ห้าปีก่อน
อิงกมลหอบหิ้วตะกร้าลูกหมาตัวน้อย นั่งวินมอเตอร์ไซค์จากโรงเรียนนานาชาติแถวเอกมัยมาหาเพื่อนรุ่นพี่ของตัวเองที่มหาวิทยาลัยแถวสามย่าน... หญิงสาวซึ่งในขณะนั้นอ้วนตุ๊ต๊ะ แต่ใบหน้ากลับอวบอิ่มเบิกบานแจ่มใสหอบตระกร้าน้องหมาพันธ์บูลด็อกผ่านแนวต้นจามจุรีไปยังที่นัดหมายด้วยความทะนุถนอม
ลูกหมาตัวนี้เป็นหนึ่งในลูกๆ ของเจ้าถ้วยฟูที่ออกลูกมาหลายตัวจนที่บ้านเลี้ยงไม่ไหว หญิงสาวจึงเอามันมาแบ่งให้รุ่นพี่ชมรมรักสัตว์ที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันแต่ย้ายมาเรียนคณะนิเทศศาสตร์อินเตอร์เนชันแนลที่นี่ช่วยเลี้ยง
มาถึงหน้าอาคารเรียนของรุ่นพี่แล้วมือขาวกลมป้อมก็ล้วงกระโปรงนักเรียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกหารุ่นพี่พลางวางตะกร้าลงที่พื้นแผ่วเบา ก่อนจะนั่งรอที่หน้าม้าหินอ่อน
“อันฮยองฮาเซโยยูมินโอป้า ซอฮยอนเอาเจ้าฝอยทองมาให้แล้วนะคะ” หญิงสาวพูดกับรุ่นพี่ และแทนตัวเองด้วยชื่อภาษาเกาหลี เพราะหล่อนเรียนในโรงเรียนนานาชาติ และเพื่อนๆ ชาวเกาหลีจะคุ้นเคยกับชื่อ ซอฮยอนมากกว่าอิงกมล
“ว้า นัดกันที่คณะไม่ใช่หรือคะ แล้วไปทำอะไรที่โรงพยาบาลจุฬา” เด็กสาวย่นจมูกใส่รุ่นพี่ส่งผ่านไปทางโทรศัพท์เครื่องจิ๋ว แต่ก็ไม่โกรธเมื่อรุ่นพี่บอกอย่างร้อนรนว่าต้องรีบร้อนไปโรงพยาบาลเพราะเพื่อนในกลุ่มเกิดอาการแพ้อาหารกะทันหันเลยพาไปหาหมอแล้วลืมโทรบอกหล่อน
“เดี๋ยวตามไปที่โรงพยาบาลก็ได้ค่ะ รออยู่ตรงหน้าทางเข้าตรงห้องฉุกเฉินด้วยนะคะ เพราะถ้าเข้าไปข้างในซอฮยอนคงจำไม่ได้ มันซับซ้อนกลัวหลง” หญิงสาวบอก ก่อนจะกดวางสายจากรุ่นพี่หนุ่มหล่อที่สนิทกับหล่อนมาก เพราะครอบครัวของเขาทำธุรกิจทัวร์ไทย - เกาหลีร่วมกันกับมารดาหล่อนและเขาเข้ามาเรียนที่เมืองไทยพร้อมๆ กัน พอเขาห่างมาเรียนรั้วมหาวิทยาลัยหล่อนก็ยังติดต่อกับเขาไม่ขาด เพราะปีการศึกษาหน้าหล่อนจะเข้ารั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขาและในคณะเดียวกันอีกด้วย
มือหล่อนคว้าตะกร้ามาเตรียมจะออกเดิน แต่เท้าหล่อนก็หยุดชะงักเมื่อความรู้สึกตอนถือตะกร้านั้นแตกต่าง มันเบาหวิวเหมือนไม่มีอะไรอยู่ข้างใน หล่อนเลิกผ้าคลุมตะกร้าดูก็ไม่เห็นเจ้าฝอยทองที่ควรจะหลับอุตุอยู่ข้างใน
