“พวกเราพอจะหลบไปทางไหนได้บ้างคะ” เมื่อคิมพันแผลเรียบร้อยแล้วเธอก็สบประสานสายตาเขาและเอ่ยถาม
“เดินเข้าไปในตึกนี้ ใต้บันไดมีทางลงไปห้องลับใต้ดิน” คิมมองเขาอย่างอึ้งๆ ทั้งๆ ที่เธอก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนที่ผ่านเรื่องราวมาแบบเขาต้องไม่ประมาทที่จะหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองไว้เป็นแน่
“ถ้างั้นไปกันเถอะค่ะ ก่อนที่พวกนั้นจะลงสู่พื้นดิน” คิมเข้าประคองเลียม และทั้งสองก็เดินไปยังทิศทางที่ว่านั้น
“ฉันคนเดียวเท่านั้นที่เปิดได้” เลียมขยับไปยังผนัง เขาสัมผัสเบาๆ แผ่นผนังขนาดเท่าฝ่ามือก็เด้งเปิด เลียมก้มลงให้ดวงตาตรงกับช่องผนังนั้น และทันทีที่ดวงตาเขาผ่านม่านการสแกน ผนังที่ดูไม่ออกเลยว่ามันจะขยับได้ มันก็เคลื่อนขยับเปิดทาง คิมมองเห็นขั้นบันไดที่ลงสู่เบื้องล่าง
“แน่ใจนะคะว่าด้านล่างนั้นยังมีอากาศให้เราสองคนหายใจได้อยู่” เลียมยกยิ้มอย่างขบขัน ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นแม้จะเป็นในยามปกติ
เลียมไม่ได้เอ่ยอะไร นั่นก็เพราะร่างกายเขาเสียเลือดเป็นจำนวนมาก เขาใกล้หมดสติเต็มทีแล้ว เลียมขยับเป็นฝ่ายเดินนำ เพราะเส้นทางเดินไม่ได้กว้างมากพอให้คนสองคนเดียงเคียงกัน คิมเดินตามและเสียงอึกทึกคร่าชีวิตก็ค่อยๆ บางเบาลงเมื่อประตูผนังค่อยๆ เลื่อนปิดเมื่อเลียมกดปุ่มเมื่อเขาและเธอเดินลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย
บรรยากาศรอบตัวค่อยๆ มืดลง “กลัวความมืดมั้ย” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่ค่ะ” ความมืดไม่เคยทำร้ายเธอ และจะว่าไปเธอเติบโตมาท่ามกลางความมืดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะยามที่เคยอยู่กับเขาสมัยเด็กๆ
เลียมคว้าข้อมือเล็กไว้ “ไปกันต่อเถอะ” แต่เขาไม่เพียงคว้าจับข้อมือ ไหล่ขวาข้างที่เจ็บเขายังสามารถขยับมันได้ไม่วายต้องโอบเอวคอดให้เดินเบียดเสียดสีกัน
“คุณมองเห็นหรือคะ” เธออดถามไม่ได้เมื่อเขาเดินไปได้อย่างมั่นคง ทั้งๆ ที่ในนี้ไม่มีแสงสว่างเลย
“เปล่า ใช้ความเคยชิน” คำตอบนี้ทำให้เธอเข้าใจทันทีว่าเขาต้องฝึกฝนใช้เส้นทางที่มืดสนิทนี้อย่างชำนาญแล้ว นี่หรือวิถีการดำรงชีวิตของปีศาจร้าย
เส้นทางไม่ได้คดเคี้ยวนัก แต่เมื่อเป็นเส้นทางโค้งเขาก็โค้งได้อย่างแม่นยำ ระยะการเดินใต้ดินนี้น่าจะเป็นเส้นทางยาวเกือบหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร และเขาก็หยุดและในความมืดนั้นเขาทำบางอย่างที่เธอมองไม่เห็น แต่ไม่กี่วินาทีผนังด้านหน้าเธอก็ขยับเปิดทาง เหมือนว่าเธอหลุดมาอีกโลกเลย แสงสว่างที่แยงตาเธอทำให้เธอต้องปิดตาลง
