิบัติอย่างเอาอกเอาใจ เพราะท่านถือว่าเป็นคหบดีผู้มีชื่อเสียง รวมทั้งเป็นผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจ ระดับมหาเศรษฐีของจังหวัดทีเดียว
กัลย์กฤษณ์ไม่อยากจะมีส่วนไปเกี่ยวพันถ้าจะพูดนั้น ทำไม?เขาจะต้องเกิดมาเป็นลูกชายของนายโกสีย์ด้วยนะ
“เอาล่ะในเมื่อมาถึงแล้วก็รีบอาบน้ำเข้านอนเสียลูกนี่ก็ดึกแล้วพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า”
ค่ำสนิทในคืนนี้นั้นเป็นคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงสว่างไสวภายในห้องพักส่วนตัว ที่ตั้งอยู่ในรีสอร์ทแห่งใหม่ของคุณป้าธิดาเพียงปัทม์พลิกกายบนที่นอนอีกครั้ง เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเผลอหลับ
พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าจะต้องโทร.ไปรายงานสภาพความเป็นอยู่ให้มารดาที่อยู่นครราชสีมาทราบก่อน ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากเพราะท่านเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่าให้โทร.ไปรายงานด้วยเหลือบมองดูนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงซึ่งเข็มสั้นชี้ไปที่เลข9เข็มยาวชี้ไปเลข10 สามทุ่มกว่าเท่านั้นจึงรีบควานหาโทร.มือถือพร้อมกดทันที
สักพักจึงได้ยินเสียงสัญญาณตอบกลับ หากแต่สัญญาณคลื่นไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยังจับใจความได้หล่อนคิดว่า มารดาคงลืมเปิดลำโพงเสียง
“หนูพาวน์ นี่แม่นะลูก หนูได้ยินเสียงแม่หรือเปล่า”
คุณโฉมนภาถามออกไปนางโฉมนภารู้ว่าปุ่มลำโพงอยู่ตรงไหน จึงรีบกดทันที
“ตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“เสียงชัดแจ๋วเลยค่ะแม่ พาวน์ได้ยินชัดแล้ว”
“ได้ยินค่ะแม่แต่ว่าเสียงของแม่เบาไปมากแม่คะช่วยเปิดเสียงที่ลำโพงหน่อยสิคะพาวน์จะได้ยินชัดมากกว่านี้”