สาม
มองดูให้ดี
ตึกตัก... ตึกตัก...
ซุนมี่มี่เผลอหลบสายตาของร่างสูงโปร่งด้วยความประหม่า พยายามปรับอารมณ์ของตนเองให้สงบนิ่งโดยการสูดหายใจเข้าออกช้าๆ
เมื่อครู่นี้นางยังมิทันเตรียมใจ นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ก้าวเท้าออกจากเรือนก็ปะเข้ากับท่านอ๋องน้อยเข้าพอดี
ฝ่ายชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น หญิงสาวเองก็ก้มหน้างุดความประหม่า เหตุนี้จึงมิอาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองตนด้วยสายตาเช่นไร
คนทั้งสองคล้ายตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง นางกำนัลน้อยใหญ่พากันชะเง้อคอออกมาจากเรือนนางกำนัล ต่างพากันกระซิบกระซาบแล้วหัวเราะกันคิกคัก
แหม... ก็ความงามของมี่เอ๋อร์เล่นเอาคนนิ่งๆ อย่างท่านอ๋องน้อยถึงกับมาดหลุดได้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ดูสิ ท่านอ๋องน้อยตรงตะลึงไปเลย เห็นหรือไม่”
“ชู่ว์ ประเดี๋ยวท่านอ๋องน้อยก็ทรงได้ยินเข้าหรอก”
“ไยมี่เอ๋อร์จึงไม่เงยหน้าเสียทีเล่า!”
พวกเขาพูดคุยกันมิทันไร ก็ต้องรีบหนีกลับเข้าไปในเรือนแทบไม่ทันเมื่อเยว่หมิงเบนสายตาคมกริบมายังพวกตน
ครั้นทรงมิทอดพระเนตรเห็นเงาร่างของนางกำนัลเหล่านั้นแล้ว ท่านอ๋องน้อยก็ตรัสกับคนที่เอาแต่ก้มหน้าหลบพระพัตร “ตามข้ามา”
“เพคะ” ซุนมี่มี่ขานรับ รีบก้าวเท้าเร็วตามคนขายาวซึ่งเดินนำไปก่อนสักพักหนึ่งแล้ว
ตลอดสองข้างทางพวกนางพบเจอข้ารับใช้บ้างประปราย พวกเขาต่างพากันทำความเคารพท่านอ๋องน้อย ก่อนจะเหลียวมองตามหลังนางอย่างไม่เกรงใจชนิดที่คอแทบเคล็ด หลงคิดไปว่าเทพธิดาที่ไหนจำแลงกายลงมาหรือไม่ เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีนางกำนัลรูปงามเพียงนี้อยู่ในวังพิชิตบูรพา
คนมองต่างพากันตั้งข้อสงสัย ส่วนซุนมี่มี่ที่หน้าแดงสลับขาวก็ก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม
เมื่อก่อนผู้คนมักจะมองนางด้วยแววตาขบขันไม่ก็เบื่อหน่าย นางอยากหลบหนีจากสายตาเหล่านั้นจึงมักจะก้มหน้ามองพื้น และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
“ซุนมี่มี่”
เสียงเรียกจากผู้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าดังทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด ดึงดูดความสนใจของซุนมี่มี่ให้กลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง
“เพคะ ท่านอ๋องน้อย”
“เงยหน้าขึ้นสิ”
ไม่มีกระแสกดดันหรือบังคับอยู่ในน้ำเสียงให้น่าหวั่นใจ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังคงอยู่ในอิริยาบทเดิม
แม้การฟังคำสั่งเจ้านายถือเป็นสิ่งที่บ่าวต้องปฏิบัติตามเป็นอันดับต้นๆ ก็เถอะ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี
ไม่อยาก... ทนเห็นผู้คนมองนางด้วยแววตาที่คล้ายกำลังประเมินและตัดสินอีกต่อไปแล้ว
เยว่หมิงตัดสินใจหันหลังกลับมา ครั้นเห็นว่าร่างบางสั่นเทาก็เจตนาทอดถอนหายใจออกมาเสียงดัง“ข้าสั่งให้เจ้าเงยหน้าขึ้นมา”
คราวนี้ได้ผล ดวงหน้างามพริ้มที่ไร้ความมั่นใจเงยขึ้น ใช้นัยน์ตาคู่หวานสบตาเขา
“ขะ...ข้าน้อยสมควรตาย ทำให้ท่านอ๋องน้อยทรงกริ้ว” ซุนมี่มี่กล่าวอย่างละลาน จะก้มหน้าลงก็ไม่กล้า สุดท้ายจึงทำได้เพียงเม้มริมฝีปากมองเขาอยู่เช่นนั้น
“เจ้าเป็นมนุษย์ มีสองตา สองมือ สองเท้าเหมือนกับคนอื่น เจ้ามิใช่นักโทษ มิใช่คนบาป ยืดอกเชิดหน้าเข้าไว้...ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องหลบหน้า” ชายหนุ่มกล่าวตำหนิ “ที่สำคัญ เจ้ายังเป็นนางกำนัลในตำหนักของข้า หรือเจ้าอยากทำให้ข้าขายหน้า? ”
“มิกล้าเพคะ! ” นางเอ่ยพลางทำตาเหลือก “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านอ๋องน้อยมิเคยรังเกียจข้าน้อย เพียงเท่านั้นก็เป็นพระกรุณาอย่างล้นพ้น ข้าน้อยผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำให้ท่านอ๋องน้อยต้องขายพระพักตร์เป็นอันขาด”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจไร้การเสแสร้งส่งผลให้มุมปากของคนยิ้มยากหยักยกขึ้นมานิดหนึ่ง ทว่าพริบตาเดียวมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
แต่มีหรือที่มันจะรอดพ้นสายตาของบ่าวผู้ถูกสั่งให้เงยหน้าสบตาเขาไปได้
ซุนมี่มี่แทบลืมเลือนไปแล้วว่ามีบุรุษยิ้มให้นางเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อใด แม้แต่ตงซือที่นางคบหาดูใจกันมาหลายเดือน... นางก็ยังไม่เคยเห็นเขายิ้มเช่นนี้เลยสักครา
...ท่านอ๋องน้อยทรงเป็นบุรุษที่มีรอยยิ้มงดงามชวนมองยิ่งนัก
หญิงสาวครุ่นคิดอย่างเผลอไผล ก่อนจะรีบก้าวตามร่างสูงโปร่งซึ่งเดินนำไปอีกครั้ง นางตามเขาเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงที่หมาย พอกวาดตามองดูรอบๆ สถานที่อันคุ้นเคยซึ่งก่อนหน้านี้ไปมาหาสู่อยู่บ่อยครั้งก็ถึงกับชะงัก นางมัวแต่ก้มหน้าเดินตามท่านอ๋องน้อยจนไม่รู้เลยว่าทรงพานางมายังคอกม้าฝั่งทิศใต้!
คอกม้าแห่งนี้เป็นจุดที่นางพบพานบุรุษซึ่งเป็นรักแรก ที่นี่มีความทรงจำมากมายที่ยามนี้ยังบีบคั้นอกข้างซ้ายให้รู้สึกปวดร้าว
ตงซือ...ย่อมต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
ไวเท่าความคิด ก็หันหลังเตรียมสาวเท้าเร็วเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่ง หากก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเสียงทุ้มห้าวที่นางเคยลุ่มหลงดังแว่วมาแต่ไกล
“คารวะท่านอ๋องน้อย”
นัยน์ตาคู่งามของซุนมี่มี่สั่นไหวดั่งผืนน้ำที่โดนระลอกคลื่นโถมเข้าใส่ ขาทั้งสองก้าวไม่ออกคล้ายถูกตะปูตอกตรึงไว้ที่พื้น กลิ่นสาบของสัตว์ลอยเข้ามาแตะจมูก บรรยากาศอันคุ้นเคยตอกย้ำให้นางนึกถึงความบอบช้ำในวันวาน วันที่เขาสลัดรักนางทิ้งอย่างไม่สนใจไยดี
ในวันนั้นอากาศก็ดีดังเช่นวันนี้ ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆสีขาว ลมพัดเย็นสบายชวนให้รู้สึกปลอดโปร่ง ทว่ามันกลับเป็นความทรงจำอันโหดร้ายที่นางไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต