ที่โทรหาพวกมันในนาทีนั้นเป็นเพราะผมต้องการคนช่วยหาทางออกสำหรับปัญหานี้ ไอ้เรื่องทำให้ธารรู้สึกดีขึ้นน่ะ มันไม่ยากหรอกถ้ามีผมอยู่ด้วย แค่โอ๋มันนิดๆ หน่อยๆ มันก็ยอมแล้ว แต่ตอนผมกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วนี่สิ มันจะเป็นยังไง ยิ่งต้องอยู่กับพ่อด้วย เดาอนาคตได้เลยว่าทะเลาะกันยันแก่หง่อมแน่
แล้วผมก็คิดถูกซะด้วยที่โทรหาเพื่อนทั้งคู่ ไอ้ยีนส์ที่เคยเรียนวิชาของคณะสังคมสงเคราะห์ฯ แนะนำมาว่าให้ผมลองไปคุยกับคุณธี เกลี้ยกล่อมให้เขายอมไปพบนักจิตวิยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เพื่อทำครอบครัวบำบัด ผมก็ไม่รู้เท่าไหร่หรอกว่าการทำครอบครัวบำบัดอะไรนั่นเป็นยังไง แต่ถ้าได้ผลไปในทางที่ดีขึ้น ผมก็จะทำ
ทำจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น โทรไปหาคุณธีหลังจากวางสายจากไอ้ยีนส์ไอ้กั้งเลย ก่อนขอให้คุณธีออกมาคุยกันที่ร้านคอฟฟีช็อปละแวกนั้น ที่ผมไม่เข้าไปคุยในบ้านเป็นเพราะกลัวว่าธารรู้ แล้วจะต่อต้าน ไม่ให้ความร่วมมืออะไรเทือกนี้ ผมเลยเข้าทางพ่อก่อน ไว้ทางพ่อโอเคแล้ว ค่อยไปตะล่อมทางลูก เพราะการทำครอบครัวบำบัดนี่ ทั้งพ่อทั้งลูกต้องเข้าร่วมรับการบำบัดด้วยกัน
คุณธีงุนงงนิดหน่อยที่ผมขอพบเขาทั้งที่เพิ่งออกจากบ้านเขาได้ไม่ถึงสองชั่วโมงดี ระหว่างที่เขางง ผมก็อธิบายถึงจุดประสงค์ที่ผมต้องการเจอเขาและประโยชน์ของการทำครอบครัวบำบัดตามที่ไอ้ยีนส์บอกมาให้ฟัง คุณธีเลยหายสงสัย และดีที่เขาไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยาก กอปรกับเขาเองก็เคยพบจิตแพทย์มาก่อน เลยเข้าใจอะไรๆ ได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องอธิบายมาก ก่อนจะตกปากรับคำอย่างว่าง่าย แต่มีเงื่อนไขว่าจะไปหลังจากที่คดีของธารจบ ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ธารออกจากบ้านอยู่ดีจนกว่าจะมั่นใจได้ว่ามันจะไม่ไปก่อเรื่องอีก
ผมก็พูดอะไรต่อไม่ได้ ความเป็นห่วงของคนเป็นพ่อนี่เนอะ ได้แต่หงุดหงิดใจนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
แต่ก็แค่แป๊บเดียว เพราะจู่ๆ คุณธีก็ทำให้ความหงุดหงิดนั่นหายไปด้วยประโยคที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินจากปากคนแข็งๆ อย่างเขา
“ผมน่ะไม่ใช่พ่อที่ดีเท่าไหร่ แต่ผมอยากให้อาจารย์เหนือรู้ไว้ว่าผมก็รักไอ้ธารเองไม่น้อยไปกว่าแม่มัน ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่มานั่งโทษตัวเองอยู่ทุกวันนี้หรอกว่าที่ภรรยาผมตายเป็นเพราะตัวผมเองอย่างที่ไอ้ธารว่า ถึงผมจะไม่เคยบอกใครว่าผมรู้สึกผิด แต่บอกไว้เลยว่าผมเองก็เป็นห่วงมันไม่แพ้อาจารย์เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่ผมทำในตอนนี้ก็เพื่อมันทั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อผม ขอให้อาจารย์เข้าใจด้วย”
“ถ้าคุณพ่อเป็นห่วงธารใจจริงๆ งั้นคุณพ่อต้องปรับการแสดงออกนะครับ เรื่องทุบตีอะไรนี่ไม่เอาแล้วนะ ผมว่ามันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีเท่าไหร่ จะทำให้ธารใจยิ่งต่อต้านมากขึ้นไปอีก ผมเองก็เข้าใจคุณพ่อนะครับว่าที่ทำไปก็เป็นเพราะเป็นห่วงธารใจ แต่คุณพ่อก็ต้องเข้าใจธารใจด้วยว่าเขาก็มีปัญหาที่มีต้นเหตุมาจากคุณพ่อ”
ผมว่าออกไปตามตรง คุณธีไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เขารู้แล้วล่ะว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มาขอให้เขาทำตามคำแนะนำหรอก
คุณธีพยักหน้ารับไปตามเรื่อง ดูเขาก็อึดอัดเหมือนกัน อยากจะพูดอะไรสักอย่างก็ไม่พูด ให้เดานะ ผมว่าเขาอยากจะบอกว่าเขาไม่รู้ว่าจะแสดงออกยังไงให้ธารเข้าใจว่าเขาก็ทั้งรัก ทั้งเป็นห่วงมันเหมือนกัน แต่ของแบบนี้มันใช่ว่าปุบปับจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ใช่มั้ยล่ะ ผมเลยได้แต่ปลอบประโลมเขาให้สบายใจขึ้น
“ลองไปพบนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์อย่างที่ผมบอกดูนะครับ คุณพ่อน่าจะได้คำแนะนำอะไรมากขึ้นกว่าคุยกับผม”
“ครับ” คุณธีรับปากเสียงเบา
คุณธีก็เหมือนธารนั่นแหละ แข็งนอก อ่อนใน แสดงความรู้สึกไม่เป็น แต่คุณธีจะอาการหนักกว่าหน่อยตรงที่มีความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สบายใจที่คุณธีรับปากว่าจะทำตามคำแนะนำของผม เหลือแค่ให้ผมไปคุยกับธารให้ยอมไปกับเขาเท่านั้น ซึ่งผมวางแผนแล้วว่าจะเข้าไปคุยพรุ่งนี้ ก่อนจะขอตัวกลับหอเพราะเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว
ทว่าพอผมยกมือไหว้เขา หันหลังจะออกไปนอกร้าน คุณธีก็เรียกผมไว้
“อาจารย์เหนือ ผมขอถามอะไรอาจารย์สักอย่างสิครับ”
“ครับ”
“อาจารย์เป็นแฟนลูกผมเหรอ ปกติอาจารย์ไม่น่าเป็นห่วงลูกศิษย์ขนาดนี้ แล้วก็ไม่สนิทสนมมากอย่างนี้ด้วย ผมว่าอาจารย์ต้องเป็นแฟนมันแน่ๆ”
ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเองที่จู่ๆ ก็ถูกถามอย่างนั้น เสียวสันหลังวาบเลยด้วยไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง จะบอกว่ายังไม่ได้เป็นแฟน ดูจากสายตาดุดันของคนตรงหน้าแล้วก็มีแววว่าเขาไม่น่าจะเชื่อ แต่ถ้าจะให้บอกว่าไม่ได้เป็นแฟน ก็พูดยากอีก แซ่บกันไปเรียบร้อยอย่างนั้นแล้ว แต่สถานะคลุมเครือนี่ บอกตำแหน่งตัวเองไม่ถูกเลยแฮะ จะบอกว่าเป็นผัวกับพ่อมันก็ใช่เรื่องหรือเปล่าวะ!?
ผมอึกอักไปครู่ใหญ่ทีเดียว จนคุณธีหัวเราะในลำคอ ก่อนจะขัดขึ้นมา
“จะเป็นอะไรกับมัน ผมก็ไม่สนหรอกนะ ขอแค่อาจารย์ช่วยผมดูแลมันได้ก็พอ บางทีความรักจากผมคงจะไม่พอ ยังไงก็ฝากอาจารย์ดูแลมันด้วย”
คะ...คุณพ่อ
เปิดทางมาอย่างนี้ ไอ้เหนือก็สบายแฮสิครับ! แหม ตอนแรกก็นึกว่าจะขัดขวาง ที่ไหนได้ สนับสนุนก็ไม่บอก ทำใจว่าที่ลูกสะใภ้อกสั่นขวัญแขวนเลยนะฮะ
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะช่วยดูแลให้” ผมว่าส่งท้าย บอกลาอีกครั้ง แล้วกลับหอพร้อมกับรอยยิ้มที่อาบพรายอยู่บนหน้า
บางทีผมอาจจะคิดถูกแล้วที่ทำแบบนี้
ทำให้พ่อลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้นี่ ตำแหน่งลูกสะใภ้สุดที่รักคงหนีไม่พ้นแล้วล่ะ
กลับมาถึงหอได้ ผมก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัวเตรียมนอนตั้งแต่ทุ่มนึงด้วยรู้สึกว่าวันนี้ใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากแต่พอจะเดินไปปิดสวิตซ์ไฟ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นรัวๆ ทำเอาผมย่นคิ้วพลัน
ใครมาวะ หรือว่าจะเป็นพวกน้องมายด์? ไม่หรอกมั้ง พวกนั้นอยู่ร้านพี่ดื้อ เพิ่งจะแยกกันมาแป๊บเดียว ไม่น่าจะมาหาผมหรอก โรมยังง้อจอมแก่นไม่ได้เลยนี่
หรือว่าคนที่มาจะเป็น...?
