“เจ้านายครับ ตกลงเจ้านายจะเทคโอเวอร์หรือเปล่าครับ”
คาเมลสะกิดเจ้านายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใจลอย ไม่ได้ฟังข้อมูลที่เขารายงานออกไป
“นายว่าอะไรบ้างนะ เราไม่ได้ฟัง เอาใหม่ตั้งแต่ต้นเลย”
โดมินิทรู้สึกตัวเองอีกครั้ง หลังจากเผลอนึกถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมา เท้ายาวทรงพลังก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงชั้นสี่ที่เป็นแผนกเด็ก
“เจ้านายคิดว่าเจ้าของห้างฯ เขาแต่งบัญชีหรือครับ”
“เราเจอมาบ่อย นายก็รู้ สรุปแล้วผลประกอบการเป็นยังไง”
โดมินิทเดินมาหยุดตรงต้นคริสมาสต์ต้นใหญ่ ซึ่งจัดไว้กลางชั้นสี่ ชายหนุ่มยืนมองกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงิน ซึ่งจัดวางเรียงรายรอบๆ ต้นคริสมาสต์ ริมฝีปากสีสดเม้มเข้าหากัน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องที่กล่องของขวัญไม่วางตา ขณะเดียวกันสมองก็กำลังคิดคำนวณตามที่เลขาหนุ่มรายงานให้ทราบ
“เท่าที่ผมไปสืบมาเอง กำไรของห้างอยู่ประมาณสิบล้านครับ ไม่ถึงห้าสิบล้านกว่า เหมือนที่เราได้รับข้อมูลจากฝ่ายบัญชีของห้าง”
“ถ้าได้กำไรขนาดนี้ กิจการก็น่าจะอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องขายเลย” โดมินิท
ออกความคิดเห็นกับลูกน้อง
“มีข่าววงในว่าเจ้าของกิจการติดการพนันครับ ข้ามไปเล่นบ่อนที่กัมพูชากับมาเก๊าเดือนละหลายครั้ง บางเดือนก็ไม่กลับมาเมืองไทยเลยครับ”
“ส่วนมากจะเล่นเสียและติดหนี้พนันใช่ไหม”
ชายหนุ่มถามด้วยเสียงราบเรียบ เพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ไม่เคยมีใครรวยด้วยการพนันได้ เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว ต่อให้รวยล้นฟ้าแค่ไหน ถ้าได้ติดการพนันแล้วก็เหมือนเอาเงินไปเผาทิ้ง
“บิงโก! ถูกต้องครับเจ้านาย นายทวีวิทย์กับเมียเล่นเสียทีละหลายๆ ล้าน พอไม่มีเงินจ่ายหนี้พนัน ก็เอาเงินกำไรบางส่วนไปหมุนก่อน หุ้นส่วนบางคนรู้ข่าวก็ไม่พอใจมาก เลยถอนหุ้นหมด นายทวีวิทย์ไม่มีเงินมาบริหารงาน ก็เลยต้องขายกิจการทิ้ง แล้วเจ้านายจะซื้อไหมครับ”
“ซื้อ! แต่ไม่ใช่ในราคาที่ตกลงกันไว้ในครั้งแรก นายไปจัดการต่อรองราคาและก็จัดการเรื่องเอกสารได้เลย เราจะให้นายเป็นคนบริหารที่นี่”
โดมินิทเอ่ยตอบโดยไม่ได้หันมามองหน้าคาเมล นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องอยู่ยังกล่องของขวัญ
“จะให้ผมบริหารที่นี่? ถ้างั้นก็แปลว่าเจ้านายจะมาอยู่เมืองไทยด้วยใช่ไหมครับ” คาเมลถามย้ำด้วยความดีใจ
“เปล่า! เราจะให้นายบริหารคนเดียว”
“อ้าว!...แล้วเจ้านายละครับ”
“ถ้าเราตามหาน้องหมูไม่พบ เราจะกลับอเมริกา นายต้องอยู่เมืองไทยคนเดียว” โดมินิทตอบเสร็จก็เดินหนีไปที่ลิฟท์ทันที
คาเมลมัวแต่ยืนตะลึงตกใจกับคำตอบของเจ้านาย กว่าจะรู้สึกตัวเจ้านายหนุ่มก็เดินไปเกือบถึงลิฟท์แล้ว
“เจ้านายครับ รอผมด้วยสิครับ” คาเมลรีบวิ่งตามไปที่ลิฟท์ “จะดีหรือครับเจ้านาย ถ้าผมอยู่เมืองไทย แล้วใครจะดูแลเจ้านายละครับ”
“ไม่เป็นไร เราดูแลตัวเองได้”
โดมินิทเอ่ยขอบใจผ่านดวงตาสีน้ำเงินเข้ม เขารู้ดีว่าสิ่งที่คาเมลเป็นห่วงไม่ใช่สุขภาพทางกาย แต่คาเมลเป็นห่วงเรื่องสภาพจิตใจของเขามากกว่า
“เจ้านายจะไปไหนต่อไหมครับหรือว่าจะกลับบ้านเลย”
“กลับบริษัทแล้วกัน” โดมินิทหมายถึงสาขาของเอิร์สคามอนกรุ๊ปที่อยู่ในเมืองไทยซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ
“นายจะกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราเข้าบริษัทคนเดียว”
