9

1141 คำ
“นี่ป้าม้วนกับแต้วไปช่วยคุณแม่ซักผ้าสิ เสื้อผ้ากองเท่าภูเขาประเดี๋ยวจะเป็นลมตายคากะละมังซักผ้า แล้วป้าม้วนกับแต้วอาจจะโดนคุณท่านกับคุณกรดุเอาได้นะ ไปเร็วไปช่วยคุณแม่ซักผ้า” ประภาพรรณกระซิบบอกสองสาวใช้ต่างวัยที่ยืนอยู่ใกล้เธอ ม้วนกับแต้วได้ยินดังนั้นจึงไปหยิบเก้าอี้ตัวเล็กมาคนละตัว นำมาวางใกล้ๆ กับกะละมังซักผ้าใบใหญ่ที่มีผ้าอยู่เต็ม ลงมือช่วยกันซักผ้าให้เสร็จเร็วๆ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เสื้อผ้าประมาณเจ็ดสิบตัวได้ซักทำความสะอาดและนำไปตากไว้บนราวตากผ้าอย่างเรียบร้อยและเป็นระเบียบ “เสร็จแล้ว บ้านนี้เขาซักผ้ากันแบบนี้ ทีนี้หล่อนเข้าใจหรือยัง?” ปทุมวดีหันมาพูดกับประภาพรรณหลังจากที่ตกเสื้อผ้าตัวสุดท้ายเสร็จสิ้น พูดด้วยเสียงเหนื่อยหอบนิดๆ เพราะนานแล้วที่นางไม่ได้ซักผ้า อีกทั้งเสื้อผ้าวันนี้เยอะกว่าทุกวันด้วย เหงื่อซึมตามใบหน้า ไหลหยดมาตามไรผม “เข้าใจค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ แต่จะว่าไปมิวก็รู้วิธีซักผ้านะคะ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะอยากรู้ว่าคุณแม่ที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่งๆๆๆ จะทำได้หรือเปล่า ปรากฏว่าทำได้จริงๆ ด้วย แหม...ซักสะอาดซะด้วย อย่างนี้ไม่ต้องซ่อมเครื่องซักผ้าหรอกค่ะ คุณแม่มานั่งช่วยมิวซักผ้าทุกวันก็ได้ จะได้สอนมิวเกี่ยวกับการเป็นกุลสตรีศรีอโยธยา แต่ว่าวันนี้มิวต้องขอขอบคุณคุณแม่ที่ซักผ้าแทนมิวนะคะ มิวขอตัวก่อนนะคะคุณแม่เมื่อกี้ยืนดูคุณแม่กับป้าม้วนและแต้วซักผ้าจนตะคริวขึ้นขา เกร็งน่องซะปวดไปหมด ว่าจะไปงีบเอาแรงซะหน่อย ไปนะคะคุณแม่สามี” ประภาพรรณยิ้มร่า โบกมือให้ปทุมวดีและสาวใช้ต่างวัยที่ยืนอึ้งเมื่อรู้ว่าหลงกลผู้หญิงที่เดินสะบัดก้นเข้าไปในบ้าน ทำเอาปทุมวดีกรีดร้องอยู่ในใจ กำมือแน่น สีหน้าเข่นเขี้ยว “นังมิว นังแสบ แก แก แกหลอกฉันหรือนี่ เจ็บใจนัก” ปทุมวดีชี้ไปยังร่างของคนที่หลอกให้ตนเองซักผ้ากองโต ทำไมไม่ฉุกใจคิดคำพูดของลูกสะใภ้ กลับหลงกลคำพูดร้ายเดียงสาเสียอย่างนั้น เจ็บใจนัก เจ็บใจเหลือเกิน “โอ้โห...สะใภ้ของคุณหญิงร้ายถึงใจจริงๆ ค่ะ เอาคืนเราสามคนซะมือเหี่ยว เหงื่อตก หอบรับประทานเลย” แต้วพูดเสริม “นั่นสิคะคุณท่าน ม้วนไม่ได้ซักผ้ามานาน ลมแทบจับแน่ะคะ” ม้วนทำท่าคล้ายจะเป็นลมดีที่ว่านางล้วงยาดมมาสูดดมให้หายจากอาการหน้ามืดตาลายได้เสียก่อน การซักผ้าในครั้งนี้รีดพลังงานไปเยอะเลยทีเดียว “ฉันไม่ยอมหรอก ฉันจะเล่นงานมันให้จังหนับเลยคอยดู รู้ฤทธิ์คุณหญิงปทุมวดีน้อยเกินไปแล้ว” นางพูดอย่างมาดมั่น “ไปม้วน แต้ว ไปจัดงานมันต่อ” แล้วหันมาพูดกับคนรับใช้ “แน่ใจนะคะคุณหญิงว่าจะไปเล่นงานมันจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราจะไปให้มันจัดการอีกนะคะ” แต้วพูดเสียงเบา หน้าตาแหยๆ ท่าทางประภาพรรณจะร้ายใช่ยอก มีหวังแหยมหน้าเข้าไป ไม่รู้อีกฝ่ายจะตอกอะไรกลับมา “แกจะกลัวอะไรแต้ว รับรองงานนี้มันไม่รอดมือฉันแน่” “มั่นใจหรือคะคุณท่าน?” ม้วนถามขึ้น