11

4421 คำ
          “ถ้าอยากละกิเลสจริง ๆ คุณต้องรู้จักมันให้ดีพอก่อน ว่ามันคืออะไร”           “แล้วในความคิดของคุณอา มันคืออะไรหรือครับ”           “กิเลสที่เรารู้จักและเห็นส่วนใหญ่แล้วมันเป็นส่วนหยาบ แต่ในส่วนละเอียดนั้นมีมากกว่าที่เรารู้” อาสองว่าจบ เงียบไปครู่ ค่อยเสริมต่อ “บางทีก็เผยออกมาในรูปแบบของความคิด ความรู้สึก ท่าทางกิริยาอาการ ทั้งหมดนั่นมันเกี่ยวเนื่องกันหมด”           “สรุปกิเลสก็คือโลภ โกรธ และความหลง อย่างนั้นหรือครับ”           ชายมากวัยมองตอบพร้อมพยักหน้าเบา ๆ แทนการกล่าวคำใด ๆ ว่าขึ้น “การจะรู้จักกิเลสให้ดีพอ คุณต้องหมั่นเจริญมหาสติปัฏฐาน ทำทาน ศีล ภาวนาและสังเกตจิตใจของเราว่ามีการแปรเปลี่ยนไปอย่างไร คุณจึงจะรู้จักกับกิเลสอย่างแท้จริง แล้วเมื่อรู้จักมันแล้ว ต้องเรียนรู้วิธี เพื่อจะได้นำมาใช้แก้มันด้วย จึงจะดับกิเลสพวกนั้นได้” “แต่ถ้าอยากถอนรากถอนโคนกิเลสจริง ๆ ผมควรนำข้าวของเงินทองที่หาได้ ไปทิ้งที่กองกิเลสในรีสอร์ต อย่างนั้นหรือเปล่าครับ” จบเสียงถามของธรณ์ ความเงียบแผ่คลุมไปทั่วทั้งห้องพักผู้ป่วย ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยเสียงเคาะประตู สิ้นเสียงเคาะ คนมาใหม่เปิดมันออกในทันที           อาสองขยับตัวนั่งด้วยท่วงท่าที่สบายกว่าเดิม พร้อมกับทักทายหลานเสียงเย็น “มาแล้วหรือพรรณ” พรรณวษามองอาสองก่อนเป็นอันดับแรก ค่อยหันไปมองทางธรณ์ เห็นแวบหนึ่งกับรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของเขา อาสองท้วงขึ้น “เขาแวะมาเยี่ยมอา เคยเจอกันแล้วนี่” “ที่รีสอร์ตไงครับ ผมยังจำได้เลยว่าวันนั้น ผมถามเธอเรื่องเสวนารอบค่ำ” อาสองมองทางธรณ์แล้วท่านก็ว่าอย่างพอจะจำได้ “จริงด้วยสินะ ผมก็ลืมแนะนำไป นี่หลานสาวของผมเอง ชื่อพรรณวษา” “อ้อ หลานสาวของคุณอานี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมธรณ์ครับ” มองตอบ บอกด้วยสายตาว่าเธอไม่สะดวกจะผูกมิตรด้วยเท่าไรนัก ธรณ์หัวเราะในลำคอเบา ๆ พร้อมกับยักไหล่ บอกด้วยท่าทางว่าไม่นึกสนใจเธออยู่แล้ว แล้วถึงขยับลุกยืน เอ่ยลาในที่สุด “ผมกลับก่อนนะครับ ไม่รบกวนคุณอาแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมใหม่” พรรณวษารอจนเขาลับไปแล้ว ค่อยบอกกับอาสอง “เดี๋ยวพรรณมานะคะ”           แล้วผลุนผลันตามไป จนทันกันที่ด้านนอกพอดี พรรณวษาเรียกด้วยเสียงที่กะให้ได้ยินพอดี ไม่ดังจนรบกวนคนอื่นในบริเวณนั้น           “คุณ”           ธรณ์ได้ยินแล้ว แต่ทำเป็นมึน ๆ ว่าไม่ได้ยิน แถมยังเร่งฝีเท้าให้ไวกว่าเดิมอีกต่างหาก จนเธอต้องออกวิ่งไปดักหน้าเขาไว้ นึกเจ็บใจ เมื่อคิดได้ว่าเขาต้องแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เธอเรียกแน่ ๆ            เขาหยุดเดินแล้ว ซ่อนแววตาขบขันเอาไว้แทบไม่มิด นึกสนุกที่คราวนี้เป็นเธอบ้างล่ะที่ต้องวิ่งตามเขามา  “ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”           