เมื่อร่างนั้นสุดสายตา รามิลจึงหันมามองสเตฟานี่และเอ่ยถามหญิงสาวด้วยภาษาสากล...
“คุณโอเคไหม...”
“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่มึนหัวเล็กน้อยเท่านั้น น้องสาวคุณแรงเยอะเป็นบ้า ตัวเล็กนิดเดียวเอง... ว่าแต่คุณพูดอะไรกับเธอหรือคะ” สเตฟานี่ ค่อยๆ ผละจากอ้อมกอดเขาแล้วถามอย่างสนอกสนใจ เพราะเมื่อครู่หล่อนไม่รู้เลยว่าสองคนที่หล่อนรู้จักว่าเป็นพี่ชายกับน้องสาวกันนั้นพูดอะไร เพราะทั้งสองพูดเป็นภาษาไทยตลอดการสนทนา แต่กระนั้นสเตฟานี่ก็ยังพอเข้าใจว่า หล่อนเป็นประเด็นหลักให้สองคนนั้นได้มีปากเสียงกันแน่นอน
“ไม่มีไรมากหรอก” ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถูกดึงจากกระเป๋าเสื้อสูทเช็ดมุมปากที่มีรอยหยดเลือดเบาๆ ... ก่อนที่เขาจะค่อยๆ กดจุมพิตลงที่เรียวปากนั้นเพื่อคลายความเจ็บช้ำตามแบบของเขา...
สเตฟานี่ก็ไม่ได้เรียกร้องหรือซักถามอะไรอีกเลย
รามิลพอใจสเตฟานี่ตรงนี้ หล่อนไม่ได้จู้จี้ไปกับเขาทุกเรื่อง หากเขาไม่พูดหล่อนก็จะไม่ซักถามอะไรให้รำคาญใจ ไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ เพราะถ้าเขาตอบคำว่าไม่มีอะไรกับวชิตารีย์ เขาคงไม่เป็นสุขเพราะหล่อนจะตามซักไซ้เขาทั้งวันเพื่อให้ได้คำตอบจนน่ารำคาญ...
รามิลสงสารสเตฟานี่ที่ต้องมารับกรรมจากอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจไร้เหตุผลของวชิตารีย์ จึงปลอบด้วยจุมพิตหวานการปลอบประโลมเช่นนี้ ทำให้สเตฟานี่พึงพอใจไม่น้อย นอกจากเขาจะเป็นคู่ค้าของกิจการครอบครัวแล้ว เขายังเป็นคู่ขาที่ทรงเสน่ห์ที่สุด ดวงหน้าหล่อคมประดับด้วยดวงตาคมกริบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งตั้งเป็นสัน รับกับรูปหน้าเรียวและแนวคางที่มีรอยบุ๋มตรงกลาง...
ต่อให้รู้ว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก แต่หากได้เห็นรอยยิ้มและการปฏิบัติดีๆ จากเขา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็พร้อมที่จะอ่อนระทวยซบอกเขาให้จงได้
ประตูห้องทำงานถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับวชิตารีย์ที่เข้ามายืนค้ำเอวจังก้าอยู่
“ขอโทษที่ขัดจังหวะการเจรจากิจกาม นะคะ ท่านประธานเปรโตรมารีน” หล่อนเรียกยศตำแหน่งเขาเสียครบ โดยหลีกเลี่ยงคำว่าพี่รามิลอันแสนคุ้นเคยไปอย่างจงใจ... เพราะเมื่อครู่เพิ่งประกาศตนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันในเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป
รามิลเองก็พอใจที่จะเป็นเช่นนั้น และการที่หล่อนไม่ได้อยู่ในฐานะใกล้ชิด ก็ถือว่าเขามีอำนาจกว่าหล่อน ณ ตอนนี้ รามิลจึงลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเจ้าของดวงตากราดเกรี้ยวโดยไม่ยำเกรงสิ่งใด และแสดงตนเหนือกว่าได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะขุมพลังอำนาจมหาศาลแผ่รังสีออกจากกายเขาโดยไม่ต้องสร้างขึ้น เนื่องจากมันเป็นบุคลิกแห่งความเป็นผู้นำที่เขามีมาแต่กำเนิด
สายตาข่มให้ด้อยของเขาทำให้วชิตารีย์เดือดปุดๆ ในใจ เขาจะร้ายเท่าไหร่หล่อนก็ไม่สะทกสะท้าน ในโลกนี้ก็มีแต่หล่อนที่ไม่กลัวสายตาดุดันคมกริบ ไม่กลัวเจ้าของฉายาเหยี่ยวทะเลทราย แม้จะเคยได้ยินกิตติศัพท์เขามาจนชาชินหู แต่เขาไม่เคยร้ายกับหล่อนได้จริงๆ สักครั้ง จึงถือดีกับเขาแบบที่ไม่มีใครกล้า...
รามิลนึกฉุนท่าทางเชิด ไม่กลัวเกรงสิ่งใดของหล่อนจึงเรียกชื่ออย่างห่างเหิน
“นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติจาร์มา คณะบริหารธุรกิจปีสี่... คุณเป็นนักศึกษาฝึกงานแต่บุกรุกห้องผู้บริหารโดยไร้ซึ่งการเคาะสองครั้ง” รามิลเอ่ยตำหนิออกไป...
วชิตารีย์เชิดหน้า
“วันนี้วันสุดท้ายของการฝึกงานของฉันค่ะท่านประธาน แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาเลิกงาน ฉันพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาฝึกงานเรียบร้อยแล้วไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ใครโดยที่ไม่จำเป็น เพราะตอนนี้ฉันเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จ้างคุณบริหารอยู่ ฉันแค่ลืมกระเป๋าเลยกลับเข้ามาเอา ไม่นึกว่าจะเจอลูกจ้างพูดข่มให้ได้ยิน เพราะที่จริงคุณต่างหากนะคะที่ควรจะพิจารณาตนเอง คุณเป็นแค่ลูกจ้าง แต่พาผู้หญิงมาบำเรอกามในสถานที่ทำงานแล้วเจ้านายเห็น คุณควรจะต้องเอ่ยคำขอโทษออกมา แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณมันก็แค่เศษฝุ่นสำหรับฉัน จะทำอะไรฉันก็จะไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ขออย่างเดียว อย่าบริหารบริษัทของฉันเจ๊งก็พอ” หล่อนตอกกลับเขาอย่างแสบร้อน ก่อนจะเดินเข้ามาหยิบกระเป๋าแชแนลสีดำที่เผลอวางทิ้งไว้ระหว่างที่ฟัดสเตฟานี่ จึงเดินย้อนกลับมาเอาแล้วเห็นอะไรที่บาดตา ซ้ำเขายังไม่ง้อหล่อนพูดจาด้วยแบบห่างเหิน หล่อนจึงตอกลับด้วยความห่างเหินและร้ายกาจยิ่งกว่า ราวกับว่าไม่มีหัวใจ...
เพราะสเตฟานี่คนเดียวที่ทำให้เกิดความบาดหมางแผลใหญ่ทั้งที่วันนี้หล่อนตั้งใจจะมาชวนรามิลไปดินเนอร์ฉลองการฝึกงานวันสุดท้าย... ครั้งนี้หล่อนตั้งใจว่าจะไปกินอาหารพื้นเมืองตามใจเขาบ้างเพราะทุกครั้งที่ฉลองเขามักจะจำใจต้องไปทานอาหารอิตาลีที่หล่อนชอบตามความต้องการของหล่อนเสมอ...หล่อนอารมณ์ดีจนคิดว่าจะตามใจเขาทุกอย่างแต่หล่อนกลับต้องมาพบว่าเขากอดจูบอยู่กับคนอื่น จนต้องทะเลาะกันถึงขั้นแตกหัก เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ยอมหล่อน และประกาศว่าไม่ต้องการหล่อน แต่ต้องการผู้หญิงอื่น... แล้วจะไม่ให้โกรธเขาได้อย่างไร
หญิงสาวไม่คิดจะง้องอนอะไรสักนิด ได้ของที่ต้องการแล้วหล่อนก็เดินจากไป
หากแต่อาการต่อต้านเล็กๆ ที่ได้มาจากหล่อน ทำให้รามิลรู้สึกว่ากำลังจะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมา เพราะท่าทางไม่สนใจของวชิตารีย์นั้น รามิลรู้ดีว่าภายใต้ความเงียบสงบหล่อนมีอะไรอยู่ในใจแน่ วชิตารีย์ไม่ใช่คนที่จะขี้วีนโวยวายเพื่อเอาชนะแต่หล่อนมักจะถอยออกไปตั้งหลักเพื่อหาวิธีที่สามารถทำร้ายคู่ต้อสู้ได้อย่างแยบยล และร้ายแรงเกินคาดเดา
ทุกครั้งที่ผ่านมา เขาจะเป็นฝ่ายยอมเสมอ แต่รามิลก็บอกกับตัวเองว่า ครั้งนี้ เขาจะลองต่อต้านดูสักตั้ง...
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ หากเขาสำเร็จ... หล่อนก็คงจะเริ่มเรียนรู้ว่าชีวิตเขาไม่ใช่ของหล่อน หล่อนจะไม่มีสิทธิ์มาบังคับกะเกณฑ์เขาตามใจชอบได้อีกแล้ว...
วชิตารีย์กลับบ้านที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายทัซซานีมที่มีอาณาเขตคลอบคลุมเมืองหลวงและเมืองข้างเคียงของจาร์มา เมื่อก่อนทะเลทรายแห่งนี้มีกองโจรเบดูอินตั้งอยู่ แต่เมื่อสมัยที่ชีคเบนจามีนเป็นนายกรัฐมนตรีได้มีการปราบปรามหัวหน้ากองโจรผู้มีความคิดต่อต้านรัฐบาลอย่างจริงจังและฟื้นฟูชีวิตการเป็นอยู่ของเผ่าเบดูอินให้เข้ากับคนเมืองจึงทำให้ประชากรที่มีความแตกต่างและเคยขัดแย้งกันมาตลอดอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ทำให้ความมั่นคงภายในประเทศจาร์มีเสถียรภาพ เป็นผลงานดีเด่นที่ทำให้ชีคเบนจามีนครองใจผู้คนในประเทศและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมายาวนาน
ความจริงแล้ววชิตารีย์ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของชีคเบนจามีน หล่อนเป็นเพียงลูกของลูกบุญธรรมมารดาของชีคเบนจามีนที่มีเชื้อชาติไทย และเป็นญาติห่างๆ กัน ทำให้หล่อนมีความเป็นไทยในตัวมากกว่าน้องสาวฝาแฝด นามว่า ดาริยา และ อามีนา ลูกสาวแท้ๆ ของชีคเบนจามีน
แต่การที่หล่อนไม่ได้เป็นลูกสาวแท้ๆ ของชีคเบนจามีนก็ไม่ได้ทำให้ท่านรักหล่อนน้อยลง เพราะตั้งแต่แบเบาะท่านก็เลี้ยงดูหล่อนมาแทนพ่อแม่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ จนหล่อนโตมาได้หลายขวบชีคเบนจามีนจึงแต่งงานกับตามตะวัน หล่อนจึงเป็นเหมือนลูกคนแรกของทั้งสอง ความรักและเอาใจใส่จากครอบครัวทำให้หล่อนไม่แตกต่างจากเป็นเจ้าหญิง และไม่มีปมด้อยใดๆ ในชีวิตที่แสนจะเพียบพร้อม และมีแต่คนที่มาคอยรุมล้อมคอยเอาอกเอาใจเสมอมา
แต่รามิลกำลังจะมำให้ปมด้อยนั้นเกิดขึ้น... เขาเป็นคนแรกที่ขัดใจหล่อน ไม่ทำตามในสิ่งที่หล่อนร้องขอ ซ้ำยังกล้าประกาศตัวว่าไม่ต้องการหล่อนอีกต่อไป
วชิตารีย์นั่งนึกภาพเก่าๆ ด้วยน้ำตาที่คลอลูกตา...