“โคตรง่วงเลยว่ะอลิซ”
มัสยาปิดปากหาวเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้ต่าง
จากอลิษาที่อาจจะหนักกว่านิดหน่อยตรงที่เธอต้องตื่นมาช่วยแม่ขนของลงไปตั้งร้านตั้งแต่เช้าทั้งที่เพิ่งนอนได้เพียงสามชั่วโมงเท่านั้น
“เหมือนกัน ถ้าอาจารย์ไม่เข้าซะที ฉันว่าฉันต้องหลับแน่ ๆ”
“เราโดดเรียนกันไหม เดี๋ยวฉันให้เพื่อนเก็บใบงานไว้ให้เรา”
“จะบ้าเหรอ ตั้งใจหน่อยสิ คนจนอย่างเราจำเป็นต้องจบเกรดดี ๆ นะ จะได้หางานง่ายหน่อย”
“แม่คุณของเพื่อน แกหย่อนบ้างสักเรื่องก็ได้มั้ง”
“อีกนิดเดียวเราก็จะเรียนจบแล้ว อดทนอีกหน่อยสิเมี่ยง"
“อืม โอเค”
แต่ยังไม่ทันที่อาจารย์จะเข้ามาสอน โทรศัพท์มือถือของ
อลิษาก็มีหมายเลขที่ไม่รู้จักโทรเข้ามาเสียก่อน เมื่อเธอรับสายก็รีบร้อนรนวิ่งออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว มัสยาจึงรีบวิ่งตามออกมาอย่างรวดเร็ว
“อลิซ เดี๋ยว เกิดอะไรขึ้น”
มัสยาวิ่งมาทันดึงแขนเพื่อนเอาไว้ เมื่อเธอหันหน้ากลับมาพร้อมน้ำตาอาบแก้มก็ทำเอามัสยาตกใจ
“เฮ้ย อลิซ เกิดอะไรขึ้น แกร้องไห้ทำไม”
“แม่ แม่ฉันโดนรถชน”
สองสาวเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในอีกไม่กี่นาทีต่อมา มือเล็กทั้งสองข้างกุมกันแน่น ดวงตากลมโตมองประตูห้องผ่าตัดที่ยังปิดสนิทแม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม
แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อหมอหนุ่มเปิดประตูห้องนั้นออกมาพร้อมข่าวดี
“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ แต่หมอขอดูอาการในห้องไอซียูอีกสักคืน แล้วถึงจะย้ายคนไข้ไปห้องพักปกติได้ แต่ก็ยังคงต้องรอดูอาการอีกหลายวัน อีกสักครู่ค่อยเข้าไปเยี่ยมนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
คนตัวบางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทันทีที่รู้ว่าแม่ปลอดภัย น้ำตามากมายไหลออกมาเพื่อระบายความกดดันในหัวใจ โชคร้ายที่แม่ของเธอถูกคนเมาชนแล้วหนี จนตอนนี้ก็ยังตามหาตัวไม่พบ แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่พระเจ้ายังไม่พรากแม่ไปจากเธออีกคน
“อลิซ แกโอเคไหม”
“เป็นอะไรไหมครับ จะเป็นลมหรือเปล่า”
หมอหนุ่มและมัสยาต่างถลาเข้ามาประคองคนตัวบางซึ่งหน้าซีดไร้สีเลือดด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณหมอ ที่ช่วยแม่เอาไว้”
“มันเป็นหน้าที่หมออยู่แล้วครับ อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวก่อนออกเวรเย็นนี้หมอแวะไปดูคนไข้ให้อีกรอบนะครับ”
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่อลิษายังคงยืนมองมารดาซึ่งยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงโรงพยาบาลที่มีสายช่วยชีวิตระโยงระยางผ่านผนังกระจกหน้าห้องไอซียู
“อลิซ แกไปหาข้าวกินก่อนเถอะ นี่จะบ่ายสองแล้วนะ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมจริง ๆ หรอก”
“ฉันยังไม่หิวเลยเมี่ยง อยากเฝ้าแม่มากกว่า เดี๋ยวแม่ตื่นมาไม่เจอฉันจะตกใจ”
“พยาบาลก็บอกแล้วว่ายังไม่ฟื้นง่าย ๆ เผลอ ๆ ก็พรุ่งนี้ เดี๋ยวฉันเฝ้าแม่ให้แกเอง รีบไปกินข้าวซะ ถ้าแกป่วยไปอีกคนแล้วใครจะดูแลแม่”
“ก็ได้ ฝากแม่ก่อนนะเดี๋ยวฉันรีบมา”
ผ่านไปห้าวันแล้ว อาการคนป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ อลิษาต้องหยุดเรียนทั้งสัปดาห์เพื่อมานอนเฝ้ามารดาในห้องพักผู้ป่วยแบบรวมที่มีคนป่วยเข้าใช้บริการเต็มแน่นทุกเตียง
เธอนั่งจับมือแม่ที่นอนหลับไปอีกครั้งหลังจากตื่นมากินยา กวาดตามองร่องรอยแผลตามตัว แขนขวาหักจนต้องผ่าตัดดามเหล็ก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผ่ายผอม ก่อนจะกวาดตามองบรรยากาศรอบตัวอีกครั้งด้วยความรันทดใจ
สงสารแม่เหลือเกิน ครั้งสุดท้ายที่แม่ของเธอเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นแม่ของเธอนอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยแบบวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง มีพยาบาลพิเศษคอยดูแลอย่างดีพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งที่เพียงแค่ถ่ายท้องและอาเจียนนิดหน่อยเท่านั้น
แต่วันนี้ แม่ของเธอโดนรถชนปางตาย เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ต้องผ่าตัดหลายส่วน อาการย่ำแย่ แต่กลับต้องทนนอนอุดอู้อยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่เตียงนอนแออัดราวกับปลากระป๋อง นางพยาบาลซึ่งมีน้อยนิดไม่เพียงพอจะดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุที่อาการหนักแทบทุกเตียง บางเตียงส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด บางเตียงนอนไม่ได้สติต้องให้อาหารทางปาก บางเตียงถูกย้ายเข้าห้องไอซียูโดยด่วนหลังจากเพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัดไม่นาน และบางเตียงก็จากโลกนี้ไปโดยมีญาติพี่น้องร้องห่มร้องไห้ราวจะขาดใจ ช่างเป็นภาพที่น่าหดหู่เหลือเกิน
คนตัวบางถอนหายใจยาว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เธอก็ยังไม่ได้จ่ายค่าเทอม เพราะต้องนำเงินส่วนนี้มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่ คนที่ขับรถชนก็หายเข้ากลีบเมฆ ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เงินของแม่ก็จ่ายค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ และหนี้สินไปหมดแล้วก่อนหน้าที่จะโดนรถชน จนถึงตอนนี้ เธอยังมืดแปดด้านว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเทอมที่ทางมหาวิทยาลัยเลื่อนเวลาออกไปให้อีกหนึ่งสัปดาห์
สุดท้าย แม่ของเธอก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้หลังจากนอนรักษาตัวอยู่ถึงสิบวันเต็ม ๆ อาการเจ็บป่วยทางร่างกายดีขึ้นมากจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เธอจึงกลับมาเรียนอีกครั้ง
“เมี่ยง แกมีงานพิเศษอะไรให้ฉันทำอีกไหม ใกล้จะถึงวันสุดท้ายที่ต้องจ่ายค่าเทอมแล้ว ถ้างวดนี้ไม่จ่าย ฉันจะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อเทอมนี้ คงต้องดร็อปเรียนก่อน”
ใบหน้าสวยหวานมีแต่ความกังวล เรื่องนี้เธอไม่กล้าบอกให้แม่รู้ เพราะกลัวว่าแม่จะเครียดจนอาการป่วยกำเริบ แต่ถ้าเธอต้องดร็อปเรียนเพื่อออกไปทำงานหาเงินมาจ่ายค่าเทอมแล้วต้องเรียนจบช้ากว่าเพื่อน ชีวิตสบาย ๆ ของเธอกับแม่ก็จะช้าไปอีกหนึ่งปี ซึ่งเธอไม่อยากจะเสียเวลาอีก เธอทนมองแม่ลำบากมานานหลายปีเกินพอแล้ว
“ช่วงนี้ไม่มีเลยว่ะอลิซ แกเอาเงินฉันไปก่อนไหม มีไม่พอค่าเทอมหรอก แต่อย่างน้อยแกก็หาเพิ่มอีกไม่เยอะ”
“ไม่เอา นั่นมันเงินค่ากินค่าอยู่ของแก ถ้าให้ฉันแล้วแกจะเอาเงินที่ไหนกินข้าว นี่มันยังไม่กลางเดือนเลย”
“ฉันไปกินข้าวที่ทำงานได้ เดี๋ยวจะห่อมาเผื่อมื้ออื่น ๆ มีแค่ค่ารถมาเรียนก็พอแล้ว”
อลิษามองเพื่อนรักผ่านม่านน้ำตา ขนาดว่าตัวเองก็ลำบากแทบตาย เป็นลูกกำพร้าเหลือตัวคนเดียว ต้องปากกัดตีนถีบทุกอย่าง ยังอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเหลือเธอ
“ขอบใจมากนะเมี่ยง แต่ฉันเอาเงินของแกไม่ได้จริง ๆ เย็นนี้ไปทำงานร้านพี่แก้วแล้วว่าจะหางานที่ร้านเหล้า”
“แกเหลือเวลาพรุ่งนี้อีกแค่วันเดียว มันจะหาเงินทันได้ยังไง
อลิซ ต่อให้แกจะไปเป็นเด็กดริ๊งก็เหอะ เงินเกือบสามหมื่น แค่คืนเดียว แกจะหาได้ยังไง กินเหล้าให้ตายก็ไม่มีทางได้เงินถึง”
“แล้วจะทำยังไงดี ฉันไม่อยากดร็อปเรียน เราเสียเวลาเรียนมาเป็นเดือนแล้ว ถ้าจบทีหลังเพื่อน แม่ฉันก็จะลำบากเพิ่มอีกหนึ่งปี ตอนนี้ร่างกายแม่ก็ยังไม่ทันจะหายดีด้วยซ้ำ ฉันไม่อยากทำให้แม่เสียใจ”
“งั้นฉันจะไปหางานร้านเหล้ากับแกดีไหม ฉันกินเหล้าเก่งนะ น่าจะช่วยแกได้หลายบาทอยู่”
“ขอบใจแกมากเลยนะเมี่ยง แกดีกับฉันมากจริง ๆ แต่แกไม่ต้องไปลำบากกับฉันหรอก อย่างที่แกบอก ต่อให้เรากินเหล้าให้ตาย ก็หาเงินสามหมื่นไม่ได้ภายในคืนเดียวหรอก”
สองสาวเพื่อนแท้ถอนหายใจพร้อมกันอย่างทดท้อต่อชะตาชีวิต ทำไมคนที่ตั้งใจเรียนและรักดีอย่างพวกเธอสองคนถึงมีชีวิตลำบากตรากตรำขนาดนี้ อีกนิดเดียวก็จะได้มีชีวิตใหม่กันแล้ว ทำไมโชคชะตาถึงไม่เข้าข้างพวกเธอบ้าง