โดนตกเข้าเต็ม ๆ

1993 คำ
พี่รินกลับไปแล้วแต่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ส่งมือลูบที่ว่างข้างๆ ที่เคยมีอีกคนนั่งอยู่ กลิ่นหอมจางของพี่เขายังไม่หายไป ตอนพี่ไวท์เดินมาบอกให้เข้าไปดูแลห้องวีไอพีผมดีใจจนพูดไม่ออก เพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้ดูแลแขกห้องวีไอพีแถมแขกที่ว่ายังเป็นเพื่อนเจ้าของร้านอีกด้วย ยอมรับว่าทั้งประหม่าและตื่นเต้น พี่ไวท์คงเห็นอาการของผมเลยพูดให้กำลังใจ "เพื่อนพี่ไม่ใช่คนเรื่องมาก ทำอย่างที่เคยทำมาก็พอ พี่เชื่อว่าแกทำได้" พอได้ยินแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่พอเปิดประตูเข้าไปความประหม่าก็ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสายตาสบกับดวงตากลมโตของคนที่นั่งอยู่ด้านใน ถึงใบหน้ายิ้มแย้มแต่ใครจะรู้ว่าใจผมตอนนั้นเต้นแรงมากแค่ไหนตอนที่ได้นั่งลงข้างๆ พี่เขา กลิ่นหอมอ่อนลอยมาจนทำให้มือไม้สั่น ยิ่งตอนที่พี่รินควงแก้วเหล้าหลับตายิ่งทำให้ผมล่ะสายตาไปไหนไม่ได้ ในขณะที่กำลังมองเพลินจู่ๆ พี่รินก็ลืมตาขึ้นแล้วขยับมาใกล้ ใกล้จนผมที่ตั้งตัวไม่ทันถึงกับต้องกลั้นลมหายใจ พี่เขาถามว่ามีแฟนรึเปล่า ผมก็ตอบไปในทันทีว่าไม่มี ก็เพราะไม่มีอย่างที่พูดจริงๆ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อคนตรงหน้ากดจูบลงมา ผมตาเบิกกว้างอย่างตกใจจ้องดวงตากลมโตคู่นั่นอย่างค้นหาว่าทำไมถึงได้จูบผมแบบนี้ พี่เขาถามอีกครั้งว่าโกรธรึเปล่าที่โดนจูบ ผมก็ตอบอย่างไม่คิดเหมือนอย่างเคยว่าไม่ ผมจะโกรธได้ยังไงในเมื่อรู้สึกดีมากถึงขนาดนี้ จากนั้นเราก็จูบกันอีกครั้งโดยที่ครั้งนี้ผมปล่อยตัวไปตามสัญชาตญาณของตัวเอง พี่รินเป็นคนที่สวยมาก ตัวเล็ก ผิวขาวใส ตากลมโต จมูกโด่ง ริมฝีปากก็จิ้มลิ้มน่ารัก ครั้งแรกที่เจอสวยยังไงตอนนี้ก็ยังสวยไม่เปลี่ยน แถมยังเซ็กซี่ขึ้นอีกด้วย ผมส่งมือลูบไล้ไปตามเอวคอดกิ่วบ้างก็เลื่อนลงมายังก้นกลมกลึง แต่ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปกว่านั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่คงจะเป็นคนสำคัญเพราะเพียงแค่เขาเอ่ยบอกพี่รินก็รีบทำตามทันที ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่กล้าถามออกไปเพราะไม่ได้อยู่ในสถานะที่สามารถทำอะไรได้ ก่อนจากไปพี่รินยังกำชับว่าห้ามผมไปทำแบบนี้กับใครอีก ซึ่งก็รับปากอย่างเต็มใจ ตั้งแต่เข้ามาทำงานครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมจูบกับลูกค้า แล้วก็ไม่คิดที่จะไปทำกับใครแบบนี้อีก ตอนได้ยินพี่เขาบอกว่าจะมาหาบ่อยๆ ก็ทำให้ใจฟูจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ผมคิดว่าคงโดนพี่รินตกเข้าเต็มๆ แล้วแหละ บ้านวีระเจริญพงษ์ "จำทางกลับบ้านได้ด้วยหรอ" เพียงแค่ก้าวขาเข้าบ้านเสียงเหน็บแนมก็ดังขึ้นทันที ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ฉันมองหน้าบุคคลผู้ให้กำเนิดนิ่ง ถึงท่านอายุจะปาเข้าไปถึงสี่สิบเก้าปีแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้ายังดูดีไม่แพ้เด็กหนุ่มรุ่นลูกเลยสักนิด "ก็ไม่เคยลืมนิค่ะ" "ไม่ลืมแต่ไม่กลับ ทำงานเสร็จแกควรกลับบ้านไม่ใช่ตรงดิ่งเข้าผับแบบนั้น" "ก็ที่บ้านไม่มีเหล้าให้รินดื่ม" "แกจะเอาเท่าไหร่ ฉันจะสั่งคนซื้อมาให้จะได้ไม่ต้องออกไปตลอนๆ ข้างนอก" "ไม่เอาหรอกค่ะ มันไม่ได้อารมณ์" จะให้มานั่งจิบเหล้าในขณะที่มีสายตาของคุณพ่อจ้องตลอดเวลาเนี่ยนะ ใครมันจะไปกินลงไม่เอาด้วยหรอก "เป็นผู้หญิงหัดทำตัวให้มันดีๆ กับเค้าบ้างได้มั้ย ดูอย่างหนูพิมลูกคุณพิสมัยสิแต่งตัวก็เรียบร้อย เอาการเอางานไม่ทำตัวเหลวไหลเหมือนแก" ฉันได้แต่กลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย แค่แต่งตัวเรียบร้อยก็เป็นคนดีแล้วงั้นหรอ แล้วเรื่องงานฉันไม่สนใจตรงไหน นี่ก็ทำงานจนสายตัวแทบขาดแล้วมั้ย คุณพ่อยังต้องการอะไรจากฉันอีก "ถ้ายัยพิมมันดีขนาดนั้นทำไมพ่อไม่ขอมาเป็นลูกตัวเองเลยล่ะค่ะ" "ที่พูดไม่ใช่อยากได้คนอื่นมาเป็นลูก แต่ฉันอยากให้แกทำตัวดีๆ เหมือนลูกคนอื่นเค้าบ้าง" "แค่รินแต่งตัวเซ็กซี่ ชอบดื่มเหล้า ก็เป็นคนไม่ดีแล้วหรอคะ การเป็นคนดีหรือไม่มีมันวัดกันแค่นี้รึไง" พูดออกไปอย่างเหลืออด การที่ฉันเป็นตัวของตัวเองมันผิดมากเลยหรอ ฉันชอบแต่งตัวเพราะชอบแฟชั่น ชอบดื่มเหล้าเพราะมันทำให้หายเครียด ไม่เห็นว่าการที่เป็นแบบนี้ทำให้ใครเดือดร้อนตรงไหน ทำไมคุณพ่อชอบทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่อยู่เรื่อย "นี่แกไม่เข้าใจอะไรเลยใช่มั้ย ฉันบอกแกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วว่าภาพลักษณ์ของแกก็เท่ากับภาพลักษณ์ของบริษัท" ''รินไม่ลืมหรอกค่ะ ก็พ่อเล่นพูดกรอกหูรินทุกวันจะลืมได้ไง" ได้ยินบ่อยจนมันจะซึมเข้าเซลล์สมองอยู่แล้ว "ยัยริน! นี่ฉันเป็นพ่อแกนะ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย" "คุณรินเมาเลยพูดอะไรไม่คิดนะครับคุณท่าน อย่าถือสาเลยนะครับ" "ไม่ได้เมาสักหน่อย" ครามส่ายหน้าเชิงห้ามเมื่อเห็นฉันตั้งท่าจะพูดต่อ "แกก็เหมือนกันคราม รู้จักห้ามมันบ้างไม่ใช่ตามใจไปซะทุกเรื่อง ถ้าแกยังทำให้มันเป็นผู้เป็นคนกว่านี้ไม่ได้ฉันคงต้องให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน" "ครามแค่ทำตามคำสั่ง ถ้าจะว่าก็ว่ารินคนเดียว แล้วอีกอย่างรินก็ไม่เอาใครทั้งนั้นถ้าไม่ใช่คราม" "ถ้าแกยังอยากให้ครามทำงานต่อ ก็ต้องทำตัวให้ดีกว่านี้ถือว่าฉันเตือนแล้วนะ" พูดจบคุณพ่อก็เดินขึ้นห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก "ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ คุณท่านไม่ไล่ผมออกหรอก" "ก็ลองไล่ดูสิ จะโวยวายให้" เปิดประตูห้องนอนโยนกระเป๋าสะพายลงบนเตียงอย่างแรงราวกับซื้อมาใบละบาทสองบาท ครามที่เดินตามหลังเข้ามาได้แต่ส่ายหน้าให้กับนิสัยเด็กๆ ของฉัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหยิบกระเป๋าเข้าชั้นวางให้อยู่ดี "พรุ่งนี้มีประชุมตอนแปดโมงเช้านะครับ" "ค่าๆ คุณเลขาดิฉันจำได้ค่า" เอ่ยตอบพร้อมพยักหน้าขึ้นลงกวนๆ ครามที่เห็นท่าทีขี้เล่นของฉันก็ยื่นมือมาขยี้ผมกันจนฟูฟ่อง "อารมณ์ดีขึ้นแล้วหรอครับ" "อือ...ไม่รู้จะอารมณ์บูดไปทำไม" ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ถ้าจะบอกว่าว่าไม่คิดอะไรเลยกับคำพูดของคุณพ่อก็คงไม่ใช่แต่มันเจอบ่อยจนเริ่มชินแล้วต่างหาก "ดีแล้วครับ" "ครามกลับห้องไปพักเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" วันนี้ทั้งวันครามยังไม่ได้มีเวลาพักเลย ลงเครื่องปุ๊บก็ถูกฉันลากเข้าผับปั๊บ "คุณรินก็เหมือนกัน ไม่ต้องเล่นมือถือแล้วนะครับ อาบน้ำเข้านอนเลย" "รับทราบค่าพี่คราม น้องรินจะทำตามที่พี่ครามบอกทุกอย่างเลยค่า" "เดี๋ยวผมปิดประตูให้ครับ" "ฝันดีคราม" "ฝันดีครับคุณริน" ส่งยิ้มให้คนตัวสูงอีกครั้งก่อนที่ประตูจะปิดลง คงมีแค่ครามที่เป็นห่วงและเข้าใจฉันจริงๆ ตั้งแต่คุณแม่เสียไปด้วยโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน ฉันก็มีแค่เขาที่คอยอยู่ข้างๆ สำหรับฉันครามเป็นทุกอย่าง เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นเลขา ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรก็ยังอยู่เคียงข้างเสมอ เวลาโดนคุณพ่อดุก็จะออกหน้ารับแทนตลอดตั้งแต่เด็กจนโต ครามเป็นลูกลุงยักษ์ที่เคยทำงานเป็นเลขาให้กับคุณพ่อ ลุงยักษ์มักจะพาครามมาฝากเลี้ยงที่บ้านบ่อยๆ เวลาต้องไปทำงานต่างประเทศเพราะท่านเลี้ยงครามมาด้วยตัวคนเดียว ท่านเกรงใจที่รบกวนบ่อยจนคิดจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลแทน แต่คุณแม่ไม่เห็นด้วยเพราะกลัวเขาโดนพี่เลี้ยงทำร้ายเหมือนที่เคยเห็นในข่าว ดังนั้นคุณแม่ก็เลยทำหน้าที่เป็นทั้งแม่ให้กับฉันและคราม ด้วยเหตุนี้เราสองคนก็เลยโตมาด้วยกัน ในวันที่ฝนตกอย่างหนัก ฉันกับครามนั่งจ้องหน้าคอมฯ ลุ้นผลสอบเข้าชั้นมอหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่กำลังกระโดดกอดกันอย่างดีใจเมื่อผลคะแนนออกมาว่าเราทั้งคู่คนสอบติด เป็นเวลาเดียวกันกับลูกน้องคนหนึ่งของบ้านวิ่งเข้ามาบอกว่ารถที่คุณพ่อนั่งไปเกิดเสียหลักลงข้างทาง โชคดีที่ท่านแค่แขนหักและสลบไป แต่โชคร้ายที่คนขับซึ่งก็คือลุงยักษ์เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จำได้แม่นว่าทันทีที่ครามได้ยินเจ้าตัวถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างน่าสงสาร ทั้งชีวิตครามมีแค่ลุงยักษ์เท่านั้นที่เป็นครอบครัวจริงๆ เขาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ฉันที่เห็นเพื่อนร้องไห้ก็ร้องตามไปด้วยถึงแม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์มากนักในตอนนั้น ฉันกอดเขาไว้แน่นเท่าที่จะทำได้ ร่างหนากว่าสั่นสะท้านจากการร้องไห้อย่างหนัก เราสองคนถูกคุณแม่ห้ามไม่ให้ตามไปที่โรงพยาบาลด้วยถึงแม้ใจจะอยากไปด้วยแค่ไหนก็ตาม คุณแม่บอกว่าท่านต้องไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจะมารับฉันกับครามไปโรงพยาบาลพร้อมกันในเข้าวันพรุ่งนี้ คืนนั้นครามไม่นอนเลย เขานั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกจนถึงเช้า ซึ่งฉันก็อยู่เป็นเพื่อนไม่ห่างเช่นกัน เช้าวันต่อมาครามไม่มีน้ำตาแล้ว แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและเสียใจจากแววตาคู่นั้น หลังจากงานศพลุงยักษ์ผ่านไปคุณพ่อกับคุณแม่ให้ครามย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้าน ทีแรกเจ้าตัวไม่ยอมแต่ทนลูกตื๊อไม่ไหวจนต้องยอมในที่สุด คุณแม่ให้ครามคิดว่าตัวเองเป็นลูกอีกคนของบ้านหลังนี้ เราทุกคนรักเขาเหมือนคนในครอบครัวจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยทำตัวให้เสมอฉันเลยสักครั้ง เรียกคุณรินอย่างนั้นคุณรินอย่างนี้ จนทุกวันนี้ก็ยังเรียกแบบนั้นอยู่ ฉันรู้ว่าครามเหงามาก เขายังคิดถึงลุงยักษ์ตลอด ในแต่ละปีถ้าใกล้ถึงวันที่ลุงยักษ์จากไปครามจะซึมกว่าปกติ ถึงจะพยายามทำตัวให้ร่าเริงแค่ไหนแต่ฉันก็จับสังเกตได้อยู่ดี ก็เรารู้จักกันมาตั้งแต่เกิดเลยนี่นาคงไม่แปลกที่ฉันจะรับรู้ทุกความรู้สึกของเขาได้ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันครามจะมีคนดีๆ เข้ามาในชีวิต มีคนที่รักเขาช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์ ถ้าวันนั้นมาถึงคงเป็นวันที่ฉันดีใจมากๆ ที่พี่ชายเพียงคนเดียวของฉันมีความสุข
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม