“ไม่เป็นไรหรอกเว้ย แค่ฝึกคนละจังหวัดเอง กำแพงเพชรกับพิษณุโลกมันก็ไม่ได้ไกลกันมาก ขับรถชั่วโมงสองชั่วโมงก็ถึง”
กั้งพยักหน้าเห็นด้วยทันควัน ผมมองหน้าพวกมันแล้วพ่นลมหายใจพรืด
“ไม่ได้ซีเรียสเรื่องไม่ได้ฝึกงานกับพวกมึง แต่ซีเรียสตรงที่กูต้องไปรับมือกับเด็กช่างนี่แหละ พวกมันจะพกอีโต้มาเรียนกันหรือเปล่าวะ” พูดอย่างนั้นเพราะเคยเห็นข่าวออกบ่อยๆ ว่าพวกนักเรียนช่างพกอาวุธไปโรงเรียนไว้ป้องกันตัวเอง เลยคิดว่าโรงเรียนช่างที่อื่นก็คงไม่ต่างกัน
“มันจะเอามาหั่นหมูขายหรือไง มึงก็กังวลไม่เข้าเรื่อง” ยีนส์เริ่มย่นคิ้วละ ก่อนจะหยักยิ้มกวนประสาทออกมา “พวกมันต้องพกมีดสปาร์ตาเว้ย ไม่ใช่อีโต้ แบบฟันโชะเดียว เจี๊ยวมึงหายไรงี้”
“มึงนี่เป็นผู้หญิงแน่หรือเปล่าวะ พูดจงพูดเจี๊ยวกับผู้ชายคนอื่นได้หน้าตาเฉย แฟนมึงก็ยืนอยู่นี่เนี่ย” ผมบุ้ยปากไปทางกั้งที่ยังทำหน้านิ่งไม่แยแสกับคำพูดของแฟนตัวเองเล็กน้อย
“อย่างมึงน่ะไม่เรียกว่าผู้ชายหรอก” ยีนส์หัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผมเห็นก็ไม่อยากจะคุยกับพวกมันละ ยกมือขึ้นยีผมอย่างหัวเสีย ปากก็พึมพำไปด้วย
“กูว่ากูกลับไปนอนดีกว่า อยู่คุยกับพวกมึงแล้วประสาทจะกิน ไปละ” พูดจบก็หมุนตัวไปเลย ไม่รอล่ำลาด้วย
ยีนส์ก็ไม่ห้ามเพราะรู้ว่าผมเป็นพวกไม่ค่อยสนใจใครเท่าไหร่ แม้แต่เพื่อนสนิทเอง ผมก็ไม่สนใจด้วยนะบางที
หากแต่พอผมเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฝ่ามือหนักๆ ก็แตะลงมาที่บ่าผม พอหันไปก็เห็นว่าเป็นกั้งที่เรียก
“อะไร” ผมชักสีหน้าใส่ด้วยรำคาญ ทว่าอีกฝ่ายทำหน้านิ่งใส่
“ก่อนไปที่นั่น เตรียมสนับมือไปด้วยก็ดี หรืออาวุธอะไรที่ใช้ป้องกันตัวเองได้ไปสักอย่าง”
ฟังแล้วผมก็ย่นคิ้วหนักเลย
“เอาไปทำไมวะ”
“กูได้ยินมาว่าเด็กโรงเรียนนั่นก็ร้ายไม่เบา ก่อนหน้าที่จะเลือกที่ฝึกงาน กูไปหาข้อมูลที่ฝึกทุกที่มาแล้ว ล่าสุดเห็นว่ามีข่าวท้องถิ่นของจังหวัดลงว่าเด็กโรงเรียนนั้นตีกับเด็กโรงเรียนช่างอื่นจนถึงตาย หาอาวุธติดตัวไปหน่อย อย่าไปฟังที่อาจารย์พูดมาก แกไม่ได้ลงพื้นที่กับเรา” กั้งพูดมาหน้าตาเฉย ให้ผมได้อ้าปากค้าง ก่อนมันจะเดินกลับไปหายีนส์ที่ร้องเรียกให้มันกลับหอ
มะ...มึงจะมาขู่ให้กูกังวลกว่าเดิมทำไมเนี่ย!