“ฝอยทอง กระโดดออกไปซนที่ไหนอีกล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเรานะ” หล่อนบ่นอุบอิบ ก่อนจะมองหาทั่วสนามหญ้าเขียวขจี แต่ก็ไม่เห็น ร่างอวบอิ่มเดินตามหาน้องหมา ถามโต๊ะข้างเคียงก็ไม่มีใครเห็น หล่อนเหลียวมองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนจะเบิกตาโตเมื่อเห็นเจ้าฝอยทองไปฟัดขากางเกงนิสิตคนหนึ่ง และเขาก็ใช้เท้าเขี่ยมันออก ดูเหมือนฝอยทองจะถูกชะตากับผู้ชายคนนั้น จึงหยอกล้อด้วยการกัดปลายกางเกงไว้ไม่ยอมปล่อย เขาสะบัดขาแต่มันก็ไม่หลุด
“อย่านะ” อิงกมลร้องห้ามแต่ไกลเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอะไร
แต่มันไม่ทัน เมื่อนายนิสิตหน้าเหมือนหิ่งห้อย เสยเท้าอีกข้างเตะเจ้าฝอยทองจนน้องหมาแสนรู้น่ารักของอิงกมลร้องเอ๋งและคายขากางเกงเขาออกจากปาก นิสิตชายคนนั้นโวยวายด่าฝอยทอง และจะเดินหนี แต่ฝอยทองก็ยังตามไปกัดขากางเกงเขาอย่างเจ็บไม่รู้จักจำ จนเขาโวยวายอีกรอบ
อิงกมลวิ่งเข้าไปหา และเอากิ่งไม้แห้งที่หยิบคว้าได้ระหว่างทางฟาดที่หลังผู้ชายคนนั้นดัง ตุบ! ก่อนที่เขาจะเตะฝอยทองเป็นรอบที่สอง
“โอ๊ย” ศตายุร้องเสียงหลง
“นี่แน่ะ แก ทำอะไรฝอยทอง แกทำอะไร๊” อิงกมลฟาดอีกสองสามตุบ
“เฮ้ย นี่มาตีฉันทำไม”
“แล้วแกเตะฝอยทองทำไม ไอ้คนใจชั่ว รังแกได้แม้กระทั่งหมา”
“โอ๊ย หยุดตีนะ” ศตายุร้องเสียงหลง เพื่อนของ ศตายุวิ่งเข้ามาปรามและคว้ากิ่งไม้ออกจากมืออิงกมล
“เกิดอะไรขึ้นวะไอ้ไทด์ แล้วน้องเป็นอะไรหรือครับ” เขาถามอิงกมล
แต่หล่อนไม่ตอบเอาแต่ยืนร้องไห้กระซิกๆ พลางก้มลงไปคว้าฝอยทองมากอด เจ้าหมาน้อยครางหงิงๆ เหมือนจะร้องไห้ตามเจ้านายทั้งที่ยังงุนงงเป็นฝ่ายศตายุเองที่ต้องตอบคำถามของเพื่อน
“ก็ไอ้หมาบ้าตัวนี้อ่ะดิ อยู่ดีๆ ก็วิ่งมาหาข้า มันเลียเท้าข้าแล้วครางหงิงๆ หลอนชะมัด” ใบหน้าศตายุทำท่าขยาดบ่งบอกโดยไม่ต้องเดาว่าเกลียดลูกสุนัขตัวเล็กนี้อย่างรุนแรง “ข้าทั้งไล่ทั้งด่ายังไงก็ไม่ไป มันดันงับขากางเกงข้า ข้าเลยซัดเปรี้ยงให้ไปไกลๆ แต่ยัยอ้วนนี่มาจากไหนไม่รู้เอาค้อนมาทุบหลังข้าซะน่วม”
“ก็ที่นายเตะน่ะ เป็นน้องหมาของฉัน” อิงกมลเถียงเขาทั้งสะอื้น... ดวงหน้ากลมป้อมตาหยีแก้มแดงมอมแมมไปด้วยคราบน้ำหูน้ำตาที่หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะเช็ดแม้แต่น้อยนิด
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง... หมาเธอน่ะ ทำไมไม่เก็บดีๆ หรือไม่ก็เอาตะกร้อมาครอบปากมันไว้หา... ทำไมปล่อยมาระรานคนอื่น” ศตายุหัวเสีย และด่าเด็กวัยมัธยมไม่ยั้ง ไม่สนว่าเป็นผู้หญิง ไม่สนว่าเป็นเด็ก และก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายสักนิด
“ฝอยทองไม่ได้ระรานใครนะ มันน่ารักและก็แสนรู้จะตาย มันแค่ถูกชะตากับนายเลยมาเล่นกับนาย ทำไมต้องทำกับมันขนาดนั้นด้วย มันก็มีหัวใจนะ”
“แต่ฉันไม่อยากเล่นกับมัน ฉันเป็นโรคเกลียดหมา รู้ไว้ด้วย โดยเฉพาะหมาตัวเล็กๆ เห็นแล้วขนลุก ไม่อยากเข้าใกล้ ฉันไล่มันเท่าไหร่ก็ไม่ไป ถ้าไม่ทำดุๆ กับมัน มันก็มาใกล้แล้วตามฉันไม่หยุด ฉันใจขาดตายพอดีสิ”
“เอ่อ… น้องครับ พี่ขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยนะครับ มันอาจจะทำไม่ดีกับหมาน้อง แต่มันต้องทำครับ เพราะมันอยู่ใกล้หมาไม่ได้เพราะมันเป็นโรคกลัวหมา”
“เกลียดโว้ยไอ้วี เกลียด” ศตายุเถียงเพื่อนขึ้นมาทันควัน
“โห ตัวตั้งโต กลัวหมา โง่หรือเปล่าเนี่ย” หล่อนบ่นอุบอิบ แต่ก็มิวายที่ศตายุได้ยินและหมั่นไส้ที่หล่อนด่า ปมด้อยของเขา
“ถึงฉันตัวโตฉันก็เป็นผู้ชาย สูงใหญ่ไม่น่าเกลียด แต่เธอน่ะสิ ตัวโตขนาดนี้ น่าจะควบคุมอาหารหน่อยนะ เผื่อโตมาจะได้ไม่ต้องไปเอาบ่วงไปตามคล้องล่าผู้ชายมาทำสามีเพราะหาคนมาจีบไม่ได้”
“แก อะ... ไอ้…” อิงกมลจะด่าเขา แต่ด้วยที่ภาษาไทยไม่ได้แข็งแรงมากนักจึงนึกไม่ออกว่าจะด่าอย่างไรให้เขาเจ็บแสบ
“ถ้านึกไม่ออก ก็ค้างไว้ก่อนนะน้อง โตมาแล้วค่อยมาด่าพี่ก็ได้ พี่จะรอ วันนี้พี่ไปก่อนนะ” ศตายุทำหน้ากวนสุดฤทธิ์ใส่เด็กหญิงคู่อริ แล้วยักคิ้วให้ก่อนจะเดินจากไป พร้อมกับเพื่อนที่ทำหน้าตาเหมือนเกรงใจเด็กสาวอยู่บ้าง เพราะสงสารที่ต้องมาทะเลาะกับศตายุที่ไม่ค่อยจะเอาเรื่องกับใครเท่าไหร่ แต่พอได้เริ่มก็ลงไม่เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ
อิงกมลอยากจะกรีดร้องตามนิสิตคนนั้นไปให้เขาหูแตกกันไปข้าง... เขาทำร้ายหมาสุดที่รักหล่อนยังไม่พอ เขายังทำร้ายหัวใจดวงเล็กเท่ากำปั้นของหล่อนด้วย... คำพูดที่บอกว่าหล่อนอ้วนจนไม่มีใครเอานั้นแสนปรามาสเหยียดหยามอย่างไม่เคยได้รับจากบุรุษเพศผู้คนไหนมาก่อน... ความเจ็บใจอย่างสุดซึ้งและแค้นฝังหุ่นทำให้หล่อนจำนายนิสิตหน้าแบนคนนั้นได้ถนัดตา