“ไม่เป็นไรครับเจ้านาย ผมไปด้วยครับ ผมอยากเข้าไปสะสางงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จเหมือนกัน”
โดมินิทมองสายตาเจ้าเล่ห์ของคาเมลแล้วยิ้มตรงมุมปากอย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
คาเมลมองเจ้านายหนุ่มแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักใจ โดมินิททำงานวันละสิบห้าชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ทำงานตลอด 365 วันแทบไม่ยอมหยุดพักผ่อนแม้แต่วันเดียว ไม่เคยไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนๆ นานๆ ครั้งจึงจะยอมออกงานสังคมกับเขาสักที
เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมามันพรากเอาโดมินิทคนเดิมไปด้วย จากชายหนุ่มที่เคยหัวเราะยิ้มแย้ม แจ่มใสอารมณ์ดีตลอดเวลา ตอนนี้เขาแทบจะไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะออกจากปากเจ้านายหนุ่มเลย ใบหน้าคมเข้มไม่ยอมแสดงความรู้สึกเจ็บปวดออกมาให้เห็นอีก แต่เขาก็รู้ดีว่า โดมินิทยังเจ็บปวดและจมอยู่กับอดีต ถ้าหากเขาปล่อยให้โดมินิทกลับบริษัทคนเดียวมีหวังได้ทำงานจนลืมเวลาและหลับคาโต๊ะทำงานเหมือนเดิม
“คาเมลนายจะไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปเราจะไปคนเดียว” โดมินิทหันมาถามด้วยความรำคาญ เมื่อคาเมลไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหนสักที
“ไปครับเจ้านาย”
คาเมลเดินตามเจ้านายไปถึงหน้าลิฟท์และกำลังจะก้าวเข้าไปข้างใน แต่โดมินิทกลับยืนชะงักหยุดนิ่งไม่ยอมก้าวไปไหน
โดมินิทหยุดยืนอยู่หน้าลิฟท์เมื่อได้ยินเสียงประกาศตามหาเด็กหายจากประชาสัมพันธ์ของห้างฯ ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่สะดุดใจเขามากที่สุด จนทำให้เขาต้องหยุดฟัง
เด็กชื่อภูมินิท ชื่อเล่นชื่อน้องบลู มีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม...
“พี่หมูคะ ตอนนี้พี่หมูอยู่ที่ไหนคะ” ณิชาดาพูดใส่โทรศัพท์รัวเร็วจนแทบหายใจไม่ทัน
“พี่กำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปหาข้าวปุ้นอยู่จ้ะ ข้าวปุ้นอยู่ชั้นสี่ใช่ไหม อยู่ตรงแผนกไหนเดี๋ยวพี่จะไปหา”
“ปุ้นอยู่ชั้นสี่อยู่หน้าร้านไอศรีมค่ะ พี่หมูรีบมาเร็วๆ นะคะ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเริ่มสั่นเครือ ณิชาดายังไม่อยากบอกให้พี่สาวรู้ว่าน้องบลูหาย เธอพยายามเดินหาทั่วร้านไอศรีมแล้ว แต่ก็ไม่เจอน้องบลู
“โอเคจ้ะ ปุ้นอยู่ตรงนั้นแหละพี่ขึ้นมาเกือบถึงแล้ว”
ปรีชยาพรวางสายจากน้องสาว แล้วหันไปมองครอบครัวหนึ่งที่กำลังลงบันไดเลื่อนสวนทางกับเธอ เด็กผู้หญิงแก้มยุ้ยยืนอยู่ตรงกลางมีพ่อกับแม่ยืนจูงมือลูกคนละข้าง เด็กน้อยคงกำลังชวนให้คุณพ่อดูตุ๊กตาที่เพิ่งซื้อมา เพราะเห็นชี้ไม้ชี้มือมาที่ตุ๊กตา หญิงสาวมองแล้วก็อมยิ้มกับความน่ารักของครอบครัวคู่นี้ เธออยากให้ครอบครัวเธอเป็นแบบนี้บ้าง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าเนียนงามนัยน์ตาสีดำสนิทคู่สวยฉายแววเศร้าขึ้นมาทันที คิดว่าครอบครัวของเธอคงจะไม่มีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้ากันเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ
เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาพบน้องสาวแล้ว ปรีชยาพรก็ถามหาลูกชายทันที
“น้องบลูละปุ้น”
“เอ่อ...เอ่อ...” ณิชาดาอึกอักยังไม่กล้าบอกความจริงกับพี่สาว
“มีอะไรหรือเปล่าปุ้น”
ปรีชยาพรยิ้มบางๆ ให้น้องสาว แต่พอกวาดสายตามองรอบๆ ไม่เห็นน้องบลูอยู่ด้วย แก้มเนียนสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติถึงกับซีดเผือดลงทันที