“เรื่องเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ให้มันเป็นโมฆะไป”
“วินทร์หมายความว่าไง?”
“เราไม่ได้อยากได้ผู้หญิงของคนอื่น ให้ผลรางวัลเป็นโมฆะไป”
พวกเขากำลังคุยอะไรกันบางอย่าง บางอย่างที่คนนอกอย่างฉันไม่เข้าใจ แถมน้ำเสียงของคนทั้งคู่ตอนพูดคุยกันก็เริ่มจะดุเดือดขึ้นทุกวินาที
“ทำไมล่ะ ได้เราเป็นของรางวัลสำหรับผู้ชนะมันไม่น่าพอใจเหรอ?”
“เปล่า แต่เรามีแฟนแล้ว” อุต๊ะ! หมอนี่มีแฟนแล้วงั้นเหรอ?
“แล้วยังไง แฟนกับของรางวัลไม่เห็นจะเกี่ยวกันนี่วินทร์”
ด้วยความที่ต่อมเผือกเริ่มทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน จากที่ตั้งใจหลบซ่อนกลับกลายเป็นว่าฉันต้องขยับตัวเข้าไปใกล้คนทั้งคู่ให้มากขึ้นเพื่อเผือกเรื่องชาวบ้านให้สุด ทว่า ขณะกำลังจะขยับตัวอ้อมไปตามแนวกั้นน้ำพุอยู่นั้นเอง
กึก...
เบื้องหน้ากลับปรากฏเท้าของใครคนหนึ่งมายืนขวางเสียได้ เมื่อเงยมองฉันจึงพบว่าเจ้าของเท้านั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นกระถินเพื่อนที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่อหลายนาทีก่อน
“มานั่งทำไรตรงนี้อะแมร์...” เธอถามเสียงเฉื่อยแต่ดัง
“ชู่ว์ๆ ๆ ๆ” นั่นรีบทำให้ฉันทำมือทำไม้ส่งสัญญาณให้เธอเงียบเสียงลงทันที พลางชำเลืองสายตามองไปยังเป้าหมายซึ่งกำลังถูกฉันแอบเผือกเรื่องส่วนตัวไปด้วย ก่อนต้องช็อก เมื่อพบว่านอกจากกระถินที่โผล่พรวดพราดเข้ามาทำเสียงดังแล้ว บุคคลที่ฉันกำลังแอบฟังเขาคุยกันก็กำลังหันมองมาทางฉันด้วยเช่นกัน
ซวยแล้ว...
“ไปเถอะ เดี๋ยวสาย”
นั่นคือสิ่งที่ฉันนึกได้ใน ณ ขณะนั้น ไวกว่าที่จะทันคิด ฉันก็รีบฉวยมือกระถินดึงออกจากบริเวณลานน้ำพุทันที เพราะหมอนั่นกับพี่ปลาดาวยืนขวางทางออกอยู่ ฉันจึงต้องพากระถินหนีไปทางลัดด้วยการเดินลัดเลาะสวนหย่อมไปข้ามออกบริเวณประตูหน้ามหาวิทยาลัยแทน
เท้าฉันเหมือนถูกกระตุ้นด้วยพลังงานไฟฟ้า จ้ำไวแบบไม่ต้องสงสัยและไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงง่าย ๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าฉันพากระถินหนีรอดไปจากผู้ชายคนดังกล่าวได้แล้วจริง ๆ แต่ไม่นานนักเสียงก้าวเท้าย่ำหญ้าในสวนหย่อมก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่มีสองเสียงสลับกันตามจังหวะก้าวเดินของฉันกับกระถิน ตอนนี้มันได้มีอีกเสียงเพิ่มเติมมาด้วย
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
ประสาทสัมผัสทางการรับฟังบอกได้ทันทีว่าเสียงดังกล่าวเป็นเสียงวิ่ง แม้จะรู้แต่ฉันก็ยังไม่กล้าหันหลังกลับไป จนกระทั่งเสียงหนึ่งเอ่ยทักทายขึ้น
“เฮ้! แม่โจรปล้นซิง” และมันทำให้เท้าฉันหยุดชะงักลงแทบจะทันที แต่ไม่ใช่กับเสียงวิ่งเหยาะแหยะซึ่งดังตามมาจากทางด้านหลัง “เดินหนีทำไมวะ กำลังอยากเจอตัวอยู่พอดี”
ได้ยินเสียงของเทวินทร์พูดเพียงเท่านั้นบวกกับเสียงฝีเท้าที่เริ่มวิ่งเข้ามาใกล้และลดความเร็วลงของเขา ความโง่ในหัวก็เริ่มแสดงผล มือข้างที่เหลือเลื่อนขึ้นบีบจมูกตัวเองแล้วพูดออกไปด้วยเสียงอู้อี้
“คุณจำผิดคนแย้วค่ะ!” ไม่ใช่แค่ความคิดเท่านั้นที่โง่ แต่คำพูดก็ดูโง่ด้วย!