ธรณ์แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ กระนั้นก็ยังยิ้มรับ พรรณวษาเลยเดินเลยเขาไปยังสวนระหว่างอาคารผู้ป่วย จนเห็นว่าเขาตามหลังมาแล้ว ค่อยเริ่มเจรจา           “ถ้าจะกรุณา อย่ามาเยี่ยมอาสองอีก”           ธรณ์มองไปทางเด็กสองคนในสวนที่วิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ ใบหน้าของเขาผุดรอยยิ้มออกมานิดเดียว บางทีพรรณวษาคงรู้แล้วว่าเขามาด้วยจุดประสงค์อะไร ปฏิเสธด้วยท่าทีเป็นต่อ           “คงไม่ได้ เพราะคุณอากำชับผมแล้วว่าให้มาเยี่ยมทุกวัน ท่านว่าท่านเหงาน่ะ นี่ผมไม่ได้บอกท่านหรอกนะว่าป้ายหน้าห้องท่านแขวนไว้ว่างดเยี่ยม ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน”           “คุณกับอาสองสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร ทำไมท่านจะต้องกำชับให้คุณมาเยี่ยมทุกวัน”           “คนเราชะตาต้องกัน เจอหน้ากันครั้งเดียวก็สนิทกันได้แล้วไหมอะ” ธรณ์ย้อน อดคิดอย่างขุ่นเคืองใจไม่ได้ ว่าไหนเลยจะเหมือนเธอกับเขา ที่รู้จักหน้าค่าตากันมาก็ตั้งนานหลายปี ไม่เห็นจะถูกชะตากันเลย พรรณวษาไม่นึกเชื่อเขาเลยสักนิด ตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ           “คุณต้องการอะไร”           ธรณ์มองเธอด้วยแววตาสงสัย ก่อนเดินหน้าเข้าหาเธอ คิดว่าพรรณวษาจะจิตอ่อน เดินถอยหลังหนีอย่างนั้นหรือ เปล่าเลย เธอยืนประจันหน้าเขา แววตา สีหน้าไม่บ่งบอกร่องรอยว่ากลัวหรือประหม่าเลยสักนิด           ธรณ์เลยได้แต่สบถอยู่ในใจ ถามด้วยเสียงเหมือนตำรวจสอบผู้ร้าย “ทำไมคุณถึงอยากให้ผมอยู่ห่าง ๆ จากอาสองของคุณด้วย ผมบริสุทธิ์ใจนะ หรือบางทีอาจเป็นคุณ หรือไม่ก็อาสองของคุณที่ไม่บริสุทธิ์ใจพอที่จะคบหากับผม หรือไม่ก็ เพราะคุณกลัวว่าจะมีคนรู้ว่ากำลังทำผิดอะไรอยู่ หรือไม่ก็...”           พรรณวษาไม่เคยนึกเกลียดคำว่า ‘หรือไม่ก็’ ขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้เธอเกลียดคำนั้นที่ธรณ์พูดออกมามาก จ้องหน้าเขานิ่ง บอกด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้ส่อว่าเธอกำลังโมโห           “เวิ่นเว้อมาก กล่าวหาคนอื่นลอย ๆ แบบนี้บ่อยหรือไง”           ธรณ์ยิ้ม ล้วงเอาแฟลชไดรฟ์ในกระเป๋ากางเกง ออกมาชูขึ้นตรงหน้าเธอ “ผมว่าคุณเข้าใจดีเชียวล่ะ ว่าผมไม่ได้กล่าวหาใครลอย ๆ มีกี่คนแล้วที่ถูกหลอก หลักฐานพวกนี้ หวังว่าอาของคุณจะไม่มีเอี่ยวด้วยหรอกนะ”           มองของที่ธรณ์ถือเอาไว้นิ่งอึดใจ โต้กลับอย่างที่เสียงอ่อยลงเล็กน้อย “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้ที่คุณโชว์ขู่ฉันอยู่เนี่ยมันคืออะไร แต่อยากจะขอร้อง ว่าอย่าทำให้อาของฉันต้องเครียด กังวล หรือรับรู้เรื่องอะไรที่จะพัวพันกับท่าน อาของฉันเพิ่งผ่าตัดเส้นเลือดในหัวใจก่อนที่คุณจะมาไม่กี่วันนี่เอง ฉันไม่อยากให้ท่านมีเรื่องมากระทบ”           “ผมรับปากว่าจะไม่เอาเรื่องนี้มาคุยกับท่าน แต่ไม่รับปากว่าจะไม่มาเยี่ยมท่านที่นี่อีก” ธรณ์บอกเจตจำนงของตัวเองจบ เอ่ยลาทันที “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว”           ธรณ์จากไปแล้ว แต่พรรณวษายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพราะแทบหมดแรงทรงตัว เธอทำท่าว่าไม่กลัวทั้งที่ในใจเต้นระรัวเลยทีเดียว ในหัวกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ อาสองของเธอกำลังเข้าไปพัวพันกับเรื่องผิดกฎหมายโดยที่ท่านเองก็คงไม่รู้ตัว คงถูกหลอกใช้มาตลอดตั้งแต่อยู่ที่นั่น เธอต้องบอกความจริงกับอาสอง และดึงท่านออกจากวงจรลวงโลกพวกนั้นให้ได้ ตั้งสติแล้วค่อยหมุนตัวกลับห้องพักผู้ป่วยที่อาสองนั่งเอนหลังมองจอโทรทัศน์อย่างเบื่อ ๆ           “อาสอง พรรณมีเรื่องอยากคุยด้วย”           อาสองปิดเสียงในจอภาพชั่วขณะ ถามอย่างสนใจ “มีอะไรหรือ”           “อาสองรู้เรื่องในรีสอร์ตมากแค่ไหนคะ” พรรณวษาถามจบ สังเกตสีหน้าของอาไปพลาง พบว่าท่านดูคล้ายไม่เข้าใจกับเรื่องที่เธอถามเท่าไรนัก จึงเปิดปากเล่าทุกอย่างให้ท่านฟังถึงเรื่องราวทั้งหมดที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในตอนนี้ พอฟังจบ อาสองส่ายศีรษะ แย้งทันที           “ไม่จริงหรอกพรรณ เป็นไปไม่ได้”           อาสองค้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียด           “พรรณอยากรู้เรื่องเดียวเท่านั้น อาสองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงิน หรือพวกที่ยักยอกเอาเงินไปใช่ไหม”           ใบหน้าของอาสองมีแต่แววกังวลใจ ท่านส่ายหน้าเบา ๆ อย่างคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เท่านั้นเองคนเป็นหลานก็ทอดถอนใจออกมายาว ๆ สรุปความว่า “อย่างนั้น เอาไว้เรากลับไปที่รีสอร์ตนั่นอีก แล้วช่วยกันหาหลักฐานเพิ่มเติมดีไหมคะ อาสองต้องมีหลักฐานบอกว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นอาสองต้องถูกดำเนินคดีด้วยแน่ ๆ”           อาสองพยักหน้าคล้อยตาม ไม่มีเสียงพูดหลุดออกจากปากท่านแม้แต่คำเดียว ใบหน้าซีดมัวหมองลง จนพรรณวษานึกเป็นห่วง กลัวท่านจะล้มป่วยอีก ตัวเธอเองก็ทั้งหนักหัวและมึนหัว มีแต่ปัญหารุมเร้าเข้าใส่ นอนหลับไม่เต็มตาติดกันเป็นสัปดาห์แล้ว ตอนนี้ก็ส่ออาการเหมือนจะไม่สบาย ได้แต่หวังว่าตนเองจะไม่ล้มป่วยลงไปเสียก่อน             และแล้วอาการป่วยก็เล่นงานเธอจนได้ เช้านี้ทำเอาพรรณวษาแทบลุกออกจากที่นอนไม่ไหว กระนั้นก็ไม่ได้ลางานอีก หลังจากลารอบก่อนเพื่อไปเฝ้าอาสองแล้วครั้งหนึ่ง เลยไม่อยากให้ติดกันจนเกินไปนัก  นึกปลอบตัวเองว่าวันนี้ทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์แล้ว เสาร์อาทิตย์นี้คงพอมีเวลาให้ได้พักรักษาตัว  หลังเลิกงาน จึงโทรศัพท์บอกอาสองว่าวันนี้คงไม่ได้ไปนอนเฝ้าท่าน ติดต่อผู้ช่วยพยาบาลให้มาอยู่เป็นเพื่อนแล้วช่วงกลางคืน อาสองเงียบ ถามว่าเธอติดงานหรือมีธุระที่ไหน เลยเออออตามท่านไปว่าติดงาน ก่อนวางสายลง ไม่อยากบอกว่าไม่สบาย กลัวท่านจะเป็นห่วง           แล้วเลยแวะหาหมอที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน แพทย์ในคลินิกที่นั่นบอกว่าเธอป่วยจากไข้หวัดใหญ่ จ่ายยาลดไข้ ยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อมาให้กิน ก็ค่อยหาอาหารย่อยง่าย ๆ ตรงเข้าบ้าน           กำลังดึงดันประตูหน้าบ้านอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงเรียกดังอยู่ทางด้านหลัง           “หนูพรรณ”           ป้าข้างบ้านเธอนั่นเอง “มีอะไรหรือคะ”           อีกฝ่ายเข้ามาหาแล้วพูดคุยอย่างห่วงใย “ป้าเห็นหนูไม่ค่อยอยู่บ้าน เป็นห่วงน่ะสิ”           “ญาติป่วย เลยไปเฝ้าที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ” พรรณวษาตอบอย่างถนอมคำ เพื่อนบ้านต่างวัยพยักหน้าเข้าใจ รีรออยู่ครู่ค่อยเล่า “วันก่อน บ้านตรงท้ายซอยโดนยกเค้า มีอาม่าอยู่ในบ้านคนเดียว โจรมันซ้อมจนอ่วมเลย หนูไปไหนมาไหน ปิดบ้านให้ดี ๆ นะลูก แล้วถ้ามีอะไรตะโกนเรียกป้าได้เลย ป้าไม่อยู่ ตาบอยอยู่ก็ออกมาช่วยหนูได้อยู่หรอก”           “ค่ะ” ยิ้มรับ นึกดีใจที่มีเพื่อนบ้านดีแบบนี้           “นี่ป้าทำต้มจับฉ่ายเผื่อหนูเยอะเลย รอตรงนี้ก่อนนะลูก เดี๋ยวป้าไปตักมาให้”           ยืนรอไม่นาน ป้าเพื่อนบ้าน ออกมาพร้อมหม้อใบเล็กที่ใช้แบ่งถ่ายอาหารส่งให้กันไปมาเป็นประจำ           “นี่จ้ะหนู” ท่านยื่นส่งให้ สายตามองเธออย่างเอ็นดู           “ขอบคุณค่ะ”           พรรณวษารับมาแล้ว ขอตัวกลับเข้าบ้าน วางหม้ออาหารไว้ที่โต๊ะก่อน ค่อยอาบน้ำ แล้วถึงออกมาจัดการกับหม้อต้มของฝากจากเพื่อนบ้าน โดยนำไปแช่ในตู้เย็นไว้ ตั้งใจจะอุ่นกินพรุ่งนี้ แล้วแกะโจ๊กเทใส่ชามฝืนละเลียดจนหมด กินยา ต่อจากนั้นแล้วเข้านอน กำลังเคลิ้มจะหลับอยู่แล้ว ได้ยินเสียงของตกที่ด้านนอก ต้นตอของเสียงเหมือนจะอยู่ทางหลังบ้านของเธอนี่เอง           หญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วดึงผ้าห่มที่คลุมตัวออก ลงจากเตียงนอนได้ ก็ค่อยย่องออกไปเปิดประตูห้องดู ใจหวังไว้ว่าขอให้เป็นแค่เสียงหนู เสียงแมว อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คน แต่คำขอของเธอก็ดูจะไร้ผลสิ้นดี เมื่อพบว่าเป็นเงาคนที่เดินผ่านหน้าต่างอยู่ทางด้านนอก ก่อนจะได้ยินเสียงลูกบิดประตูที่หลังบ้านถูกบิดไปมาแรง ๆ            ใจคอเริ่มไม่ดี ตั้งท่าจะกลับเข้าห้อง เพื่อโทรศัพท์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย แต่เงานั้นก็งัดประตูบ้านเข้ามาได้เสียก่อน หัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบทะลุออกมาด้านนอก ตาสอดส่ายหาอุปกรณ์ป้องกันตัว จนพบท่อนเหล็กที่วางทิ้งไว้ ตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ รีบหยิบเอาท่อนเหล็กนั่นขึ้นมา ตั้งท่าเตรียมไว้ นึกเสียใจที่กลับเข้าห้องไม่ทัน เพราะผู้บุกรุกขวางทางเธออยู่ ไม่อย่างนั้นคงโทรศัพท์เรียกให้ใครเข้ามาช่วยเหลือเธอได้แล้วป่านนี้ เงานั่นตรงมาจนถึงที่เธอยืนหลบมุมอยู่ แล้วตัดใจว่าวิ่งกลับห้องน่าจะทัน แต่ดันไปเตะเอาของล้มกลิ้งเสียอีก เงานั่นเลยหยุดชะงัก และมันคงเห็นแล้วว่าเธออยู่ตรงนี้ พรรณวษากลัวสุดชีวิต เธอบีบท่อนเหล็กในมือเอาไว้แน่น สุดท้ายก็ออกวิ่งเพื่อกลับเข้าห้อง แต่แล้วเธอกลับถูกรั้งไว้จากทางด้านหลัง เธอส่งเสียงร้องกรี๊ด แต่ก็ถูกมือของมันปิดปากเอาไว้แน่น แล้วฟาดท่อนเหล็กในมือใส่คนบุกรุกเต็มแรง           “โอ๊ย! เดี๋ยวคุณ เดี๋ยวก่อน”           พรรณวษาจำเสียงใครไม่ได้หรอก เพราะเธอกำลังมึนงงกับฤทธิ์ยา พอจะฟาดอีก ท่อนเหล็กในมือก็ถูกผู้บุกรุกดึงออกไปจนสำเร็จ พร้อมกับรวบแขนเธอไว้ ดันเธอไปด้านหน้า โดยที่ทางนั้นยืนซ้อนหลังเธออยู่ มือข้างหนึ่งของคนบุกรุกปิดปากเธอแน่น พรรณวษาอาศัยจังหวะชุลมุนกระทืบลงบนเท้าของอีกฝ่ายแรง ๆ กัดมือที่ปิดปากเธออีกทีจนจมเขี้ยว           “หยุดก่อนคุณ นี่ผมเอง” เสียงชักคุ้น แต่ที่ไม่พอใจคือเขายังกอดเธอจากด้านหลังไม่ยอมปล่อยนี่แหละ พรรณวษาจำเสียงเขาได้ สั่งดุ ๆ           “ปล่อยได้แล้ว”           ธรณ์ยังเอาเปรียบไม่ยอมปล่อยเธอง่าย ๆ แล้วแกล้งก้มหน้าลงถามเสียจนชิดใบหู “ห้ามทำร้ายผมอีกนะ”           กระนั้นก็ไม่ยอมปล่อยเสียที           “คุณบุกรุกบ้านฉันทำไม” พรรณวษาดิ้นจนหลุด เป็นจังหวะเดียวกับที่ธรณ์ยอมคลายแขนออกพอดี คนหน้ามึนบุกบ้านคนอื่นทำเป็นบ่น           “ผมไม่น่ารับปากคุณอาเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่เจ็บตัวแบบนี้ อาคุณ ท่านวานผมให้แวะมาดูคุณน่ะสิ”            “ฉันไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย กดออดเรียกก็ได้” “ผมยืนกดออดเรียกเป็นชั่วโมงแล้วครับคุณ” ธรณ์บ่นอย่างหัวเสีย แล้วเอื้อมแขนไปทางด้านหลังเหมือนจะหยิบอะไรออกมา พรรณวษาถอยหลังหนีทันทีอย่างระแวง ธรณ์มองท่าทีเธอแล้วก็ขำ ชูที่วัดอุณหภูมิที่เหน็บติดมาด้วย ชูให้ดู พอเธอเผลอก็เอาจ่อวัดไข้ที่ศีรษะทันที           “ไข้สูงขนาดนี้ ยังบอกไม่เป็นอะไรอีก ไปหาหมอหรือยัง”           ธรณ์ถามไปตามหน้าที่ที่รับปากกับอาสองเอาไว้ แต่พรรณวษาไม่ได้ตอบอะไรเขา เลยได้ยินเสียงบ่นของธรณ์ว่าตามมา           “อย่าทำให้อาคุณห่วงได้ไหม แล้วนี่คุณมียาใส่แผลหรือเปล่า ฟันคมขนาดนี้ไม่แปลกใจล่ะว่าทำไมไม่เลี้ยงหมาเลยสักตัว”           มองมือที่เป็นรอยฟันนิดเดียว ก็นึกหมิ่นในใจ กระนั้นก็ยอมเดินไปเอากล่องยามาส่งให้ บอกเสียงอู้อี้เล็กน้อย “จัดการเอง ฉันไม่เคยทำแผลให้ใคร”           ธรณ์ยิ้ม เขาไม่เคยถูกใครกัดจมเขี้ยวขนาดนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ ที่จริงแผลแค่นี้ไม่ได้มีผลอะไรกับเขาหรอก แต่ก็แกล้งทำตัวมีปัญหาไปอย่างนั้นเอง เดินไปจัดการล้างแผลให้ตัวเอง พรรณวษานั่งมองเขาอยู่ที่เก้าอี้กลางบ้าน เธอเอนหัวซบกับหมอนอิงมองเขา เห็นว่าทำอะไรเชื่องช้าเหลือเกิน อยากไล่ให้กลับออกไป แต่ธรณ์ก็ยังนั่งจมอยู่แบบเดิม จนเธอสัปหงกไปรอบหนึ่ง เห็นเขานั่งอยู่ที่เดิม แล้วตัวเธอเองก็เคลิ้มจะหลับอีกที แต่ก็ฝืนเอาไว้ จนสุดท้ายก็ฝืนฤทธิ์ยาไว้ไม่ไหว หลับยาวในที่สุด           ลืมตาตื่นในช่วงสายก็ให้มึนหัวเล็กน้อย ในคอแห้งผากไปหมด แล้วขยับลุกขึ้นนั่ง เห็นตัวเองนอนอยู่บนโซฟากลางบ้าน ก็ไล่เรียงเหตุการณ์ได้ว่าเมื่อคืนนี้มีคนบุกรุกเข้ามา แล้วก็เป็นธรณ์นั่นเอง นี่คงกลับไปแล้วป่านนี้ ไม่รู้ประตูหน้าบ้านเปิดเอาไว้ไหม ลุกเข้าครัวไปรินน้ำดื่มให้ตัวเอง พบว่าอาการครั่นเนื้อครั่นตัวลดลงไปมาก เป็นสัญญาณที่ดี ตั้งใจว่าจะจัดการงานในบ้านให้เรียบร้อย ค่อยออกไปดูอาสองที่โรงพยาบาล ขณะคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นจากประตูหน้าบ้าน           “ตื่นแล้วหรือคุณ”           แก้วแทบร่วงจากมือ ดีที่คุมเอาไว้ได้ ดื่มต่อจนหมด ล้างแก้วเสร็จถึงได้หันไปถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไรนัก           “ทำไมคุณยังอยู่ในบ้านของฉัน”           “ผมรับปากอาคุณไว้เมื่อวานนี้ไงว่าจะมาดูคุณให้ ท่านว่าท่าทางคุณดูแปลก ๆ เหมือนจะไม่สบาย หรือจะให้ผมกลับแล้วไปรายงานคุณอาดี ว่าคุณน่ะตัวร้อนจี๋เลย”           “หยุด ไม่ต้องบอกอาฉัน”           พรรณวษายั้ง เสียงฟังออกว่าหงุดหงิดมากขึ้น           “โกรธเป็นเหมือนกันนี่นา” ธรณ์เย้ายิ้ม ๆ แล้วว่า “ผมเห็นคุณหลับก็เลยไม่กล้าทิ้งไว้คนเดียว”           พรรณวษาทำหน้าหมิ่น ๆ จะเดินกลับเข้าห้อง           “รู้ล่ะว่าคิดอะไร คิดว่าผมอันตรายกว่าโจรใช่ไหม นี่ ป้าข้างบ้านเอาของมาให้แต่เช้าเลย ท่านถามด้วยนะว่าผมเป็นอะไรกับคุณ” ข่มอาการไม่พอใจเอาไว้ ถามเขาอีกครั้ง           “เมื่อไรคุณจะออกไปจากบ้านของฉันเสียที”           “จะไปแล้วล่ะน่า ไม่ต้องไล่ผมแบบนั้นหรอก เมื่อคืนผมอดหลับอดนอนเฝ้าไข้คุณทั้งคืน จะขอบคุณสักคำไม่มีล่ะ”           ธรณ์บอกจบ เดินออกจากบ้านไป มองตามหลังอย่างเคือง ๆ เธอดูแลตัวเองได้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคอยเฝ้าไข้ทั้งนั้น กลับเข้าห้อง จัดแจงล้างหน้าอาบน้ำ ทำงานบ้านจนเรียบร้อย ถึงได้ออกไปเยี่ยมอาสอง พบว่าท่านไม่มีอาการใด ๆ ให้เป็นห่วงอีก ผลตรวจหลายรายการอยู่ในเกณฑ์ดี พอเจ้าตัวรู้ผลตัวเองก็ร่ำ ๆ ขอแพทย์ให้จำหน่ายตนออกจากโรงพยาบาลเสียวันนี้พรุ่งนี้เลย แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตอย่างที่ใจต้องการ           “สวัสดีครับ”           เสียงทักของคนมาเยือนดังขึ้นในช่วงบ่าย ธรณ์เดินเอาถุงผลไม้มาวางใกล้ ๆ ที่เธอยืน เห็นว่ากำลังปอกผลไม้อยู่พอดีเลยส่งสายตาบอกว่ามีนี่อีกถุง พรรณวษาทำเฉย ปอกผลไม้ที่นำมาด้วยเสร็จแล้ว วางมีดลงด้วยอารมณ์ไม่ปกตินัก ไม่เคยนึกเกลียดใครแบบนี้มาก่อนเลย ให้ตายเถอะ           ธรณ์จึงเลี่ยงไปคุยกับอาสองเรื่องอาการอย่างทุกครั้งที่เขามา “เป็นยังไงบ้างครับวันนี้”           “ดีขึ้นแล้วล่ะคุณ”           “อย่างนี้ไม่ขอหมอกลับหรอกหรือครับ”           “ถามอย่างกับมายืนฟังด้วยเลย” อาสองถูกใจที่ธรณ์รู้ความคิดของท่าน “ขอแล้ว แต่หมอยังไม่ให้กลับ”           “พักรักษาให้หายก่อนเถอะครับ ผมเคยเห็นนะ บางคนน่ะป่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ยอมไปรักษา ปล่อยจนลามให้อาการหนัก แล้วยิ่งไม่มีคนดูแล นอนซมที่บ้านคนเดียว ไม่อยากนึกสภาพเลย นี่ดีนะครับที่คุณอายังมีหลานสาวคอยดูอยู่”           “นั่นสินะ ดีที่ผมมีหลานสาวคอยดู” อาสองคล้อยตามไปด้วย ไม่รู้ว่าถูกคนนอกแซะหลานตัวเอง เรื่องที่เธอป่วยนอนซมที่บ้านโดยไม่ยอมบอกใคร พรรณวษาได้ยินแล้ว ทำเฉยเอาไว้ ก็ในเมื่อเขาไม่ได้เอ่ยชื่อใคร เธอต้องดิ้นทำไมให้เขาหัวเราะเยาะ           อาสองมองที่เธอครู่เดียว เอ่ยถามธรณ์           “คุณมีครอบครัวแล้วสินะ”           “ผมยังโสดครับคุณอา”           “จริงหรือ” ท่านถามอย่างแปลกใจ พอเห็นแววตาชายคราวลูกมองตามหลานสาวของท่าน ก็เย้าต่อว่า           “หลานผมก็ยังโสดนะ”           พรรณวษาวางจานหนักมือทันที ตามมาด้วยเสียงติดฉุนอยู่พอควร “คุยกันเรื่องอื่นไม่ดีหรือคะ ทำไมต้องพาดพิงพรรณด้วย”           “ไงล่ะโกรธเลย”           อาสองบ่นเสียงเบา ธรณ์ยิ้มไม่พูดอะไร กระนั้นก็ไม่สร้างปัญหา ไม่ก่ออารมณ์ให้ใครต้องขุ่นเคืองใจอีก โดยเฉพาะหลานสาวของคนไข้ พรรณวษาปลีกตัวไปรับสายครู่เดียว กลับเข้ามาอีกที ธรณ์ไม่อยู่ที่ในนั้นแล้ว อาสองจ้องเธออึดใจ ออกปากให้เธอกลับบ้านไปเสีย       “ไปเถอะ อาอยู่ได้ ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วยมาเฝ้าอาแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่หายเสียที” นี่ธรณ์บอกอาสองว่าเธอไม่สบายอย่างนั้นหรือ รับปากแล้วทำไม่ได้ คนเฮงซวย พรรณวษาคิดอย่างแค้น ๆ กระนั้นก็อดถามอาสองไม่ได้ เพื่อจะได้ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด           “อาสองรู้ได้ยังไงว่าพรรณไม่สบาย ใครบอกอาสองคะ”           “ต้องมีใครบอกด้วยหรือ หลานไม่สบายทั้งคน อาจับแขนเราเมื่อกี้ก็รู้แล้ว ตัวร้อนขนาดนี้ยังจะมาเยี่ยมอาอีก เดี๋ยวไข้ที่เราเป็นอยู่มาติดอาจะทำยังไง ไป ๆ กลับบ้านไป พรุ่งนี้ไม่ต้องมาเยี่ยมนะ อาขอให้เรางดมาเยี่ยมอาสามวัน”           พรรณวษานั่งเงียบ แต่ก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน เธออยู่ต่ออีกพัก ถึงได้เห็นธรณ์หอบหิ้วถุงอาหารมาส่งให้อาสอง           “ได้แล้วครับคุณอา”           อาของเธอยิ้มเสียกว้าง คุยกับธรณ์เสียสนิทใจกันเชียว เลยพาลไปทางอาของตัวเอง เมื่อเห็นว่าตนด้อยค่าลงในสายตาของคนเป็นอา           “อาสองอยากกินอะไร ทำไมไม่บอกพรรณ”           “เปล่า ๆ นี่ผมซื้อมาฝากเอง ท่านไม่ได้สั่ง” ธรณ์รีบแย้ง ก่อนที่อาหลานจะตีกันเพราะเขา เลยลุกไปเอาชามมาวาง จัดเรียงแล้วนำไปส่งให้ท่าน ได้ยินชายต่างวัยผูกขาดการสนทนากันสองคน เลยหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องบ่าบอกลาอา           “พรรณกลับบ้านเลยก็แล้วกันนะคะ”           อาสองไม่ว่าอะไร แค่พยักหน้าให้ทำนองว่าไปเถอะ เลยน้อยใจเล็กน้อย เดินออกมาที่ด้านนอกด้วยความรู้สึกเหมือนเด็กหลงทาง ยืนมองไปรอบ ๆ อึดใจ พบว่าฝนเทลงมาอย่างหนัก จึงขยับไปยืนหลบฝนในอาคารอยู่อย่างนั้น กอดกระเป๋ากระชับตรงหน้าอก เหม่อคิดอะไรไปพลาง           “ผมไปส่งไหมคุณ”           เสียงถามดังอยู่ข้าง ๆ นี่เอง พรรณวษาไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นธรณ์ บอกปัดสั้น ๆ แค่ว่า           “ไม่เป็นไรค่ะ”           “เถอะน่า ฝนตกแบบนี้ ออกไปเจอละอองฝน เดี๋ยวได้ไข้ขึ้นอีกหรอก หรืออยากทำตัวเป็นนางเอก ป่วยไม่หาย อยากให้ผมไปเฝ้าที่บ้านอีกล่ะสิ”           เธอไม่ได้อยากทำแบบนั้นเสียหน่อย ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นบนรถประจำทาง แล้วเลยเดินตามเขาไปที่ลานจอดรถใต้อาคารหลังนั้น ธรณ์พารถออกสู่ถนน ฝ่าจราจรที่แน่นขนัดในวันหยุดมาจอดรถที่หน้าบ้านของเธอ ค่อยเอื้อมเอาร่ม เปิดประตูลงไปกางรอเธอ แล้วถึงได้ส่งเข้าบ้านไป พรรณวษาไม่ได้เป็นคนไร้มารยาทนัก เธอเอ่ยกับเขาว่า “ขอบคุณค่ะ” ธรณ์ไม่ว่าอะไร กลับขึ้นรถ แล้วจากไปโดยไม่รีรอหรือกวนโมโหอีก พรรณวษามองตามไฟท้ายรถของเขาท่ามกลางสายฝนที่ยังตกกระหน่ำอยู่ ค่อยละสายตาเมื่อมีรถคันหนึ่งชะลอผ่านหน้าบ้านพอดี เห็นทะเบียนรถราง ๆ เลยหมุนตัวหันกลับเข้าบ้านทันที           เช้าวันใหม่ เธอตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่หายดีแทบเป็นปกติ จึงตั้งใจจะออกไปเยี่ยมอาสอง ก่อนออกจากบ้าน นึกภาพที่ธรณ์ซื้อของมาให้อาตัวเองเมื่อวานนี้ เลยรีบต่อสายหาท่าน ตั้งใจจะถามว่าอยากได้หรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือไม่ แต่กลับได้ยินเสียงธรณ์คุยอะไรแทรกเข้ามาในสายสนทนาด้วย           “อาบอกว่าให้นอนพักที่บ้านไง อาไม่เหงาหรอกน่า นี่ธรณ์เขามาเยี่ยมอาแต่เช้าเลย”           ได้ยินว่าธรณ์อยู่นั่น ให้นึกหงุดหงิดเล็กน้อย รั้งรอที่บ้านยังไม่ไป กะเวลาคร่าว ๆ ในใจว่าอีกฝ่ายคงกลับราว ๆ บ่าย เธอไปตอนนั้นดีกว่า “งั้นบ่ายพรรณแวะไปก็แล้วกัน”           “บอกแล้วไงว่างดเยี่ยมอา” เสียงอาสองแสร้งดุมาตามสาย           “พรรณหายดีแล้วนะอาสอง”           ปลายสายบ่นว่าเธอรั้น พรรณวษาไม่ได้สนใจ วางสายลง ทำงานบ้านที่ค้างคาอยู่จนเรียบร้อย ถึงออกไปโรงพยาบาลแล้วก็พบว่าธรณ์อยู่ที่นั่น ยังไม่ยอมไป            เขาไม่มีงานต้องทำหรืออย่างไรกันนะ           “ผมคนว่างงานน่ะครับ” จู่ ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นราวกับรู้ความคิดของเธอ พรรณวษาเฉยเสีย กังวลเพียงแค่ว่าธรณ์จะไม่เข้ามาสืบอะไร หรือเอาเรื่องอะไรมาพูดให้กระทบหูกระทบใจอาสองก็พอ           อาสองมองชายหนุ่มที่ท่านเพิ่งรู้จักได้ไม่นานสลับกับหลานสาวของตนเอง แล้วผุดรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า มองที่จอภาพของโทรทัศน์ต่อจากนั้นไม่พูดอะไรอีก    
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม