“ชื่อเล่นคุณอาชื่อน้องบลูหรือครับ”
เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ ทำเอาโดมินิทต้องหลุดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขำกับคำถามนี้
“ไม่ใช่ครับชื่อเล่นคุณอาชื่อ บลู ครับ”
“อ๋อ! เข้าใจแล้วครับคุณอาชื่อบลูใช่ไหมครับ ทำไมสีดวงตาของเราเหมือนกัน ชื่อเล่นก็เหมือนกันด้วยครับ” ความสงสัยเริ่มบังเกิดขึ้นในตัวน้องบลู
อีกรอบ
“สงสัยคุณแม่ของเราทั้งสองคน คงมีใจตรงกันมั้งครับ เลยตั้งชื่อเล่นเราเหมือนกัน”
“ถ้ามีคนเรียกชื่อเราพร้อมกัน เราจะรู้ได้ไงครับว่าเขาเรียกน้องบลูหรือเรียกคุณอา”
โดมินิทขมวดคิ้วครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา “อืม...เอาแบบนี้นะ คุณอาเป็นบลูซีเนียร์ ส่วนน้องบลูก็เป็นบลูจูเนียร์ดีไหมครับ”
“ซีเนียร์กับจูเนียร์แปลว่าอะไรครับ น้องบลูไม่เข้าใจ”
น้องบลูขมวดคิ้วหากันให้ยุ่งไปหมด ใบหน้าน่ารักตั้งใจฟังคำตอบด้วยความอยากรู้
“ซีเนียร์ก็แปลว่าคนที่มีอายุมากกว่า อาวุโสหรือแก่กว่า ส่วนจูเนียร์ก็แปลว่าคนที่มีอายุน้อยกว่าเหมือนน้องบลู ถ้ามีใครเรียกบลูซีเนียร์ก็หมายถึงคุณอา ถ้าบลูจูเนียร์ก็หมายถึงน้องบลูไงครับ” โดมินิทอธิบายพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ตกลงครับคุณอาบลูซีเนียร์ น้องบลูเข้าใจแล้วครับ”
น้องบลูกระโดดกอดคอโดมินิทด้วยความดีใจ ร่างสูงใหญ่กอดตอบและหอมแก้มยุ้ยๆ ซ้ายขวาของเด็กน้อยข้างละฟอด ส่วนน้องบลูเองก็กอดชายหนุ่มไว้แน่น ซบใบหน้าเล็กลงกับซอกคอของโดมินิท รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“บลูจูเนียร์เรามาชนหมัดกันหน่อยไหมครับ”
“ทำยังไงครับ น้องบลูไม่เคยเล่นครับ”
น้องบลูปล่อยแขนลง เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างงุนงง เพราะตัวเองไม่เคยเล่นกับแม่หรือน้าปุ้นมาก่อน
“เขาต้องทำแบบนี้ครับ น้องบลูทำตามอาบลูนะครับ”
ชายหนุ่มกำมือใหญ่เป็นหมัดและชูขึ้นให้เด็กน้อยดู ส่วนน้องบลูก็กำมือเล็กเป็นหมัดและชูขึ้นมาข้างหน้าเหมือนกัน
“จากนั้นเราก็เอามือมาชนกันแบบนี้ครับ” โดมินิทจับมือเล็กๆ ที่กำเป็นหมัดมาชนกับกำปั้นของตัวเอง
“ดีจังเลยครับอาบลู เอาอีกรอบครับ” น้องบลูกระโดดโลดเต้นบนเก้าอี้ มือเล็กกำมือรอให้ชายหนุ่มกำหมัดมาชนกันอีกครั้ง
โดมินิทยิ้มเอ็นดูในความน่ารักของน้องบลู จากนั้นก็กำหมัดไปชนกับหมัดเล็กๆ ของน้องบลูอีกครั้ง
“คุณอาบลูครับ คุณอากอดน้องบลูอีกครั้งได้ไหมครับ”
น้องบลูอยากให้ชายหนุ่มกอดตัวเองอีกครั้ง เด็กน้อยไม่เคยได้รับอ้อมกอดจากคนที่เป็นพ่อ เคยได้รับความอบอุ่นเอาอกเอาใจจากคนที่เป็นแม่และน้าสาวเท่านั้น พอได้รับอ้อมกอดจากชายหนุ่มแปลกหน้า เด็กน้อยจึงรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน อีกทั้งยังรู้สึกปลอดภัยเหมือนมีคนคอยมาปกป้องตัวเอง
โดมินิมยิ้มรับพลางโอบแขนแข็งแรงไปรอบตัวเด็กน้อย ดึงร่างป้อมๆ เข้ามากอดเต็มอ้อมแขน ใบหน้าหล่อเหลายื่นไปหอมตรงพวงแก้มยุ้ยทั้งสองข้าง และตรงกลางหน้าผาก ความรักที่มีให้กับเด็กน้อยถ่ายทอดออกมาทั้งทางสายตาและใบหน้า ซึ่งดูอ่อนโยนลงทุกครั้งเวลามองมาตัวน้องบลู และทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกเอ็นดูและรักน้องบลูมาก
โดมินิทไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เขาเคยพบเจอเด็กที่น่ารักมากมาย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกรักเด็กคนไหนเท่ากับน้องบลูมาก่อน หรืออาจเป็นเพราะความน่ารัก การพูดจาฉะฉานไม่กลัวใคร หรืออาจเป็นเพราะดวงตาคู่สวยสีน้ำเงินเข้ม ที่สะดุดใจเขามากที่สุด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้เขารักน้องบลูมาก
โดมินิทและน้องบลูหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างเข้าทั้งสองคนเข้าด้วยกัน นอกเหนือจากความรัก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มและใบหน้าที่เหมือนกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งสองคนเข้าหากันก็คือ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของความเป็นพ่อลูกกัน ซึ่งทั้งโดมินิทและน้องบลูยังไม่รู้ถึงเหตุผลในข้อนี้...
