“ยัยโจรปล้นซิง!”
พลั่ก!
ฉันหยุดคำปรามาสอีกฝ่ายด้วยการผลักอกชายแปลกหน้าให้ล้มลงไปนอนตามแนวราบของเบาะรถอีกครั้ง และใช้จังหวะในตอนนั้นเอื้อมมือคว้าที่จับประตูเพื่อจะเปิดออกไป วินาทีนั้นบอกเลยว่าไม่ว่าจะโรงพยาบาลหรือคลินิกเสริมความงามแห่งไหน ก็ไม่สามารถช่วยซ่อมหรือเย็บหน้าฉันให้กลับมาสนิทได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทว่าเขากลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เขารีบลุกขึ้นพลางพุ่งคว้าแขนฉันเอาไว้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต่อว่า
“คิดจะปล้นซิงคนอื่นแล้วหนีงั้นเหรอ!?”
“นี่! ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ได้ทำอะไร!” ฉันว่าพลางสะบัดให้หลุดจากการจับกุม
“แล้วขึ้นมาบนรถฉันทำไม!?”
“ฉันคิดว่า...” เสียงของฉันขาดลงไปช่วงท้ายประโยค นั่นเลยทำให้คนฟังเลิกคิ้วสูงมองฉันอย่างสงสัย ไม่สิ เหมือนจับพิรุธถึงจะถูก ไม่ได้นะกาละแมร์ ขืนหลุดปากพูดไปว่าตั้งใจจะมาปล้ำผู้ชายหมอนี่ต้องโวยวายหนักมาก ยิ่งถ้าเขารู้ว่าฉันตั้งใจวางยาคนดังด้วยแล้ว คราวนี้แหละ หมดกันชื่อเสียง!
“ยังไง แก้ตัวไม่ได้ใช่ไหม?” เพราะเงียบไป เขาจึงพูดขึ้นเองด้วยถ้อยคำที่คล้ายกับจะยัดเยียดข้อหา ‘โจรปล้นซิง’ ไม่หยุด
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันยังไม่ได้...อ๊ะ!” แต่แล้วขณะที่กำลังจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง คนตัวใหญ่ตรงหน้ากลับรีบพุ่งมือดันหัวฉันให้เอนไปทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างแรง คล้ายกับว่าสนใจอะไรบางอย่าง ถ้าหูฉันไม่ได้แว่วไปเอง เชื่อว่าจะได้ยินผู้คนด้านนอกกำลังนับถอยหลัง
‘3’
‘2’
‘1’
“ฉิบ!” เขาสบถเสียงดังด้วยอาการร้อนรนเมื่อได้ยินเสียงนับถอยหลัง ก่อนจะเริ่มทำรุนแรงด้วยการผลักไสฉันให้ลงจากตักตัวเองไปยังที่นั่งด้านข้าง พร้อมทั้งรีบปรับเบาะรถให้กลับมาสู่สภาวะปกติ
สถานการณ์ที่ดูร้อนรนและตื่นตกใจอะไรบางอย่าง ทำฉันรีบฉวยโอกาสดึงที่จับประตูหวังที่จะออกไป ทว่า ประตูมันกลับถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา จนต้องหันไปต่อว่า
“เปิดประตูรถเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะลง!”
“เรายังมีเรื่องต้องคุยกัน”
‘Readyyyyy’
“คุยอะไรอีก ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำอะไร!” ทั้งที่ยืนกรานหนักแน่นขนาดนั้นแต่ว่าเขายังพูดแทรกขึ้นแบบไม่สนใจ
“ปล้นอะไรปล้นได้ แต่ปล้นซิงฉันนี่โทษหนักนะ” ไม่ใช่แค่พ่นคำขู่แบบไม่คิดจะฟังอะไรแต่เพียงเท่านั้น แต่ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันหรูยังสตาร์ตเครื่องยนต์อีกทั้งยังเบิ้ลเครื่องเสียงดังพลอยให้ฉันที่ไม่เคยนั่งรถแข่งมาก่อนในชีวิตรู้สึกสะเทือนไปทั่วทั้งกายคล้ายกับกำลังจะลงตับ
ด้วยความปากไวและความตกใจฉันจึงพลั้งปากถาม
“นายจะทำอะไร!” สิ้นคำถามรอยยิ้มร้ายกาจแถมยังเจ้าเล่ก์ก็ปรากฏขึ้นบนเสี้ยวหน้าของเขาทันที พร้อมคำตอบสั้น ๆ ขณะที่เสียงของเครื่องยนต์กำลังคำรามดังลั่นพลอยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นกว่าที่รู้สึกในตอนแรกนัก
“แข่งรถ”
“จะแข่งก็แข่งไปสิ แต่นายต้องปล่อยฉันลงเดี๋ยวน่ะ....” เขาไม่รอให้ฉันได้พูดจบ แต่กลับเหยียบคันเร่งเครื่องอย่างเต็มแรง เมื่อเสียงแว่วด้านนอกดังขึ้นว่า
‘Goooooo!!’ การที่เป็นเช่นนั้นมันเลยเปลี่ยนคำสั่งเสียงแข็งของฉันในตอนแรกให้กลายเป็นเสียงกรีดร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“กรี๊ดดดดดด ปล่อยฉันลงไปปปปปปป!!!!!”