คิดยังไม่ทันจบ ผมก็พุ่งไปเปิดประตูแล้ว ก่อนจะครางอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นหน้าของคนที่ผมคิดถึงเมื่อครู่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“น้องธาร...”
ธารไม่เอ่ยทักอะไรออกมาสักคำ พุ่งเข้ามาสวมกอดผมแน่น ก่อนจะดันผมเข้ามาในห้อง ผละออกได้ก็จัดการปิดประตูลงกลอนเสร็จสรรพ ทำเอาผมอ้าปากค้างอย่างตะลึงงันไม่เลิก
“เดี๋ยวๆ นี่ออกมาจากบ้านได้ไง” ตั้งสติได้ ผมก็ร้องถาม
“ป้ารินพาไปล้างแผลที่โรง’บาล วันนี้หมอนัดเย็น” ธารเหลือบมามองผมเล็กน้อยขณะตอบ ก่อนเดินลิ่วไปยังตู้เสื้อผ้าโดยไม่สนใจผมอีก ปล่อยให้ผมถามไล่หลัง
“คือหนีจากโรง’บาลมาอีกทีเหรอ”
“เออ”
“เฮ้ย!” ผมร้องลั่น ตกใจที่ได้ยินมันยอมรับเอาซื่อๆ อย่างนั้น
ก็คิดอยู่แล้วว่าสักวันมันจะต้องทำแบบนี้เข้าสักวันถ้ามีโอกาส แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะหนีมาเอาวันที่ผมเพิ่งไปคุยกับพ่อมันมาหมาดๆ เนี่ย หนีมาอย่างนี้ มีหวังพ่อมันรู้ คงได้เป็นเรื่องเป็นราวอีกแน่ อุตส่าห์ไปตะล่อมเพื่อช่วยมันให้มีความสัมพันธ์กับพ่อดีขึ้นแล้วแท้ๆ มาทำอย่างนี้ ถ้าพ่อมันรู้ มีหวังไอ้ที่ผมพยายามทำมาก่อนหน้าคงได้เละไม่มีชิ้นดีแน่
ผมเลยตรงเข้าไปคว้าแขนธารเอาไว้ขณะที่มันกำลังคว้ากระเป๋าเป้ในเขื่องมายัดเสื้อผ้าใส่อย่างรนๆ เห็นแล้วผมก็สงสัยว่ามันจะเก็บเสื้อผ้าทำไม แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการที่ผมต้องปรามให้มันได้สติว่ากำลังทำอะไรอยู่
“จะหนีมาแบบนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวป้ารินจะซวยเอา”
“ทำไมจะหนีไม่ได้ ป้ารินซวยก็ซวย ซวยแล้วไง นี่มันชีวิตของธาร เรื่องอะไรที่ธารจะต้องยอมให้คนอย่างนั้นกักขังหน่วงเหนี่ยวด้วย”
“ก็ไม่ใช่ว่าพี่เหนือจะบอกให้น้องธารยอมให้คุณพ่อกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ว่าพี่เหนือเพิ่งจะไปคุยกับคุณพ่อมาเอง” ผมว่าไปตามความจริง กะจะเล่าให้มันฟังว่าผมไปคุยอะไรมา ทว่ามันดันพูดออกมาก่อน
“ไปต่อรองให้เลิกขังผมน่ะเหรอ เหอะ พี่ว่าเขาจะทำหรือไง”
“ทำแน่นอน แต่ต้องรอให้คดีน้องธารจบก่อน พี่เหนือไปคุยมาแล้วนะ น้องธารใจเย็นๆ อย่าทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้” ดูท่าจะไม่ฟัง ผมเลยปลอบให้มันใจเย็น
ธารทิ้งกระเป๋าเป้ลงบนพื้น พุ่งเข้ามากอดผมแน่นอีกครั้ง
“จะให้เย็นยังไงอีกวะ คิดถึงพี่จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว คิดถึงจนรอจะเห็นหน้าพรุ่งนี้ไม่ไหวแบบนี้ จะให้เย็นได้ยังไงอีก”
พูดมาอย่างนี้ ผมก็นิ่ง เข้าใจความรู้สึกมันนะว่ามันเคว้งคว้างแค่ไหน แม้ว่าผมจะไปหามันที่บ้านเกือบทุกวัน แต่ก็คงไม่พอสำหรับคนที่ต้องการใครบางคนอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาในเวลาแย่ๆ อย่างนี้ และมันก็เห็นผมเป็นที่ยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวด้วย ไม่แปลกถ้ามันจะหายใจเข้าออกเป็นผม
ผมเลยยกแขนขึ้นกอดตอบ พึมพำออกมาเบาๆ
“พี่เหนือก็คิดถึงน้องธารเหมือนกันครับ คิดถึงที่สุดเลย”
สองแขนใหญ่รั้งร่างผมให้แนบแน่นกับลำตัวมากขึ้นไปอีก กลิ่นไอของความโดดเดี่ยวของคนตรงหน้าลอยโชยมาให้ผมสัมผัสได้ กอดกันอยู่นานกว่าธารจะยอมผละออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นจรดริมฝีปากจูบผมแทน
“พี่เหนือ...” เสียงห้าวดังขึ้นหลังจากริมฝีปากของเราแยกออกจากกัน
“ครับ?”
“หนีไปกับธารนะ”
“ฮะ!?” ผมผงะไปเลยที่จู่ๆ ก็ถูกชวนหนีไปด้วยแบบไม่ทันตั้งตัว
ยะ...อย่าบอกนะว่าไอ้ที่มึงเก็บเสื้อผ้ายัดลงกระเป๋ารัวๆ นี่คือคิดจะหนีออกจากบ้าน!?
ใช่แน่นอน มาถึงขั้นนี้แล้วคงจะไม่พ้นเรื่องนี้ ยิ่งเห็นแววตากับสีหน้ามันแล้ว บอกเลยว่ามันจริงจังชัวร์ป้าบ ยิ่งได้ยินประโยคต่อไปที่หลุดออกมาจากปากมัน ก็รู้เลยว่ามันเอาจริง
“หนีไปกับธาร ไปใช้ชีวิตด้วยกันที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่”
มะ...มนต์รักน้องธาร ณ พิษณุโลก ฟีลทองกวาวถูกไอ้คล้าวมาตะล่อมชวนหนีไปเป็นผัวเมียพุ่งพล่านเป็นน้ำเดือด ในใจหวั่นไหวหนักด้วยเมื่อธารเข้ามากอดผมอีกครั้ง อ้อนไม่เลิกว่าขอให้หนีไปด้วยกัน
ผมก็อยากจะไปนะ อยากอยู่กับมันตลอดเวลาเหมือนกัน แต่...
กูจะมาใจแตกเพราะถูกเด็กชวนหนีไปอยู่ด้วยกันไม่ได้! อย่ามาพูดอย่างนี้ กูใจอ่อนนะ!
ผมรีบสลัดอารมณ์ชั่ววูบนั้นออกไปทันทีที่ตระหนักได้ว่าถ้ายอมตกปากรับคำ จะต้องมีเรื่องวุ่นวายชวนปวดหัวตามให้มาแก้ไม่รู้จบแน่ เลยตัดสินใจจะปฏิเสธ
“น้องธาร คือพี่เหนือ...”
หากแต่พูดได้แค่นั้น ธารก็คลายอ้อมกอดมาจูบผมอีกครั้ง จูบเสร็จก็จ้องตานิ่ง ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไปที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีพี่กับธาร ธารยอมทุกอย่าง หนีไปกับธารเถอะนะ”
หน้าชาไปเลย อึ้งงันกับสิ่งที่ได้ยิน และอึ้งหนักกว่าเดิมเมื่อมันพูดประโยคที่ทำให้ใจผมละลายกลายเป็นของเหลวออกมา
“ธารอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่ ไปกับธารเถอะ ธารขอร้อง”
กะ...
กระเป๋าอยู่ไหน! เดี๋ยวพี่เหนือจัดกระเป๋าเอง!
คุกก็คุกวะ โดนข้อหาพรากผู้เยาว์ก็ยอม ทนความอ้อนบวกความน่าสงสารของมันไม่ไหวแล้ว
ขาข้างนึงก้าวเข้าไปในตะรางรัวๆ กูเอ๊ย...ความไร้สตินี้