ณิชาดานึกขึ้นได้ว่าน้องบลูอยากดู อยากแกะกล่องของขวัญตั้งแต่ดูต้นคริสมาสต์
ขณะอยู่ชั้นล่างแล้ว ที่ชั้นสี่ตรงลานกิจกรรมก็มีต้นคริสมาสต์จัดไว้อีกต้น เธอเห็นน้องบลูมองกล่องของขวัญตาปรอยๆ จึงรีบพาไปกินไอศรีมแทน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของหลานชาย
และขณะวิ่งตรงไปยังลานกิจกรรมของชั้นสี่ มือบางก็ค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพานแล้วโทรไปพี่สาวด้วย
“พี่หมู! ข้าวปุ้นนึกออกแล้ว ตอนดูต้นคริสมาสต์ น้องบลูบอกว่าอยากดูของขวัญ ปุ้นว่าน้องบลูต้องอยู่แถวๆ ต้นคริสมาสต์แน่เลย พี่หมูไปดูที่ชั้นล่างนะ ปุ้นจะไปดูที่ชั้นสี่ พี่หมู! แค่นี้ก่อนนะแบตฯ จะหมดแล้ว”
ณิชาดาพูดรัวเร็วเป็นชุดแทบไม่หายใจหายคอ จนพี่สาวฟังไม่ทัน หญิงสาวยังไม่ทันได้กดวางสาย สัญญานเตือนแบตเตอรี่หมดก็ดังขึ้นสองครั้งและสัญญานตัดไปทันที
“ฮัลโหลๆ ข้าวปุ้นๆ”
ปรีชยาพรตะโกนใส่โทรศัพท์ เมื่อฟังน้องสาวพูดไม่รู้เรื่อง น้องสาวเธอพูดรัวเร็วจนจับใจความไม่ได้ ยังไม่ทันได้ถามว่าเจอน้องบลูหรือยัง สัญญานก็ตัดไปก่อน หญิงสาวพยายามโทรกลับไปหาน้องสาว แต่ก็ได้ยินเป็นเสียงเทปแทน
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง
“ข้าวปุ้นนะ...ข้าวปุ้น บอกให้ชาร์ตแบตฯ โทรศัพท์ให้เต็มทุกครั้งเวลาจะออกจากบ้าน ดูสิแบตฯ หมดแบบนี้ พี่จะติดต่อกันได้ยังไง”
ปรีชยาพรบ่นพึมพำ พลางนึกถึงคำพูดของน้องสาวที่พอจะจับใจความได้บ้าง
“ปุ้นพูดถึงต้นคริสมาสต์ หรือว่าข้าวปุ้นจะให้เราไปหาน้องบลูแถวๆ ต้น
คริสมาสต์ ลองไปดูก่อนแล้วกัน ถ้าไม่เจอจะให้เขาประกาศให้อีกครั้ง”
ปรีชยาพรรีบเดินไปที่ต้นคริสมาสต์ตรงลานกิจกรรม ในใจภาวนาขอให้เจอลูกสักที
ณิชาดาวิ่งจนมาถึงต้นคริสมาสต์ ดวงตาคู่สวยสอดสายตามองหาน้องบลู แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัวยุ่ง
แต่! พลันนั้นสายตาก็เหลือบเห็นภาพที่น้องบลูกำลังกอดอยู่กับคนแปลกหน้าตรงเก้าอี้ยาวข้างๆ ทางเดิน จึงรีบเดินไปหาหลานชายทันที
“เจ้าตัวยุ่งกอดกับใครอยู่ ทำไมเราไม่เคยเห็นเลย หรือว่าน้องบลูกำลังถูกแก๊งลักพาเด็กหลอกอยู่”
คิดได้เช่นนั้น ณิชาดาก็รีบวิ่งไปหาน้องบลู สีหน้าตื่นตระหนกหวาดหวั่นกลัวอันตรายจะเกิดขึ้นกับหลาน
“น้องบลู! น้องบลู! กอดใครอยู่ ออกมานี่เลยนะ” เสียงตะโกนเรียกหลานดังมาแต่ไกล ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งไปถึงด้วยซ้ำ
“น้องบลู ทำไมเกเรแบบนี้ ปล่อยให้คุณแม่กับ...ตามหาอยู่ตั้งนาน”
ณิชาดาพูดเสียงสั่นปนหอบ เพราะเมื่อสักครู่เธอรีบวิ่งมาแบบสุดชีวิต อาการหอบเหนื่อยจึงเกิดขึ้น คำว่า น้า จึงหายเข้าไปในลำคอ