เคยนั่ง ๆ อยู่แล้วรู้สึกเหมือนกำลังถูกโลกเหวี่ยงอย่างแรงแบบไร้ความปรานีไหม?
ฉันนี่แหละกำลังรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากตอนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา แต่ว่า สิ่งที่นั่งอยู่นั้นมันทั้งเร็วและแรงกว่ารถไฟเหาะ 10 เท่า ไม่สิ 100 เท่าต่างหาก!
กึก! เอี๊ยดดด!
ทั้งหมดนั่นมันจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตฉันเลยหากว่ารถแข่งคันหรูที่ฉันนั่งมาไม่ได้พุ่งทะยานด้วยความเร็วราวกับไร้ลิมิตก่อนจะหักเลี้ยวกะทันหันหักหลบรถอีกคันที่จอดอยู่พุ่งสวนรถแข่งคันอื่นดริฟต์ไปตามทางลาดชันเป็นวงกว้างของอาคารสูง 7 ชั้นจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดดังก้องอยู่ในรูหูราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะที่ฉันได้แต่เบิกตากว้างกับภาพที่ตัดอย่างรวดเร็วนอกกระจกด้วยอาการช็อก!
นี่เป็นบทลงโทษของพระเจ้า ที่หนูตัดสินใจวางแผนครอบครองอปป้าใช่ไหมคะ!?
ถ้าใช่...ได้โปรดปรานีหนูเถอะ หนูจะไม่ทำอีกแล้ว!
เอี๊ยดดดดด! กึก!
อีกครั้งที่ความคิดวอนขอต่อพระเจ้าถูกทำให้เงียบ เมื่อรถทั้งคันถูกหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากทางลาดของลานจอดได้สำเร็จ เมื่อช่วงวินาทีระทึกขวัญสั่นประสาทชวนอ้วกจบลงไปฉันที่ยังช็อกต่อการขับรถผาดโผนแบบในหนังก็รีบหันไปขึงตาพร้อมทั้งออกปากสั่งคนที่เป็นผู้ควบคุมรถทันที
“หยุด! หยุดก่อน!”
“หยุดบ้าอะไร ทางยังอีกตั้งไกล” เขาพึมพำยิ้ม ๆ แถมยังมองทางตรงหน้าราวกับกำลังขับรถกินลมชมวิวอย่างชิล ท่าทางเขาน่ะใช่ แต่ไม่ใช่กับหน้าปัดเข็มไมล์ดิจิทัลที่ตอนนี้พุ่งขึ้นเป็น 160 km/h ทั้งที่เรายังอยู่ในพื้นที่ของห้างสรรพสินค้า
“ฉะ ฉันจะลง... นายจะพาเราไปตาย!!”
“ไม่ตายหรอกน่า หุบปากแล้วนั่งดี ๆ” เขาตะคอกสั่งอีกทั้งยังเพิ่มการเหยียบคันเร่งความเร็วของรถมากขึ้นกว่าเดิม จนตอนนี้ จาก 160 มันได้เพิ่มความเร็วมาเป็น 170 km/h เพียงแค่ความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นมันก็ทำให้ฉันช็อกพออยู่แล้ว แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้เลยเมื่อเขาเริ่มเร่งเครื่องอีกครั้งมุ่งสู่ถนนใหญ่ ทั้งที่เบื้องหน้านั้นมีรถสิบล้อกำลังจะขับตัดหน้าผ่านไป
บรื้นนน บรื้นนนน
“น่ะ นั่นมันสิบล้อ สิบล้ออออ เบรกกกก!” ฉันตะคอกใส่เขาในอาการช็อก แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงตวาดกลับมา และทำท่าราวกับตั้งใจจะพุ่งชนรถสิบล้อตรงหน้า
“เงียบน่า!!!”
“ฉันบอกให้เบรกกกกกกกกกกกก” ฉันเหมือนนังบ้าเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมฟังเสียงสั่ง รีบโอบแขนทั้งสองข้างเกาะกับเบาะเอาไว้แน่นพร้อมทั้งหลับตาปี๋รับแรงกระแทกของรถที่นั่งมากับรถสิบล้อตรงหน้าอย่างไม่มีทางเลือก เสียงเบรกดังสนั่นไปทั่วพื้นที่และดังชัดเจนมากจนทำให้คนที่นั่งอยู่ภายในรถได้ยินไปด้วย
เอี๊ยดดดดดดด!!
เสียงดังกล่าวตามมาด้วยแรงเหวี่ยงอย่างรุนแรงพร้อมกลิ่นไหม้คละคลุ้งไปทั่วทั้งรถ ทำฉันที่พยายามเกาะรั้งตัวเองไว้กับเบาะกระแทกเข้ากับประตูอย่างเต็มแรง
ฟึ่บ! ตึงง!
ทุกอย่างมันไวมาก มากเสียจนไม่ทันได้สั่งเสียพ่อกับแม่หรือแม้แต่ศิลปินที่หลงรัก และอดคิดไม่ได้ว่าเราทั้งคู่ไม่รอดแน่ ทว่า ภายในไม่ถึง 5 นาทีดี เสียงทุกอย่างกลับเงียบลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกอย่างสงบนิ่ง และเงียบ...
แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าลืมตามอง กลัวว่าถ้าลืมตาไปแล้ว ฉันอาจจะกำลังเป็นวิญญาณ ยิ่งถ้าต้องหันไปเจอสภาพศพของตัวเองที่เละเพราะถูกบี้กับรถสิบล้อด้วยแล้ว ฉันคงทำใจไม่ได้ TOT
สรุปแล้ว นี่ฉันตายแล้วจริง ๆ เหรอ...
“เฮ้ย! ลืมตาได้แล้ว...” เสียงเข้มซึ่งฉันจำได้ว่ามันคือเสียงของชายแปลกหน้า ทำฉันกลั้นใจลืมตาขึ้นทีละนิดอย่างนึกหวาดหวั่น พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่าจังหวะกลองตอนเดินสวนสนามกีฬา ม.ปลาย ก่อนจะพบว่าทุกอย่างยังอยู่ในสภาวะปกติ ไม่ได้มีการนองเลือด ที่สำคัญฉันยังไม่ตาย!
ทันทีที่สายตากวาดมองสำรวจความปลอดภัยของตัวเองจนแน่ใจแล้วว่าไม่ตายชัวร์ ๆ สติที่หลุดไปจากเหตุการณ์ฉิวเฉียดก็ก็เริ่มส่งผลต่อร่างกาย พานให้สั่นเทิ้มไปเสียทุกส่วน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติหันไปถามคนขับรถอยู่ดี
“มะ มันจบ....ละ แล้วใช่ไหม?”
“ใครบอกเธอ? นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้น…” แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคล้ายกับการถูกตบหน้ากลางมหาสมุทรแปซิฟิก พอรู้ว่ามันยังไม่จบง่าย ๆ ฉันจึงพยายามสูดอากาศหายใจเข้าลึก ๆ ต่อสู้กับอาการสั่น และเอ่ยขอชีวิตเขาอย่างน่าสงสาร
“ปะ ปล่อยฉันลงก่อนนะ ขะ ขอร้อง...” ทว่า ฉันไม่ทันได้เอ่ยคำขอจนสิ้นน้ำเสียงดี เสียงที่ตอบรับมากลับเป็นคำพูดสั้น ๆ เหมือนไม่สนใจที่จะฟังคำขอจากฉันเลยแม้แต่นิดเดียว
“นั่งดี ๆ ละ ฉันจะซิ่งแล้ว”
“ดะ เดี๋ยวววววววววววว!!”