แล้วพวกมันก็เป็นฝ่ายทิ้งผมยืนอยู่ตรงนั้นแทน ส่วนผม ตอนนี้กังวลหนักละ แล้วคิดสภาพนะ คนที่เกลียดเด็กทุกช่วงอายุอย่างผมจะต้องไปเป็นอาจารย์ฝึกสอน แถมต้องไปเจอเด็กช่างที่มีแววว่าต้องกวนตีนแน่ๆ อีก โอย... รับรองเลยว่าเละ
ผมเนี่ยแหละเละ!
ถ้าไม่เมาเละเทะนะ มึงคงไม่ซวยได้ที่ฝึกงานเวรๆ แบบนี้หรอกไอ้เหนือ! เวรกรรมจริงๆ!
ไม่อยากฝึกงานเลย… ไม่อยากฝึก! ไม่อยากฝึกโว้ย!
ถึงจะไม่อยากฝึก แต่ผมก็มานั่งหัวโด่อยู่บนเตียงในห้องของหอพักแห่งหนึ่งใจกลางเมืองพิษณุโลกแล้วล่ะ ผมมาที่นี่ก่อนถึงเวลาเปิดภาคเรียนเทอมที่สองของวิทยาลัยเทคนิคฯ อะไรนั่นอาทิตย์นึงตามคำเสนอแนะของอาจารย์ผู้ดูแลวิชา
โอเค... จริงๆ คือตามพวกไอ้ยีนส์กับไอ้กั้งมาน่ะ เพราะโรงเรียนที่มันต้องไปฝึกงานเปิดเรียนก่อน พวกมันก็เลยขอให้ผมมาพร้อมกันไปเลย ประเด็นคือไอ้ยีนส์เสนอให้ผมขับรถไปส่งพวกมันก่อนด้วยจะไปพิษณุโลกก็ต้องผ่านกำแพงเพชรก่อน พูดง่ายๆ คือเป็นสารถีให้พวกมัน ผมเองก็ไม่อยากจะขับรถไปคนเดียวเหมือนกัน เลยยอมๆ ไป
แต่พอมาถึงที่แล้ว บอกเลยว่าคิดผิดถนัด!
แม่ง มาก่อนคือเหงาโคตรๆ มาหายใจทิ้งๆ ขว้างๆ แบบไร้เป้าหมายในชีวิตชัดๆ!
ผมเองก็ไม่รู้จะไปไหน สถานที่ใหม่ ผู้คนใหม่ๆ สำเนียงภาษากลางใหม่ที่จะเหน่อก็ไม่เหน่อ จะเหนือก็ไม่เหนือของคนที่นี่ ทำให้ผมไม่คุ้นชินกับที่นี่สักเท่าไหร่นัก มาอยู่ได้สามวันก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องตลอด มีออกมากินข้าวกินปลาบ้างตอนหิว ดีที่หอพักที่ผมมาเช่าอยู่ในศูนย์การค้าแห่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายสยามฯ เลยหาของกินง่าย แค่ลงมาด้านล่างก็เจอร้านอาหารตามสั่งละ แต่ไอ้ศูนย์การค้านี่เป็นสยามฯ เวอร์ชันป่าช้านะ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นแหล่งชอปปิงเสื้อผ้าที่แม่งไม่มีคนมาเดินเลย มีแต่พ่อค้าแม่ค้าเดินกันเอง จะมีคนพลุกพล่านหน่อยก็ช่วงเย็นที่เด็กมาเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชาที่เปิดเป็นดอกเห็ดในละแวกนี้
ถึงจะมีเด็กนักเรียนพลุกพล่านตอนเย็นก็เท่านั้นแหละ ผมไม่ได้สนใจนักหรอก กินข้าวเสร็จก็ขึ้นห้องไปเก็บตัวอย่างเดียวเท่านั้น พวกยีนส์กับกั้งก็โทรมาถามไถ่บ้างว่าผมเป็นยังไง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกมันมากกว่าที่เล่าเรื่องฝึกงานที่โรงเรียนสหฯ ให้ผมฟัง
‘มีแต่เด็กผู้หญิงทั้งนั้น ไม่กระชุ่มกระชวยเลยว่ะ ลูกคุณหนูทั้งนั้น’
นั่นคือคำบอกเล่าของยีนส์ ส่วนกั้งก็ไม่ได้มีปากมีเสียงอะไร บอกมาแค่ประโยคเดียวว่า ‘ตุ๊ดเด็กเยอะมาก’ เท่านั้น
แน่นอนแหละว่ามันก็โดนตุ๊ดเด็กเต๊าะเยอะมากเช่นกันจนไอ้ยีนส์ต้องประกาศตัวว่าเป็นแฟนกับมันถึงได้เพลาๆ ลงไปบ้าง
ก็นะ ไอ้กั้งน่ะ ถึงมันจะเป็นไอ้แว่นเนิร์ดหน้าตาย แต่จริงๆ มันก็หน้าตาดีอยู่ เสียอย่างเดียวตรงที่บ้าเรียน บ้าวิชาการจัดจนดูเหมือนประสาทไม่ค่อยดีเท่านั้น
กระนั้นก็ดูเหมือนการฝึกงานของพวกมันเป็นไปด้วยดี มีบ่นบ้างเหมือนกันว่า ผอ.กับพี่ซุปฯ หรืออาจารย์ภาคสนามที่ย่อมาจากคำว่า Supervisor หรือแปลว่าผู้ดูแลเนี่ย ค่อนข้างจะระเบียบจัดไปหน่อย ก็อย่างว่า โรงเรียนเอกชนชื่อดังประจำจังหวัดนี่นา ระเบียบเยอะหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา
พูดถึงพี่ซุปฯ ...พี่ซุปฯ ของผมก็โทรมาหาผมแล้วเหมือนกัน เพิ่งโทรมาเมื่อเช้านี้เอง เป็นอาจารย์ของวิทยาลัยเทคนิคบุญอนันต์ที่ผมจะไปฝึกสอนนี่แหละ เธอชื่อว่าสายสมร เป็นอาจารย์ที่ฟังเสียงก็รู้แล้วว่าอายุอานามนี่รุ่นแม่ผม แต่เธอไม่ยอมให้ผมเรียกอย่างเคารพว่าอาจารย์ ทว่าให้ผมเรียกเธอว่า ‘พี่สมร’ ด้วยเหตุผลว่าเป็นพี่เป็นน้องอาจารย์เหมือนกัน ผมก็เออออไปงั้นแหละเพื่อความสะดวกต่อการต่อรองขอให้เซ็นอนุมัติผ่านการฝึกงานให้ผม
อ้อ วิชาฝึกงานคณะผมไม่มีการให้เกรดแหละ มีแค่ให้ว่าผ่านหรือไม่ผ่านเท่านั้น
ส่วนพี่สมรก็ดีครับ มีนัดแนะกับผมว่าวันแรกของการไปฝึกสอน เธอจะพาไปทำความรู้จักกับ ผอ.ของวิทยาลัยและคนอื่นๆ เพื่อฝากเนื้อฝากตัว และเสนอให้ผมไปเป็นอาจารย์ผู้ช่วยอาจารย์ที่ปรึกษาประจำแผนกช่างไฟของเธออีกเพื่อจะได้ง่ายต่อการดูแล อีกเหตุผลก็คือแผนกที่เธอดูแลอยู่มีนักศึกษาจำนวนน้อย เธอเลยคิดว่าผมน่าจะควบคุมเด็กช่างได้ง่าย
คงจะพอเดาออกจากน้ำเสียงผมที่ถามไม่หยุดเรื่องเด็กเกเรมั้ยล่ะสินะ ถึงได้จับผมไปอยู่ด้วย แต่ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องรับศึกหนักมาก เอ...รู้สึกว่าแผนกช่างไฟที่เธอเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่จะเป็นนักศึกษา ปวช.ปีสามมั้ง เห็นว่ามีอยู่ราวๆ หกสิบกว่าคนได้
นอกจากนั้นก็เสนอให้ผมสอนวิชาภาษาอังกฤษอีกด้วย เป็นวิชาที่ผมถนัดและดีอย่างที่ผมไม่ต้องเตรียมบทเรียนหรือเนื้อหาใดๆ เพราะอาจารย์ที่สอนประจำเตรียมแผนการสอนไว้หมดแล้ว แต่เธอลาพักคลอดลูกเป็นเวลาสองเดือน ผมมาพอดีก็เลยได้เสียบเข้าไปแทนที่ ผมก็เลยไม่ปฏิเสธ ตอบรับทุกข้อเสนอของเธออย่างว่าง่าย
ทว่า... พอถึงคืนวันก่อนเปิดเทอม ผมกลับมีอาการวิตกจริตขึ้นมา จะว่าไปแล้วเด็กช่างกว่าหกสิบชีวิตที่ต้องรับมือเนี่ย มันก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ แถมยิ่งเธอบอกว่าในแผนกช่างไฟที่เธอดูแลอยู่ไม่มีผู้หญิงเลยสักคน ผมก็ยิ่งกังวลหนักเข้าไปใหญ่อีก
มันจะต้องเป็นแหล่งศูนย์รวมแว้นของจังหวัดแน่ๆ ไม่ใช่แค่แผนกช่างไฟนี่ด้วย ต้องเป็นทั้งโรงเรียน
ยิ่งคิดก็ยิ่งนอนไม่หลับ นอนดิ้นไปดิ้นมาตั้งแต่หัวค่ำยันเที่ยงคืน ดิ้นจนเหนื่อยก็เริ่มเพลีย ทีนี้เลยพอจะเคลิ้มๆ มาได้บ้าง
แต่...
พอเริ่มเคลิ้มใกล้จะหลับ เสียงผนังห้องถูกทุบดังปึงก็ดังมาให้ได้ยิน
ผมลืมตาขึ้นทันควัน ก่อนเสียงนั้นจะตามมาอีกหลายที คล้ายกับเสียงมีคนเอาถุงน้ำแข็งยูนิตมาทุบกับกำแพงอย่างไรอย่างนั้น
ทำไมผมถึงเดาว่าเป็นเสียงทุบถุงน้ำแข็งน่ะเหรอ? ก็มันไม่ได้มีแค่เสียงทุบน่ะสิ แต่มันมีเสียงอื่นตามมาด้วย
“บางระจันคืนพระจันทร์งามเด่น ฝนพร่างพรำฉ่ำเย็น เยี่ยมยุทธภูมิสงคราม!”
แม่ง เพลงเพื่อชีวิตดังทะลุกำแพงมาอย่างนี้ ตั้งวงกินเหล้ากันแน่ๆ แต่นี่มันเที่ยงคืนแล้วหรือเปล่าวะ เกรงใจห้องอื่นกันหน่อยเว้ย!
ผมหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าทำเป็นไม่สนใจเพราะเสียงทุบน้ำแข็งมันเงียบไปแล้ว มีแต่เสียงร้องเพลงนั่นแหละที่ดังมาให้ได้ยิน อีกเดี๋ยวมันก็คงจะเงียบไปเหมือนกัน
หากแต่...ผมคิดผิด
ไม่เงียบไม่พอ เสียงร้องดังขึ้นกว่าเดิมด้วย ตามมาด้วยเสียงเคาะหม้อไหจานชามเป็นวงดนตรีเต็มวงอีกต่างหาก
“บางระจัน! บางระจัน! บางระจัน! มิอาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง!”
พวกมึงนั่นแหละที่จะอยู่ไม่ถึงถ้าไม่หุบปากกันสักทีเนี่ย!
ผมเด้งตัวลุกจากเตียง หัวเสียสุดๆ ไปเลย ให้ตายเถอะ พรุ่งนี้จะต้องตื่นเช้านะ วันจันทร์อีกต่างหาก ไม่ทำงานทำการกันหรือไงฮะ! แล้วไอ้วันอื่นที่นอนตื่นสายได้ ทำไมพวกมันไม่มาตั้งวงกันวะ!
ลุกจากเตียงอย่างเดียวไม่พอ เดินไปหยุดตรงกำแพง ฟังเสียงร้องเพลงที่ไม่ต่างจากเสียงหมาฉี่ใส่สังกะสีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจทุบกำปั้นลงบนกำแพงรัวๆ
ปึงๆๆ!
ได้ผล ไอ้ห้องข้างๆ เงียบปากไปครู่หนึ่ง เงียบทั้งเสียงร้องเพลง ทั้งเสียงเคาะชามไหกะละมัง แต่พอผมจะหันกลับมาทิ้งตัวนอนบนเตียงอีกครั้ง ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก
ปึงๆๆ!
เสียงทุบกำแพง... หน็อย กวนตีนนี่หว่า
ไม่ใช่แค่เสียงทุบกำแพงอย่างเดียวด้วย เสียงร้องเพลงก็ตามมา ดังกว่าเดิมอีกต่างหาก
“เพื่อผองเพื่อน กูจะสู้หลังชนฝา! เพื่อลูกเมีย กูจะสู้สุดใจกล้า! เพื่อพี่น้อง กูจะสู้สุดแรงล้า! เพื่อบ้านเมือง กูจะสู้จนสิ้นเลือดหยดสุดท้าย! ฮ่าๆๆ!”
ไม่ใช่เสียงร้องด้วยเถอะ เสียงตะโกน
จะตะโกนหาเตี่ยมึงเหรอไอ้ Alligator!
ด่าว่าสัตว์เลื้อยคลานที่ชอบลากไก่ไปกินในน้ำยังน้อยไป ผมทุบกำปั้นรัวกลับไปด้วยเถอะ!
ปึงๆๆ!
ฝั่งนั้นก็ทุบกลับมาเช่นกัน
ปึงๆๆ!
ทุบมา กูก็ทุบกลับเว้ย ไม่โกง!
ปึงๆๆ!
อีกฝั่งเงียบไป ผมก็เลยทุบรัวๆ แม่งเลย ให้รู้เลยว่าผมเอาจริง
ปึงๆๆๆๆ!
มีเรื่องก็มีเรื่องวะ จะได้ด่าแม่งไอ้พวกไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องเนี่ย!
อีกฝั่งยังเงียบกริบเหมือนเดิม ไม่มีเสียงทุบกลับมา จะมีก็แต่เสียงตะโกนของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ลอยมาให้ได้ยินเต็มสองหู
“กวนตีนเหรอมึง! แน่จริงมึงทุบมาอีกทีสิเว้ย!”
ปึ้ง!
ตามมาด้วยเสียงดังอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าครั้งที่ผ่านมาเลย ประหนึ่งว่าไม่ได้ใช้กำปั้นทุบ แต่ใช้ฝ่าเท้า ผมสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็ต้องสะดุ้งหนักเมื่อง้างมือขึ้นเตรียมจะทุบกลับไป ทว่าอีกฝ่ายตะโกนขึ้นมาก่อน
“มึงทุบกลับมาอีกที กูจะบุกไปถึงห้อง แทงแม่งให้ไส้ไหลเลยสัด!”
อะ...ไอ้ที่ว่ามีเรื่องก็มีเรื่องเนี่ย ลืมๆ ไปซะเถอะนะ ขู่แทงกันขนาดนี้แล้ว พี่ก็ตั้งวงกันต่อไปเถอะครับ ผมไม่กวนละ
ผมเลยต้องเป็นฝ่ายถอยมาแทน ไม่ลืมปรี่ไปเช็กประตูด้วยว่าล็อคดีแล้วหรือยัง เดี๋ยวตอนมันโผล่มาจริงๆ มันจะเข้ามาได้ง่ายเกิน แต่โชคดีที่พวกมันไม่มา แค่เงียบไปครู่แล้วก็บรรเลงวงหมาฉี่ใส่สังกะสีขึ้นมาอีก ปล่อยให้ผมยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เอาหมอนปิดหู ทนฟังเสียงพวกมันร้องเพลงไปตลอดคืน
บ้าชะมัด... ไอ้หอเวรนี่ไม่มีคนดูแลเหรอวะ ดึกๆ ดื่นๆ ถึงได้ปล่อยให้พวกแว้นนี่ส่งเสียงรบกวนคนอื่นเนี่ย!