สิบนาทีต่อมา
ชญานีนั่งอยู่ริมลำห้วยที่อยู่ด้านหลังที่ดินของพ่อของเธอ ใช้ไม้วาดใบหน้าขององศา พร้อมกับจิ้มไม้นั้นลงไปที่ใบหน้าของเขา
“หึ กล้าดียังไงมาสั่งสอนเขา ไอ้หน้าหล่อ ฮือ... ฉันจะโกรธนาย ฉันจะเกลียดนาย คนอะไรนิสัยไม่ดี ไปเข้าข้างยายนั่น คอยดูแล้วกัน ฉันมีโอกาสเมื่อไรจะเอาคืน”
“จ๊ะเอ๋”
“ว้าย! ตกใจหมดเลย” หันมาทำตาดุใส่ฟานกับซานโต้ที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
“แหม... พี่ยี่หวาทำเป็นขวัญอ่อนไปได้ ผมสองคนตามหาพี่ตั้งนาน”
“แล้วไง” อารมณ์บ่จอย ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อย ๆ
“พี่ร้องไห้หรือครับ” ซานโต้ถาม
“เปล่า ผงมันเข้าตา”
“แหม... ผงคงจะปลิวมาเป็นกำ ๆ” ฟานโต้
“ไอ้...” เงื้อไม้ในมือขึ้นมาหมายจะโยนใส่ทั้งคู่ แต่ก็ไม่ทำ เด็กชายสองคนรีบกระโดดหลบ
“เฮ้อ...” ถอนหายใจเสียงดัง ใบหน้าไร้ความสุข
“เป็นอะไรไปอีกพี่” ฟานนั่งลงใกล้ ถามด้วยความเป็นห่วง
“เบื่อ หน่าย และก็เซ็ง มีคนปากไม่ดีมาว่าฉัน”
“แหม... พี่ปากไม่ดีไปว่าเขาก่อนมั้ง”
“เอ๊ะ! ไอ้ฟาน มึงนี่มันก็ปากดีเหมือนกันนะ”
“แฮ่ ๆ” หัวเราะแห้ง แล้วรีบหลบปลายมือของชญานีที่ทำท่าเงื้อ
“ช่างเถอะ แล้วนี่จะไปไหนกันหรือ”
“ตกปลาไง ฉันทำเบ็ดมาเผื่อพี่ด้วย”
“มีเหยื่อแล้วหรือ”
“ก็นี่ไง” ซานโต้ยกถังน้อยที่มีไส้เดือนอยู่ข้างในนั้นหลายตัวให้ชญานีดู
“ว้าว ๆ มา ๆ ไหนคันเบ็ดของพี่”
“นี่ครับ” ซานโต้ยื่นให้
ชญานีรับมาถือ พร้อมกับจัดการหยิบไส้เดือนมาตัดด้วยเล็บ แล้วคล้องไปในตะขอเบ็ด เสร็จแล้วก็ขยับไปใกล้ตลิ่งอีก พร้อมกับเหวี่ยงเบ็ดลงไป
จ๋อม... ไม่ทันไรปลาก็เข้ามาตอดแล้ว
“วันนี้ พี่มือขึ้นแน่ ๆ” ดีอกดีใจ
“ถ้าพี่ตกได้ปลาน่ะนะ เราก็ย่างกินกันตรงนี้เลย ฉันเอาไฟแช็กมาด้วย”
“ดี ๆ” ชญานีจ้องไปที่เหยื่อที่ปลากำลังเข้ามาตอด พร้อมกับหันมายกนิ้วปิดปาก แล้วทำเสียงชู่ ๆ บอกให้สองเด็กเบาเสียง ปลาติดเหยื่อ ชญานีเหวี่ยงตวัดเบ็ดขึ้นมา พร้อมกับปลาตัวโต
“เย่ ๆ ได้ปลาแล้ว”
“ฉันก่อไฟย่างปลาดีกว่า”
“เฮ้ย! ให้มันได้มากกว่านี้อีกสิ”
“ไม่เป็นไร ก่อไฟเอาไว้ก่อน ฉันไปหากิ่งไม้ก่อนนะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้” ชญานีคล้อยตาม ฟานวิ่งไปหาของตามที่บอก แล้วทั้งสามคนก็เล่นสนุกกัน จนชญานีลืมความทุกข์ใจที่เพิ่งเผชิญมา ผ่านวันร้าย ๆ ที่ขุ่นใจไปอีกวัน
ผ่านไปหลายชั่วโมง ทั้งสามคนนั่งล้อมวงกันอยู่ นั่งแทะปลาที่เพิ่งจับมาได้ ย่างไฟกำลังดี กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
“ถ้าพี่ไปเรียนต่างประเทศเราก็ไม่ได้มานั่งกินกันแบบนี้เนอะ”
“พี่จะคิดถึงผมสองคนไหมครับ”
“คิดถึงสิ เพื่อนแท้ของพี่ ก็มีแกสองคนนี่แหละ แต่ว่า ไม่เห็นมหา’ลัยที่โน่นตอบรับมาสักที” นั่งคิด เพราะเธอทำเรื่องนี้ลำพัง ยังไม่ได้ปรึกษาพ่อ แค่ได้คุยกับป้าจรีพรพี่สาวแท้ ๆ ของแม่เท่านั้น
ชญานีคิดว่า จะไปให้พ้นจากหน้าสองแม่ลูกนั่นได้ เธอต้องไปจากเมืองไทย เด็กสาวหาข้อมูล และยื่นเรื่องไปเรียนต่อที่ไต้หวันโดยมีป้าคอยช่วยเหลือ ตอนนี้แค่รอคอยการตอบรับ ชญานีภาวนาทุกวัน ให้มหา’ลัยที่นั่นตอบรับเธอเสียที
“พี่ประเทศนี้มันอยู่ตรงไหนของโลกครับ”
ชญานีหยิบไม้ขึ้นมา แล้ววาดลงไปที่พื้นดิน
“มันอยู่ตรงนี้ นี่ประเทศไทยใช่ไหม ขึ้นเครื่องบินไปทางนี้ ผ่านลาว ผ่านเวียดนาม แล้วก็ข้ามทะเลจีนใต้ ฉิว... ตุบ... ตรงนี้เป็นเกาะไต้หวัน”
“โอ้... ไกลไหมพี่”
“นั่งเครื่องบินสี่ถึงห้าชั่วโมง”
สองหนุ่มน้อยทำท่าคิด
“แล้วถ้าเราสองคนคิดถึงพี่ จะไปหาได้ไหม”
“แกสองคนก็เก็บตังค์สิ เหมือนพี่ไง”
“ค่าตั๋วมันแพงไหมอะ”
“ราว ๆ หมื่นหนึ่ง”
“โห! ใครจะมีปัญญาวะ” ซานโต้ที่อายุน้อยกว่าพูดขึ้น
“ฮ่า...” ชญานีถึงกับหัวเราะลั่น
“เอาเถอะ ๆ ถ้าพี่ได้ไปอยู่ที่นั่นจริง ๆ นะ พี่จะส่งขนมอร่อย ๆ มาให้กินแล้วกันนะ เป็นการปลอบใจ”
“จริง ๆ นะพี่”
“พี่สัญญาจริง ๆ นะ”
“เอ้อ... ว่าแต่ตอนนี้ ปลาตัวนั้น พี่ขอนะ พี่อายุมากกว่า กินเยอะกว่า มันต้องเป็นของพี่ และอีกอย่างพี่เป็นคนตกได้”
“เฮ้อ...” สองหนุ่มทำหน้าเซ็ง แต่ก็ยอม
เธอทำตัวเป็นเด็กทุกครั้งที่อยู่กับฟานและซานโต้ มันทำให้ลืมความทุกข์ไปได้ขณะหนึ่ง ชญานีพาเด็กชายสองคนร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน
จากนั้นในอีกสองสัปดาห์
“แม่จ๋า แม่” ฉัตรธิดาวิ่งเข้ามาหาคุณแม่ด้วยความดีใจ รอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้า
“มีอะไรหึ วิ่งหน้าตั้งมาเชียว”
คุณนาถ คุณชวกร และชญานีนั่งกินอาหารกลางวันกันอยู่ที่บนโต๊ะ
“นีน่าจะได้ไปทำงานที่ร้านของคุณองศาในวันจันทร์นี่แล้วค่ะ”
ชญานีหูผึ่ง ตั้งใจฟัง
“ดีแล้วนี่ลูก”
“ดีใจด้วยนะนีน่า” คุณชวกรส่งเสียงขึ้นมาอีกคน
“หนูจะได้ทำงานแล้วค่ะ” จับมือแม่ของตัวเองเขย่า
“ที่จริงก็ต้องหางานทำตั้งนานแล้วนี่ ไม่ใช่มางอมืองอตีนขอคนอื่นเขากินอยู่”
เคร้ง... ช้อนกระทบลงไปบนจานข้าว คุณชวกรหันไปมองหน้าลูกสาวแบบดุ ๆ
“ยายยี่หวา” คุณพ่อทำเสียงเข้ม
“ขอโทษค่ะ” ชญานีเอ่ยขึ้นมาทันที เพราะเธอไม่อยากจะถูกพ่อลงโทษ
สองแม่ลูกที่ยิ้มเมื่อกี้ ใบหน้าหุบลงไปในทันที
“อิ่มก็ได้ ไม่อย่างนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารนี่จะเสียไปอีก พอมีหนู มันก็คงจะมีคนกินข้าวไม่ลง”
“เอ๊ะ! ยายเด็กคนนี้”
เคร้ง... รวบช้อนกับส้อมแล้วกระแทกลงไปในจาน ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินเร็วออกไปจากตรงนั้น
“ดู๊ ดูมันทำ” คุณชวกรอารมณ์เสีย ก่อนจะหันไปมองหน้าสองแม่ลูกอย่างขอโทษ
“นีน่าไม่ถือสาหรอกค่ะ” พูดออกมาจากใจจริง
ทำให้คุณชวกรถอนหายใจเสียงดัง
“พ่อก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“แกยังเด็กนะคะ” มือของภรรยาวางลงไปที่หัวเข่า
“สิบแปดปีแล้ว”
“อย่าอารมณ์เสียเลยค่ะคุณพ่อ นีน่ากำลังมีข่าวดี” เธอทำหน้ายิ้มแย้มสุขใจ
“นั่นนะสิ ต้องฉลองกันแล้วมั้ง”
“แหม... คุณละก็”
“อยากได้อะไรเป็นรางวัลดีนะ มอเตอร์ไซค์สักคันดีไหม”
“คุณพ่อขา หนูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ จะได้เอาของมาล่อ”
“พ่อไม่ได้คิดแบบนั้น เห็นว่ารถคันนั้นที่นีน่าใช้มันเก่า ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ใหม่ ๆ สักคัน มันก็น่าจะดีกว่า”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่ใช่นีน่าเกรงใจนะคะ แต่คันเดิมมันก็ยังใช้ได้อยู่”
“นาถเห็นด้วยกับลูกนะคะ คุณอย่าสิ้นเปลืองเลยค่ะ ว่าแต่ นีน่าต้องทำอะไรบ้างล่ะ ที่ร้านของคุณองศานะ”
“หลายอย่างเลยค่ะแม่ คุณองศาบอกว่า แรก ๆ ก็ให้ช่วย ๆ กันไปก่อน รอดูลูกค้าก่อนนะคะ มีแนวโน้มจะเป็นยังไง แล้วค่อยขยับขยาย”
“เขาให้เงินเดือนเยอะไหม”
“แม่ขา... บ้านนอกแถวนี้ เจ็ด แปดพัน ก็หรูแล้วค่ะ”
“หื้อ... เขาให้ลูกแค่นั้นเองหรือ” คุณชวกรคิ้วขมวดเข้าหากัน
“เขาให้นีน่าเก้าพันค่ะ”
“ดีแล้วละลูก แม่ดีใจด้วย” คุณนาถสนับสนุน เพราะว่าฉัตรธิดาจะได้พ้นคำครหาของชญานีเสียที
“หนูไม่หมิ่นเงินน้อยหรอกค่ะ”
“เอาเถอะ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ แหละ” ผู้เป็นแม่ยังสนับสนุน
“แต่พ่อว่า ที่หนูทำขนมขายในเน็ตมันก็ได้ดีอยู่นี่นา”
“ดีค่ะคุณพ่อ แต่ก็ต้องรบกวนคนขับรถให้เอาขนมไปส่งอีก นีน่าเกรงใจ”
“อื้อ... ทำเป็นงานอดิเรก เสริมไปอีกแรงแล้วกันนะคะ มีงานประจำดีกว่า” คุณนาถรีบตัดบท
ชญานีที่ยืนแอบฟังอยู่
“ชิ... ดี ดี ดี อะไรก็ดี เอามอเตอร์ไซค์ไหมลูก เชอะ... คุณพ่อน่ะคุณพ่อ รักยายสองแม่ลูกนั่นมากกว่าลูก ทีกับลูกทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ยี่หวาไม่รักพ่อแล้ว หึ...”
มองด้วยความเคียดแค้นและเจ็บใจ ก่อนจะเดินหันหลังออกจากบ้านไป ด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว และน้ำตาคลอหน่วย
ชญานีก็ทำนิสัยไม่น่ารักกับพ่อเอาเสียเลย รู้ทั้งรู้ว่า เธอจะต้องทำตัวอย่างไร พ่อถึงจะรัก แต่ชญานีก็ทำในสิ่งที่ขัดใจ และทำทุกอย่างที่พ่อไม่ชอบ