“พูดอะไของเธอวะ บ้าป่ะเนี่ย?” เพราะเสียงของเทวินทร์ดังเข้ามาใกล้จนรู้สึกว่าเราอยู่ห่างกันออกไปเพียงเล็กน้อย เท้าที่เผลอหยุดชะงักไปชั่วคราวก็เริ่มเติมพลังงานย่างก้าวไวหนีอีกครั้งแม้ว่าจะมีเสียงของกระถินถามขึ้นแทรกสภาวะคับขัน
“คนนั้นเป็นใครเหรอ...แมร์”
“ไว้ฉันจะเล่า…” ทว่าในตอนที่กำลังจะอ้าปากตอบ น้ำเสียงฮัมเพลงฟังดูยียวนกวนประสาทก็ดังขึ้น
“พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด~” ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ให้คำตอบใดแก่เพื่อนรัก กลับกันมือที่จับมือกระถินไว้ก็ยิ่งบีบแน่น ขณะสองเท้ารีบจ้ำอ้าวไวขึ้นราวกับกำลังหนีเหตุการณ์ไฟไหม้ แต่การทำเช่นนั้น ก็ใช่จะหยุดเสียงฮัมเพลงจากบุคคลที่ฉันพยายามหนีตายลงได้เลย
“ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ~”
ใกล้กับผีน่ะสิ ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าคนเขากำลังหนีน่ะ! ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด เท้าก็ยิ่งเร่งจ้ำเดินหนี แต่ว่าไม่นาน ทุกสิ่งที่กำลังทำกลับต้องเป็นอันหยุดชะงักลง เมื่อจู่ ๆ เท้าของกระถินที่เคยเดินตามแรงดึงอยู่ดี ๆ กลับหยุดชะงักนิ่งไป
ด้วยความที่เป็นเช่นนั้นฉันจำต้องหันหลังกลับไปมองเพื่อดูต้นสายปลายเหตุ ก่อนต้องพบว่ากระถินกำลังทำหน้านิ่งสนิทมองฉันเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร พลอยให้สายตามองเลยไปยังมือของเธอซึ่งเวลานี้กำลังถูกผู้ชายที่เดินตามเราทั้งคู่คว้ารั้งเอาไว้
“ปล่อยมือเพื่อนฉันนะ!” เห็นเช่นนั้นฉันก็รีบกระชากตัวกระถินเพื่อหวังให้หลุดจากการถูกจับกุมทันที แต่ว่าอีกฝ่ายก็ไม่วายจะกระชากตัวเธอกลับไปด้วยความแรงพอ ๆ กัน พร้อมคำถาม
“แล้วจะเดินหนีทำไม!?”
“มันเรื่องของฉัน ปล่อยมือเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้!” ฉันยังคงพยายามยื้อแรงกระชากตัวเพื่อนรักให้หลุดจากการถูกอีกฝ่ายจับกุมเอาไว้ แต่ว่าเทวินทร์ก็ยอมที่ไหน เขายังยื้อตัวกระถินกลับไปจนฉันเสียหลักเซตามแรงแล้วพ่นคำขู่
“เห็นหน้าแฟนแล้วเดินหนี เดี๋ยวก็ตีซะหรอก!” ไม่ใช่แค่ขู่แต่เขายังเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้พูดกับฉัน เหมือนพูดกับกระถินมากกว่า “ถามเพื่อนเธอดิ จะรับผิดชอบยังไงที่เอาซิงฉันไป?”
หน้าฉันเหลียวขวับโดยอัตโนมัติอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และพบว่ากระถินกำลังทำเจื่อนมองฉันด้วยสายตานิ่งสนิทเหมือนกับสีหน้า รับรู้ได้ถึงความสงสัยและความแคลงใจที่เธอส่งผ่านมาให้อย่างชัดเจน
“ผู้ชายคนนี้...แฟนเธอเหรอ?”
“ไม่ใช่! / ใช่!” พอฉันตะเบ็งเสียงตอบ ไอ้คนน่ารำคาญก็ดันตอบแทรกแทบจะพร้อมกัน จนต้องขึงตาขุ่นใส่ แต่การทำแบบนั้น แทนที่เขาจะกลัว กลับกัน เทวินทร์ดันกระตุกยิ้มมุมปาก แสดงทีท่าราวกับว่ากำลังจับผิด
“ทำไมเธอไม่พูดกับเพื่อนไปล่ะ ว่าคืนก่อนเธอบุกขึ้นมาปล้ำฉันในรถ”
“ปล้ำ...เลยเหรอกาละแมร์” กระถินที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เองก็ย้ำคำพูดของเทวินทร์อีกแรงคล้ายกับจะตอกย้ำเข้าไปใหญ่ แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดแก้ต่างอะไร ก็เป็นคนน่ารำคาญนั่นแหละที่ตะคอกเสียงแทรกขึ้นมา
“ใช่! หัวเข็มขัดงี้เปียกหมด!”
“นี่! พูดบ้าอะไรของนายไม่ทราบ!” สุดจะทน นี่มันสุดจะทนแล้วจริง ๆ เพราะงั้นฉันจึงตัดสินใจหันไปตวาดเสียงใส่หน้าเขาตรง ๆ “ปล่อยมือเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้!”
ขณะเดียวกันก็ปัดมือเทวินทร์ให้ยอมปล่อยกระถินเป็นอิสระด้วยท่าทางที่บอกชัดเจนว่าฉันรำคาญและรังเกียจที่จะแตะต้องตัวเขามากแค่ไหน แต่ว่าหมอนั่นก็ยัง...
“นั่นแน่! มีแตะเนื้อต้องตัวซะด้วย~” โทะ! อีผี!!
“ไปเถอะกระถิน อย่าเสียเวลาพูดกับคนพูดจาไม่รู้เรื่องเลย!” เพื่อตัดความรำคาญให้มันจบ ๆ ไป คำพูดแดกดันเลยถูกงัดมาใช้ เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว ว่าฉันเบื่อที่จะสนใจกับเรื่องบ้า ๆ จากปากเขาเต็มกลืน พร้อมทั้งดึงกระถินพาเดินออกห่างจากเทวินทร์ออกมาทันที
“อ้าวไมพูดงี้อะ! เฮ้ย ติ่ง!! จะไปไหนอะกลับมาคุยกันก่อนดิติ่ง!!?” ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้เขาหยุดส่งเสียงโวยวายไล่หลังน่ารำคาญอยู่ดี
“ไม่ต้องมายุ่ง! ไปให้พ้นเลย!” ความปากไวทำฉันอดไม่ได้ที่จะตะคอกตอบโต้เขากลับไป แต่ก็ไม่วายที่อีกฝ่ายจะตะโกนกลับมาด้วยเสียงทะเล้นอยู่ดี
“ไล่ดีนัก เดี๋ยวไม่รักแล้วจะหนาว!”
เสียงของเขาไม่ว่าฟังเมื่อไหร่ก็ต้องเผลอมองบนมันเสียทุกครั้ง ทั้งที่คิดว่าเหตุการณ์เมื่อคืนจะเป็นการลาขาดระหว่างเราแล้วเเท้ ๆ แต่ไหงคนบนฟ้าถึงไม่เห็นใจ บันดาลให้เขามาก่อความวุ่นวายใส่หนูแบบนี้ล่ะคะ!?
ถ้าคนบนฟ้าต้องการให้หนูเจอใครสักคนด้วยความบังเอิญบ่อย ๆ ละก็ อปป้าค่ะ โยนพวกเขามาให้หนู หนูยินดีที่จะโอบกอดพวกเขาไว้เพียงลำพังแบบไม่แบ่งปันใคร!
ตึก... ตึก...
ตลอดทางที่จูงมือกระถินเดินลัดเลาะมาทางสวนหย่อม ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ได้อธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งตามอย่างที่บอกกระถินเอาไว้ ซึ่งเธอก็ไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็นอะไร เมื่อฉันไม่พูด เธอก็เลยไม่ถาม
อีกอย่างเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนอย่างสุด ๆหลังจากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระก็คือ ขืนฉันช้ากว่านี้ เราทั้งคู่จะไปงานแจกลายเซ็นครั้งแรกของวงSWAG สาย!
ด้วยความที่รู้ตัวว่ากำลังจะไปสาย เท้าจึงเร่งจ้ำกึ่งดึงกึ่งลากเพื่อนเพียงคนเดียวตรงไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยความไวเท่าที่มนุษย์ปกติพอจะทำได้
แต่ถึงจะพยายามเพื่อให้ทันการเปิดงานแฟนไซน์มากเท่าไร สิ่งที่ต้องพานพบหลังจากพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยในลำดับต่อไปก็คงไม่พ้นความ 'นก' เพราะหน้าถนนใหญ่ซึ่งปกติเคยมีรถแท็กซี่ขับผ่านไปมาเวลานี้กลับเงียบเหงาไร้วี่แววให้เรียกใช้สอย และถึงจะมีทุกคันก็ล้วนแต่มีผู้โดยสารติดมาด้วยทั้งนั้น
นี่มันเวรกรรมอะไรนักหนานะ นอกจากต้องเจอหน้าคนที่ไม่อยากเจอที่สุดแล้ว ฉันยังจะต้องไปหาอปป้าสายอีกเหรอ!?