เพราะตอนนี้นางไม่มั่นใจเอาเสียเลย เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้นางรู้ว่า ประภาพรรณไม่ใช่เล่นๆ แต่ทว่าเจ้านายของตนก็ใช่หยอก งานนี้ไม่รู้ว่าใครจะหักเหลี่ยมใครกันแน่ “มั่นใจสิ จะกลัวอะไร เรามีกันตั้งสามคน มันตัวคนเดียว ไป ไปได้แล้ว” พูดจบก็นำทัพขึ้นไปยังห้องนอนของลูกชายทันที เพื่อจัดการกับลูกสะใภ้ตามความตั้งใจของนาง ก๊อก ก๊อก ก๊อกๆๆๆ ปังๆๆๆๆ เสียงเคาะประตูรัวหลายครั้งก่อนเสียงนั้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงทุบประตู ทำให้คนที่นั่งดูโทรทัศน์จำต้องลุกมาเปิดประตู รู้ได้ในทันทีเลยว่า คนที่มาเคาะนั้นไม่ใช่ใคร แม่สามีผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วของเธอนั่นเอง “คุณแม่สามีเจ้าขาจะทุบให้ประตูมันถลอกทำไมคะ แค่เคาะเบาๆ ก็พอคะ” ประภาพรรณพูดขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องออกกว้าง “ฉันกลัวหล่อนไม่ได้ยิน” ปทุมวดีแก้ตัว “หูมิวไม่หนวกนะคะคุณแม่ถึงไม่ได้ยินน่ะ แล้วนี่ยกโขยงกันมามีเรื่องอะไรจะให้มิวรับใช้อีกคะ?” “หน้าที่ของลูกสะใภ้อีกหนึ่งอย่างก็คือทำกับข้าว นี่เงินสองร้อยเอาไปซื้อกับข้าวมาทำอาหารเย็น บ้านนี้กินข้าวเย็นเวลาหกโมงครึ่ง” ปทุมวดียื่นเงินสองร้อยบาทให้ประภาพรรณ “บ้านนี้ไม่นิยมกินกับข้าวถุง และอาหารต้องมีสี่อย่าง ขนมหวานหรือผลไม้ตบท้ายด้วย เงินสองร้อยที่ฉันให้ไปคิดว่าน่าจะพอ ทำได้หรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป” ประภาพรรณรู้สึกเกลียดประโยคจับใจ “ทำได้หรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป” อย่าหวังว่าเธอจะยอม “ไม่มีปัญหาค่ะ มิวซะอย่าง” “ว่าแต่เธอทำกับข้าวเป็นหรือเปล่า ถ้าทำไม่เป็นฉันไม่ทำให้ดูนะยะ ไม่อยากโดนหลอกซ้ำสอง” ปทุมวดีพูดดักคอ “สบายมากค่ะ เรื่องทำอาหารเรื่องจิ๊บๆ ค่ะ” ประภาพรรณทำท่าเหมือนในโฆษณารถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งพรีเซนเตอร์สาวร่างเล็กมักทำอยู่บ่อยๆ “ย่ะ ขอให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ ไม่ใช่ว่าท้องเสียกันทั้งบ้านนะ” ปทุมวดีไม่วายแดกดัน “ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวมิวซื้อยาแก้ท้องเสียมาเผื่อด้วย ท้องเสียปุ๊บกินยาปีบรับรองไม่จู๊ดๆ แน่นอนค่ะ” ประภาพรรณตอกกลับอย่างทันท่วงที แม่สามีได้ยินแล้วส่งค้อนให้ลูกสะใภ้วงใหญ่ “หล่อนนี่มันกะล่อนได้โล่จริงๆ แล้วฉันก็คิดว่าอาหารเย็นมื้อนี้คงเป็นอาหารเหลา ไม่ใช่ไข่เจียว ปลากระป๋องหรือไม่ก็ผัดผักไร้เนื้อสัตว์นะยะ” นางไม่วายกระแหนะกระแหนไปอีกรอบ “แน่นอนค่ะคุณแม่สามี รับรองอร่อยเหาะชมเปราะเลยค่ะ” “ย่ะ แล้วฉันจะคอยดู เชอะ” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินเชิดออกห่างห้องของลูกชายในทันที ประภาพรรณก้มมองดูเงินที่อยู่ในมือแล้วยิ้ม งานนี้ได้อร่อยเหาะจนถึงสวรรค์แน่นอน “อาหารเหลาเหรอ ได้เลยมิวจัดให้งามๆ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม