เสียงเล่าลือโจษขานเกี่ยวกับพระชายารัชทายาทผู้วายชนม์ที่เข้าใจไปว่าได้สิ้นใจไปแล้วไปนานกว่าห้าชั่วยาม แต่กลับมามีชีวิตขึ้นมาใหม่ซึ่งสาเหตุมาจากการเสียชีวิตคือ สิ้นใจในขณะกำลังหลับอันเป็นอาการหลับลึกที่เกิดขึ้นกับหนึ่งในหนึ่งพันคนเท่านั้นจึงจะเกิดขึ้น ซึ่งเคยปรากฏอยู่ในวิชาแพทย์โบราณว่า ลักษณะเช่นนี้เป็นการหลับลึกจนหยุดหายใจไปเองและจะตื่นขึ้นมาหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีอาการรุนแรงมากแค่ไหน
บางคนหลังลึกนานติดต่อกันหลายวันจนบรรดาญาติคิดว่าสิ้นใจตายไปแล้วจริงๆ จึงนำร่างลงฝังดินซึ่งหากตื่นหลังจากนั้นจะทำให้คนผู้นั้นถูกฝังทั้งเป็นและตายจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น นับว่าโชคยังเข้าข้างที่พระชายารัชทายาทมีอาการเพียงเริ่มต้นจึงหลับลึกไปไม่กี่ชั่วยาม และตื่นขึ้นมาทันเวลาก่อนจะถูกนำร่างลงไปไว้ในโลง ทำให้รอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ซึ่งราชครูเว่ยอี้ตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ตายแล้วฟื้นของบุตรสาวให้กลายเป็นเรื่องโรคหลับลึกเข้ามาแทนที่ เพราะหาไม่แล้วความเชื่อเรื่องจิ้งจอกเก้าหางจะมาโดยพลัน ด้วยแคว้นต้าโจวมีความเชื่อว่าผู้ใดตายไปแล้วแต่กลับฟื้นขึ้นมาคือปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาสวมร่างแทนนั้นเอง
ความเคลือบแคลงสงสัยจึงเลือนหายไปด้วยองค์รัชทายาทแห่งต้าโจวมีรับสั่งให้หัวหน้าหมอหลวงเดินทางมาตรวจอาการให้แก่พระชายาของพระองค์แทนที่จะเป็นหมอหลวงคนเก่าที่เป็นคนของหวังฮองเฮา ซึ่งจากการวินิจฉัยของหมอหลวงคนเก่าบันทึกไว้เองว่าพระชายารัชทายาทสิ้นพระชนม์ด้วยอาการหยุดหายใจระหว่างการหลับใหล เรื่องความเชื่อตายแล้วฟื้นคือจิ้งจอกเก้าหางจึงตกไป
ในขณะเดียวกันหยางหลงฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้ประกอบพิธีอภิเษกสมรสครั้งที่สองขึ้นจากนี้ไปในอีกสามเดือนข้างหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมและรักษาสุขภาพของพระชายาเอกของรัชทายาทในพิธีที่จะถูกจัดขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อแซ่ในบันทึกราชวงศ์มาเป็นเว่ยหลินหลางเพื่อแก้เคล็ดเกี่ยวกับสุขภาพ ด้วยพระชายารัชทายาทในวันข้างหน้าก็คือฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดินแห่งแคว้นต้าโจวสืบต่อไป
สิบวันก่อนพิธีอภิเษกสมรส
ภายในจวนราชครูเวลานี้กำลังประดับด้วยผ้าแดงมงคลไปทั่วทั้งบริเวณด้านนอกและด้านในจวนอีกครั้ง พิธีอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางการดูแลอย่างใกล้ชิดของรัชทายาทแห่งต้าโจว เสด็จมาจวนราชครูเพื่อดูแลพระชายาไม่เคยขาด
รัชทายาทหนุ่มจะเสด็จมาที่จวนราชครูเพื่อมาพบพระชายาของพระองค์ทุกๆ สองวันไม่เคยขาดเลยสักวัน แต่ละครั้งจะประทับตั้งแต่เช้าจวนจนกระทั่งใกล้จะถึงเวลาที่ประตูวังปิดจึงจะเสด็จกลับ เนื่องจากพระองค์คือรัชทายาทของแผ่นดินจึงไม่อาจพำนักค้างคืนอยู่สถานที่แห่งใดได้เพื่อความปลอดภัย
ในขณะที่พระชายาคนงามซึ่งบัดนี้คือเว่ยหลินหลางเจ้าหอแห่งดวงดาว ก็ทำตัวเป็นปกติทุกอย่างและแนบเนียนราวกับว่าเป็นน้องสาวฝาแฝดไม่มีผิด แต่สิ่งที่แตกต่างกันใช่ว่าจะไม่มีด้วยเพราะฝาแฝดคู่นี้มีสิ่งที่ไม่เหมือนกันนั้นก็คือ
ฝาแฝดคนพี่มีสัญลักษณ์แห่งดวงดาวของผู้หยั่งรู้จากสวรรค์อยู่ด้านหลังท้ายทอยเป็นปานสีแดงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งฝาแฝดคนน้องเว่ยหลิงเหลียนที่ตายไปแล้วนั้นกลับไม่มี จะสามารถสังเกตปานนี้ได้ก็ต่อเมื่อเกล้าผมขึ้นสูงจึงจะเห็นปานดังกล่าวปรากฏขึ้นที่ท้ายทอย
และที่สำคัญสัญลักษณ์ดังกล่าวคือผู้ทำลายบัลลังก์หงส์ของแคว้นต้าโจว ซึ่งฮองเฮาทุกพระองค์ที่มาจากสกุลหวังจดจำได้อย่างขึ้นใจ ว่าหากมีสตรีใดปรากฏสัญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวอยู่บนกายของนาง
นั้นหมายถึงนางคือผู้ทำลายบัลลังก์หงส์ของแคว้นต้าโจวจนย่อยยับไม่เหลือสิ้น หากแต่นางจะเขย่าบัลลังก์หงส์ได้อย่างไรเมื่อหวังฮองเฮากำลังลงมือสังหารพระชายาของรัชทายาทอีกครั้งและมันกำลังเริ่มขึ้นแล้วในเวลานี้
เว่ยหลินหลางกำลังยืนมองบ่าวไพร่ขนสัมภาระมากมายที่ได้รับพระราชทานจากวังหลวงเดินตามหลังขบวนเสด็จรัชทายาทซึ่งพระองค์กำลังเสด็จตรงมาหานางอยู่ในเวลานี้
“เจ้ามายืนรอรับข้าอย่างนั้นเหรอหลินเอ๋อ”รับสั่งถามด้วยความดีใจเมื่อเห็นพระชายายืนมองพระองค์อยู่ในขณะนั้น
“เปล่า! หม่อมฉันมายืนดูบ่าวรับใช้ขนของอยู่ตรงนี้นานแล้วพระองค์ต่างหากที่เสด็จมาที่หลัง คราวหน้าก็มาก่อนนะเพคะจะได้ไม่ต้องบอกว่าหม่อมฉันมาเฝ้ารอ”เว่ยหลินหลางรับสั่งประชด
รัชทายาทหนุ่มได้แต่ส่ายพระพักตร์ไปมาเมื่อได้ยินพระชายากล่าวเช่นนั้นกับพระองค์
“บอกแล้วไงว่าอยู่ที่จวนของเจ้าไม่ต้องใช้คำพูดของวังหลวงกับข้าเช่นนี้”รับสั่งกับพระชายา
“ไม่ได้หรอกเพคะเดี๋ยวหม่อมฉันจะเคยปาก อีกอย่างหากฮองเฮาทรงทราบจะกล่าวหาว่าหม่อมฉันไม่ให้เกียรติพระสวามี เดี๋ยวจะทรงกริ้วและลงโทษเอาได้หม่อมฉันไม่อยากให้ผู้ใดเดือดร้อน พระองค์ก็ล่วงรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าหม่อมฉันเป็นพระชายาที่ทรงไม่ต้องการเป็นอย่างมาก”เว่ยหลินหลางตอบกลับไปตามความจริง
“แต่ข้าต้องการ!”โจวหยางเย่วรับสั่งสวนกลับไปทันที
เว่ยหลินหลางหยุดนิ่งไปโดยพลันเมื่อได้ยินรับสั่งตอบกลับเช่นนั้นพร้อมสุรเสียงขององค์ชายรัชทายาทมีรับสั่งขึ้น
“ข้าไม่สนใจว่าเสด็จแม่จะชอบหรือต้องการเจ้าหรือไม่ เพราะคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าก็คือข้า! คนที่ข้าต้องการคือเจ้าที่จะมาเป็นพระชายาสตรีอื่นใดที่เสด็จแม่เลือกเฟ้นเอาไว้ให้ข้าไม่ต้องการแม้แต่น้อย เพราะคนที่ข้ารักอยู่ตรงหน้าแล้วตอนนี้”รับสั่งออกมาจากส่วนลึกในพระทัย
หากแต่เว่ยหลินหลางทำได้เพียงแค่รับฟังเท่านั้น เพราะนางไม่มีความรู้สึกกับรัชทายาทผู้นี้แม้แต่น้อย
“ขอโทษด้วยนะที่ข้ารับความรู้สึกดีๆ จากท่านไม่ได้จริงๆ คนที่ควรถูกท่านรักเป็นหลิงเอ๋อไม่ใช่ข้า”เว่ยหลินหลางคิดในใจ
“ขอบพระทัยเพคะที่มอบความรู้สึกดีๆ ให้กับหม่อมฉัน”นางตอบกลับไปก่อนจะเหลือบไปเห็นบรรดานางกำนัล และขันทีทยอยนำสิ่งของที่จะต้องใช้ประกอบพิธีอภิเษกสมรสครั้งที่สองเข้ามาอย่างมากมายภายในจวน ท่ามกลางความแปลกใจของหลินหลางที่รู้สึกว่าวันนี้นางกำนัลและขันทีรวมไปถึงองครักษ์จะมีมากกว่าปกติ
“ทำไมแค่เตรียมงานอภิเษกจึงดูวุ่นวายจังเลยเพคะ ผู้คนมากมายทั้งนางกำนัลและขันทีรวมไปถึงทหารองครักษ์ก็มีมากกว่าทุกวันทั้งที่อีกตั้งสิบวันกว่าจะถึงวันอภิเษก”นางถามกลับไปด้วยความสงสัย
ท่ามกลางเสียงพระสรวลของรัชทายาทครั้นได้ยินพระชายาถามกลับมาเช่นนั้น
“ข้าก็ว่าไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ครั้งที่แล้วก็วุ่นวายแบบนี้เช่นกันจะแตกต่างตรงที่ ข้าไม่มีโอกาสได้พบเจ้าเลยเพราะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของการทำพิธีและหลังจากวันนี้ก็มาหาเจ้าไม่ได้อีกแล้วจนกว่าจะถึงวันอภิเษกเพราะจะต้องทำตามระเบียบของจารีตของราชวงศ์ที่กำหนดเอาไว้”รัชทายาทหนุ่มรับสั่งสุรเสียงเศร้า
แต่คนดีใจกลับเป็นเว่ยหลินหลางครั้นได้ยินเช่นนั้น
“จริงเหรอ! ดีจังเลย”นางเอ่ยออกมาทันทีในขณะที่คนฟังเกิดอาการน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เจ้าดีใจถึงเพียงนี้เลยเหรอ”รับสั่งถามด้วยความน้อยใจ
เว่ยหลินหลางพยักหน้าขึ้นลงเป็นการยอมรับว่านางดีใจเช่นนั้นจริงๆ พร้อมเอ่ยขึ้นเมื่อสีพระพักตร์ของรัชทายาทแห่งต้าโจว บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
“หม่อมฉันดีใจที่พระองค์ไม่ต้องออกมาจากวังหลวงเป็นเช่นนั้นจริงเพคะ เสด็จมาที่จวนแบบนี้ไม่ปลอดภัยแม้แต่น้อยทรงเป็นถึงรัชทายาทแห่งต้าโจวไม่ใช่ขุนนางหรือคนธรรมดาทั่วไปเสียที่ไหนกันเล่า บางครั้งก็ต้องห่วงความปลอดภัยของพระองค์เองบ้าง ถึงแม้ว่าจะคิดถึงหม่อมฉันสักเพียงใดก็ต้องดูแลพระองค์ด้วย เกิดถูกลอบปลงพระชนม์ขึ้นมาจะทำอย่างไง”เว่ยหลินหลางตอบกลับไป
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของนางเช่นนั้นรัชทายาทแห่งต้าโจวยิ้มหน้าระรื่นขึ้นมาโดยพลัน
“ที่แท้เจ้าก็ห่วงข้ากลัวว่าจะถูกลอบสังหาร”รับสั่งด้วยความดีพระทัยยิ่งนัก
“ก็ใช่สิเพคะ! รู้อะไรไหมเสด็จมาบ่อยแบบนี้เกิดพวกที่มีความคิดจะลอบปลงพระชนม์ลงมืออีกเหมือนเมื่อห้าปีก่อนจะทรงทำเช่นไร”เว่ยหลินหลางกล่าวเตือนท่ามกลางความดีใจของคนฟัง
“ดีใจมากเลยนะที่เจ้าห่วงข้าเช่นนี้ เรื่องนั้นอย่าห่วงเลยเพราะข้าออกจากวังหลวงก็จะมีองครักษ์ติดตามมาด้วยเป็นกองร้อย ยากที่จะมีผู้ใดลงมือลอบสังหารข้าได้”รับสั่งอย่างมั่นพระทัย
ในขณะที่เว่ยหลินหลางได้แต่ยืนฟังอย่างเงียบๆ ไม่ปริปากโต้แย้งสิ่งใด ทว่าความรู้สึกของนางวันในวันนี้กลับบอกว่ากำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ไม่อาจล่วงรู้ได้แน่ชัดอีกทั้งญาณหยั่งรู้ของนาง ช่วงหลังมานี้ไม่ปรากฏให้นางหยั่งรู้ล่วงหน้าได้เลยก่อนจะได้ยินเสียงของราชครูเว่ยอี้ดังขึ้นอยู่ทางด้านหลัง
“หลินเอ๋อ! องค์รัชทายาทเสด็จมาตั้งนานแล้วเหตุใดไม่นำเข้าไปภายในจวน ยืนตากลมอยู่เช่นนั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายไปด้วยกันทั้งคู่หรอก”เว่ยอี้กล่าวเตือนบุตรสาว
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”เว่ยหลินหลางรับคำเสียงอ่อยพลางเหลือบตาจ้องพระพักตร์คมคายของโจวหยางเย่ว
“รีบเสด็จเถิดเพคะขืนประทับอยู่ตรงนี้นานจะพาลประชวรเอาได้ เดี๋ยวหัวของหม่อมฉันจะกระเด็นไปอยู่ที่พื้น”นางพูดประชดกลับไปท่ามกลางเสียงพระสรวลของรัชทายาทหนุ่มเมื่อได้ยินชายาจีบปากจีบคอพูดกับพระองค์เช่นนั้น
“วาจาประชดประชันของเจ้าข้าชอบฟังนักเชียวไม่เหมือนผู้ใดแม้แต่น้อย นี่แหละคือหลินหลางของข้า ของแท้ต้องแบบนี้”รับสั่งชื่นชมพระชายาเล่นเอาอีกฝ่ายยืนงงที่ทำอะไรก็ถูกใจไปเสียหมดก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อเสียงของเว่ยอี้ดังแทรกขึ้น
“รีบนำเสด็จมาเร็วเข้าหลินเอ๋อ”เว่ยอี้กำชับบุตรสาว
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”นางขานรับคำสั่งของบิดาพร้อมหันกลับไปมองคนที่สร้างปัญหาให้ พลางสะบัดหน้าหนีก้าวเดินนำมาก่อนโดยมีรัชทายาทจากต้าโจวรีบเดินขึ้นไปเคียงคู่กับนางพากันเดินเข้าไปในจวนพร้อมกัน
ทันทีที่เดินเข้าไปภายในจวนตรงไปยังห้องที่ติดกับสวนดอกไม้และมีสระขนาดย่อมสำหรับเลี้ยงปลาอันเป็นสถานที่โปรดของรัชทายาทหนุ่ม เว่ยหลินหลางเห็นบ่าวรับใช้ร่างใหญ่เห็นแต่เพียงด้านหลังเดินออกมาจากห้องดังกล่าว ก่อนจะรีบเดินจากไปภายในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ติดตามมาด้วยกลิ่นกำยานหอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งบริเวณจวนจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อเปลี่ยนกลิ่นกำยานใหม่อย่างนั้นเหรอเจ้าคะ”นางเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าไปมาเป็นการปฏิเสธครั้นได้ยินเช่นนั้น
“พ่อก็เพิ่งล่วงรู้ว่าก็ตอนเจ้าพูดนี้แหละ”กล่าวพร้อมเหลือบสายตามองไปที่เตาจุดกำยานซึ่งเต็มไปด้วยควันสีขาวกำลังลอยออกมาอย่างไม่ขาดสายส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง
เป็นจังหวะเดียวกับที่รัชทายาทแห่งต้าโจวก้าวตามหลังเข้ามาภายในห้องดังกล่าวมาติดๆ
“ข้าเพิ่งนำมาจากวังหลวงมาเอามาฝากท่านอาจารย์และฝากเจ้าด้วย เป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นเย้าเพิ่งส่งมาให้เป็นหนึ่งในของขวัญวันอภิเษกของข้าและเจ้า แต่จะว่าไปแล้วเหตุใดจึงจุดกำยานไปทั่วทั้งจวนเช่นนี้นะน่าแปลกเสียจริง เพราะข้าตั้งใจนำมาฝากเจ้าและท่านพ่อตาเท่านั้น หรือว่าท่านอาจารย์สั่งให้จุดกำยานไปทั่วทั้งจวนอย่างนั้นเหรอ”รับสั่งถามพลางทรุดพระวรกายลงประทับบนตั่งตรงข้ามกับราชครูที่นั่งรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
“กำยานหอมจากแคว้นเย้าอย่างนั้นเหรอ”เสียงพึมพำด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เว่ยหลินหลางครุ่นคิดถึงแคว้นเย้าขึ้นมาทันทีว่าเคยได้ยินชื่อเสียงจากที่ไหนมาก่อน
จวบจนกระทั่งบรรดาบ่าวรับใช้เริ่มทยอยยกของว่างเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ ท่ามกลางสายตาของเว่ยหลินหลางที่กำลังสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน ก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นบ่าวรับใช้ทั้งมีด้วยกันสี่คนต่างมีใบหน้าขาวซีดเหมือนกันทั้งสิ้น
“พวกเจ้าไม่สบายอย่างนั้นเหรอเหตุใดใบหน้าจึงขาวซีดเช่นนั้น”เว่ยหลินหลางถามกลับไปอย่างสงสัย
และนั่นทำให้เว่ยอี้และรัชทายาทแห่งต้าโจวต่างพากันเริ่มสังเกตใบหน้าของสาวใช้ทั้งสี่ และต้องแปลกใจไปตามๆ กันเมื่อพวกนางมีใบหน้าขาวซีดราวกระดาษเช่นนั้น
“พวกเจ้ากำลังป่วยอยู่อย่างนั้นเหรอ”เว่ยอี้ถามกลับไปทันทีด้วยรู้สึกไม่ชอบมาพากลเข้าให้เสียแล้ว
บ่าวรับใช้ทั้งสี่นางต่างพากันยืนงงกันถ้วนหน้าว่าเพราะเหตุใดพวกนางจึงมีสภาพเช่นนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงหนึ่งในสาวใช้
“บ่าวไม่เข้าใจเจ้าค่ะว่าเพราะเหตุใดจึงคิดว่าพวกบ่าวทั้งหมดไม่สบาย”นางพูดพลางเงยหน้าขึ้นมอง
ทันใดนั้นเอง
หยดเลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากทางจมูกของสาวใช้คนดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ครั้นมองไปทางสาวใช้อีกสามคนแต่ละนางก็ปรากฏหยดเลือดไหลออกมาจากจมูกและบางคนเริ่มออกมาจากปากและหูเช่นเดียวกัน และนั่นทำให้เว่ยหลินหลางล่วงรู้โดยทันทีว่าบรรดาสาวใช้ถูกวางยาพิษ
“ท่านพ่อพวกนางถูกพิษ!”เว่ยหลินหลางตะโกนบอกบิดาของนางออกมาทันที
“ว่าอะไรนะ!”เว่ยอี้รีบลุกพรวดพราดขึ้นจากตั่งที่นั่งแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจ็บแปลบตรงหัวใจขึ้นมาโดยพลัน
ในขณะที่รัชทายาทโจวหยางเย่วก็ไม่ต่างกัน พระองค์รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อรู้สึกว่าทรงหายใจไม่ออกและเจ็บแปลบทั่วพระวรกายไร้สิ้นเรี่ยวแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ พระองค์ทอดพระเนตรตรงไปที่พระชายา
“นะ..หนี...หนี...หนีไป.รีบไป”รับสั่งสุรเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน ครั้นเหลือบสายพระเนตรไปทางราชครูก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน
ตุบ! ร่างสันทัดของเว่ยอี้ทรุดลงกับพื้นห้องพร้อมโลหิตไหลรินออกมาจากทางจมูกเช่นเดียวกัน
แปะ! หยดเลือดร่วงหล่นลงสู่พื้นต่อหน้าราชครู พร้อมเสียงของเว่ยอี้แผดเสียงดังก้องขึ้นมาทันที
“คุ้มครองรัชทายาท! มีคนลอบปลงพระชนม์! รีบพาพระองค์หนีไป!!!”เว่ยอี้ตะโกนบอกบุตรสาว
ตุบ! ตุบ! ตุบ! สิ้นเสียงของเว่ยอี้บ่าวรับใช้ทั้งสี่นางต่างยืนโงนเงนไปมาอยู่เพียงครู่ ร่างของพวกนางร่วงหล่นลงไปนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นห้องทันทีแต่ละคนดวงตาเบิกค้างสิ้นใจตายในเวลาอันรวดเร็ว
ตุบ! เว่ยอี้ก็มีสภาพไม่ต่างกันร่างสันทัดล้มลงนอนคว่ำไปกับพื้นห้อง ใบหน้าหันมาทางบุตรสาวของเขา และโลหิตกำลังไหลออกมาจากทางจมูกไม่แตกต่างกัน
“ละ...หลิน...เอ๋อ”เว่ยอี้กล่าวได้เพียงแค่นั้นก็แน่นิ่งไปภายในเวลาอันรวดเร็ว ดวงตาเบิกค้างสิ้นใจตายโดยไม่รู้ตัว
ท่านพ่อ!!!! เสียงกรีดร้องเรียกหาบิดาดังก้องออกมาจนสุดเสียงพร้อมยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเอาไว้
แปะ!! หยดเลือดที่ไหลออกมาทางจมูกร่วงรินตกลงบนหลังมือของนาง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเลือดของนางกลายเป็นสีดำทันทีที่ไหลออกมาจากกาย ก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นรัชทายาทแห่งต้าโจวยืนโงนเงนไปมาอยู่เพียงครู่
โครม!!! พระวรกายล้มลงกระแทกลงบนพื้นห้องอย่างแรงต่อหน้าเว่ยหลินหลางก่อนจะหมดพระสติไปท่ามกลางเสียงร้องเรียกของพระชายาคนงาม
องค์ชาย!!! เว่ยหลินหลางร้องเรียกจนสุดเสียง