เขาดุนหลังเธอให้ก้าวต่อไปข้างหน้า และประตูผนังนั้นก็ปิดลงทันที คิมค่อยๆ ลืมตาและค่อยๆ ให้ดวงตาปรับเข้ากับแสง เมื่อสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าเรียกว่าโลกอีกโลกยังได้
ต้องมีเงินเท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้ “คิมร่างกายฉันต้องได้เลือด ในตู้นั้นมีถุงกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับฉัน เธอทำได้มั้ย” เขาไม่ต้องเอ่ยต่อเธอก็เข้าใจและแน่นอนว่าคนที่ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าย่อมต้องเรียนรู้และฝึกการเอาชีวิตรอดในทุกรูปแบบรวมถึงการให้เลือดด้วย
เลียมปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกอย่างไม่ลังเล เขาใช้เรี่ยวแรงที่เหลือไม่มากนี้เดินเข้าไปในห้องกระจกโปร่งและในนั้นก็คือห้องอาบน้ำ เขารีบชำระล้างร่างกาย คิมเดินไปยังตู้ที่เขาว่าเป็นตู้ที่ทางโรงพยาบาลใช้กันสำหรับเก็บเลือดหรือตัวอย่างต่างๆ ในห้องวิจัย
คิมนิ่งสงบกับทุกอย่างรวมถึงสภาพเปลือยเปล่าของเขา เลียมเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับในมือถือผ้าขนหนูเช็ดตัวไปด้วย
“เธอคงเห็นอุปกรณ์ในการทำแผลและอุปกรณ์สำหรับการผ่าตัดเล็ก ที่หัวไหล่ฉันกระสุนฝังใน เธอจัดการกับมันได้ใช่มั้ย” คิมพยักหน้ารับ ซึ่งในมือเธอก็มีอุปกรณ์ที่เขาว่านั่นเรียบร้อยแล้ว
เลียมเดินไปหยิบผ้ายางออกมาจากตู้และไปปูที่เตียงนอนขนาดใหญ่ที่มีเพียงเตียงเดียว และเขาก็ทรุดกายนอนลงบนผ้ายางนั้น “ลงมือ”
คิมขยับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง และจัดการใช้กรรไกรตัดเศษเสื้อที่เธอเอามาพันแผลให้เขา ตอนนี้มันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำและเลือด
เลียมนอนตะแคงให้เธอจัดการที่หัวไหล่ก่อน เธอเริ่มจากการฉีดยาชาบริเวณปากแผลถูกยิง
“ฉันดีใจที่ได้เจอเธอนะคิม” เขาที่ยังมีสติจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“ไม่น่าจะดีใจเลยนะคะ เพราะถ้าคุณไม่มาช่วยฉัน ก็คงไม่ถูกยิง”
“นั่นก็ถูก แต่ที่เธอต้องมาเสี่ยงแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นห่วงฉันหรือไง” คิมไม่คิดว่าเขาจะรู้ว่าเธอดั้นด้นมานั้นก็เพื่อมาตามหาเขา
บทสนทนาจบลงเท่านั้น คิมจัดการใส่ถุงมือและเริ่มทำการผ่าตัดเล็กเอากระสุนออกมา และจัดการเย็บแผลต่อที่หัวไหล่ และไปต่อที่ต้นแขนที่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเพียงเพราะการถากของกระสุนนัดที่สอง
“โชคดีมากที่ไม่ตัดเส้นเลือดใหญ่”
อืม คราวนี้เขาไม่ตอบออกมาเป็นคำพูด ดูจากอาการแล้วเขากำลังจะหมดสติ เมื่อปิดแผลเรียบร้อย เธอก็ให้เขานอนในท่าที่สบายมากขึ้นและเริ่มต่อสายน้ำเกลือให้เลือดเขาต่อไป และเขาก็หลับไปในทันที ดูแล้วเขาน่าจะหลับไปไม่ต่ำกว่าแปดชั่วโมง