9

2712 คำ
“คุณครับ คุณคนนั้นน่ะ” ธรณ์ส่งเสียงเรียกไม่เบานัก ยังคงเดินตามไปเรื่อย ๆ แต่พรรณวษาก็เลือกจะหลบหลีกไปยังอีกทาง เพื่อบดบังสายตาคนอื่น ๆ อันที่จริงเธอเห็นเขาแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องแล้ว แต่ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร พยายามยืนฟังจนจบ แล้วเดินแถวออกไปด้านนอกตามอย่างคนอื่น ๆ เพื่อกลับเข้าห้องพัก แต่ธรณ์ดันมาเรียกเธอไว้เสียนี่  ธรณ์เห็นท่าทีไม่อยากเสวนาด้วยเช่นนั้นก็นึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง เขาใช่คนตามตอแยคนที่ไหน และพรรณวษาก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขานึกพิศวาสเลยสักนิด อาศัยช่วงชุลมุนเดินตามเธอไปจนทันกันที่ตรงด้านนอก บริเวณนั้นปลอดจากคนอื่น ๆ จึงออกปากทักอีกที “คนเคยรู้จักกันมาก่อน อย่างน้อยน่าจะทักทายกันบ้างสิเออ นี่อะไร เล่นเดินหนีอย่างเดียวเลย” เสียงตำหนิติดฉุนเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้มาก่อน มีแต่คนอยากเข้าหาเขา อยากพูดจา คุยอะไรด้วย แต่พรรณวษากลับเดินหนี  พรรณวษาหันมองด้วยสีหน้าเฉยเมย ถามเสียงไม่ส่ออารมณ์ใด ๆ เลยว่า “มีอะไรหรือคะ”           ธรณ์มองชุดที่เธอสวม เห็นว่าแบบเดียวกันกับคนของที่นี่ใส่ ก็ยิ่งตอกย้ำความเข้าใจก่อนหน้านี้ ถามจี้ “คุณเป็นหนึ่งในสมาชิกของที่นี่หรือ”           สบตาเขาตรง ๆ ผุดรอยยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง ตอบอย่างไม่สนใจท่าทีเขา “ฉันมีสิทธิ์ไม่ตอบคุณใช่ไหม”           ธรณ์มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นใครในบริเวณนั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์ลดเสียงลงให้ได้ยินแค่สองคน “มีสิ แต่เพราะว่าคุณเป็นเพื่อนด้าหรอกนะ ผมถึงจะบอกอะไรให้รู้เอาไว้ ว่าที่นี่น่ะกำลังจะถูกตรวจสอบ มีคนไปร้องเรียนแล้วหลายคดีด้วย เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทั้งนั้น”           พรรณวษาหลุบตาลงมองที่พื้นแวบเดียว เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ถามกลับด้วยระดับเสียงไม่ต่างกัน “พวกเขามีหลักฐานหรือ”           ธรณ์ขมวดคิ้วนิดเดียว แปลกใจที่พรรณวษาถามกลับแบบนั้น           “ต้องมีอยู่แล้ว” เธอมองเขาแบบเดิม แล้วถามออกไปอีกประโยค “แล้วถ้าฉันบอกว่ามาที่นี่เพราะมาเข้าร่วมรับฟังล่ะ”           “คุณเชื่อด้วยหรือ เรื่องพวกนั้นมันสร้างขึ้นมา...”           ธรณ์ยังพูดไม่จบดี ว่าเรื่องพวกนั้นมันสร้างขึ้นมาเพื่อใช้หลอกเอาเงินคน พรรัชก็เดินเข้ามาขัดเสียก่อน พร้อมกับอาสองของเธอ หญิงเจ้าของรีสอร์ตสำรวจธรณ์อีกครั้งอย่างระแวดระวังตัว ถามเสียงเรียบ แววตาแฝงการจับผิดเอาไว้แทบไม่มิด           “ใครหรือหนูพรรณ”           “เขามาถามเรื่องเสวนากันครั้งหน้าค่ะ” พรรณวษาปดหน้าตาย ทำเอาธรณ์นึกต่อว่าอยู่ในใจไม่ได้ หน้าซื่อ ๆ บทจะพูดโกหกขึ้นมา คนก็พากันเชื่อเจ้าหล่อนในทันที           “คุณถามกับท่านได้เลย ฉันไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไรหรอกค่ะ” ว่าจบ พรรณวษาหันไปมองที่ธรณ์ คล้ายกับจะบอกเขาว่าให้ตอบตรงกันกับเธอ พรรัชมองไปที่เขา ทักกลับเมื่อพอจะจำได้           “คุณ... ใช่คนที่เพิ่งมาถึงเมื่อบ่าย แล้วก็อยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวหรือเปล่าคะ”           ธรณ์ไม่ยิ้มแล้ว เขาตอบรับจริงจัง เป็นการเป็นงานเลยทีเดียว “ใช่ครับ ผมเอง”           “ฉันเรียนท่านให้แล้ว” พรรัชหันไปยิ้มให้อาสองแล้วว่า “สมาชิกใหม่ค่ะท่าน”            อาสองมองธรณ์ด้วยแววตาเป็นมิตร ก่อนพูดขึ้น “คุณรู้ไหมว่าทรัพย์สินเป็นกิเลส” “ผมคิดแบบนั้นมาตลอด คุณรู้ไหมว่าผมเคยทำพลาด พากิจการของตัวเองตกต่ำจนเกือบล้ม แต่แล้วก็กลับลำพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด หลังจากนั้นนะ พอผมจับธุรกิจตัวไหนไม่มีแล้วคำว่าเจ๊ง มีแต่ทำกำไร จนผมคิดว่ามันก็เท่านี้เอง ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจเลย” ธรณ์บอกด้วยเสียงเบื่อหน่าย พรรัชฟังเงียบ ๆ ทำทีเป็นมองยังพื้นตรงหน้า แววตาปิดความกระหายอยากเอาไว้แทบไม่มิด ในหัวกำลังคิดถึงตัวเลขหลายหลักที่อีกฝ่ายอยากจะสละมันให้กับกองกิเลสที่อุปโลกน์ขึ้นมา “คงอิ่มตัวแล้ว” ธรณ์ทำหน้าเหมือนพบหนทางสู่นิพพาน แล้วทำเสียงคล้อยตามไปกับอาสองว่า “ใช่เลย ผมนึกคำนั้นอยู่พอดี สองสามปีมานี้ ผมไม่เคยอยากได้มันอีกเลย บริจาคไปเท่าไรก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ที่แท้ก็เพราะว่าผมอิ่มตัวแล้วนี่เอง” “ตามหลักของพระพุทธศาสนา วิธีละกิเลสมีหนทางเดียวเท่านั้นคืออริยมรรค” ชายแก่วัยกว่าที่บวชเรียนแต่เล็กพูดเสียงเนิบ เงียบอึดใจ ค่อยพูดต่อ “นั่นก็คือต้องฝึกตามหลักอริยมรรคที่มีองค์แปดจนสมบูรณ์ จนเกิดวิปัสสนาญาณครบถ้วนทั้งสิบหก จึงจะละกิเลสได้ แต่ก็จะได้แบบที่เป็นไปตามลำดับขั้น ทีละขั้น ๆ เท่านั้น” อาสองปล่อยให้ความเงียบทำงานต่อจากนั้น ราวครึ่งนาทีได้ จึงกล่าวเสริม “แต่ที่นี่เรามีหนทางที่เร็วและไวกว่าการฝึกแบบนั้น แล้วก็ยังมีอีกหลากหลายวิธีให้คุณได้ละซึ่งสิ่งที่ได้มา ที่ล้วนแล้วแต่เป็นกิเลส ขัดหนทางสู่นิพพานอย่างที่ใจของคุณต้องการทั้งนั้น” “ผมตามหาวิธีคิดและคนที่มีแนวคิดแบบนั้นมานานแล้ว ท่านมีจริง ๆ หรือครับ” พออาสองอ้าปากจะคุยต่อ พรรัชเห็นว่าเหยื่อติดเบ็ดแล้ว ก็รีบเข้าไปห้ามเอาไว้ก่อน “ไว้เราค่อยคุยกันแบบส่วนตัวอีกครั้งดีไหมคะ” อาสองยิ้มรับ ไม่ว่าอะไร แล้วถึงได้มีคนของพรรัชเข้ามาเชิญธรณ์กลับไปยังอาคารที่พักของสมาชิก พรรณวษามองละครฉากสั้น ๆ นั้น แล้วก็ได้แต่ขบคิดอยู่ในหัวว่ามันง่ายถึงขนาดนั้นเลยหรือ จนมีเวลาได้อยู่กับอาสองตามลำพัง จึงตัดสินใจถามท่านไป “อาสองแยกคนที่เชื่อกับคนที่มาจับผิดได้ยังไงกัน” อาสองมองเธอ ยิ้มบาง ๆ แล้วค่อยตอบ “แววตาไง” “แล้ว... คนเมื่อกี้ อาสองว่าเขาจะเชื่อที่อาสองพูดไหม” อาสองมองเธอด้วยรอยยิ้ม แต่แล้วกลับไม่ตอบคำถามที่ว่านั่น พอไม่เห็นว่าท่านจะพักผ่อนอย่างที่ควรจะทำ ค่อยออกปากท้วง “อาสองได้นอนบ้างไหมเนี่ย” “ไม่จำเป็นหรอก เรากลับห้องพักเถอะไป ไม่ต้องห่วงอา” พรรณวษาปลีกตัวจากมา เข้าห้องแล้วจัดแจงอาบน้ำ เข้านอน กระนั้นก็หลับตาไม่ลง นึกห่วง กังวลกับเรื่องของอาสองอยู่ไม่น้อย เมื่อก่อนตอนที่อาสองมาอยู่ที่นี่ เธอไม่เคยรู้ว่าเป็นการล้างสมองคนโดยอาศัยศรัทธา แล้วก็เพิ่งมารู้เมื่อสองปีก่อนนี่เอง ยิ่งพอมาปีนี้ ดูเหมือนว่าข่าวของที่นี่จะมีคนพูดถึงกันมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เธออยู่เฉยต่อไปไม่ได้แล้ว เธอต้องตามให้รู้ หาหลักฐานมายันว่าอาสองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ แล้วหากเป็นไปได้ เธอต้องพาอาสองออกจากวังวนหลอกลวง และใครก็ตามที่ใช้อาสองเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ก็ควรต้องได้รับโทษไป ไม่ใช่อาสองของเธอที่ต้องมาเป็นแพะรับบาปกับเรื่องทั้งหมดนี่   ธรณ์ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่ออย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก เขาต้องกลับก่อนกำหนดด้วยเหตุด่วนบางประการในช่วงเช้าของวันถัดมา จึงไม่รู้เรื่องราวโกลาหลในตอนสายของวันนั้น “โทรตามรถโรง’บาลสิเร็ว ไป! เร็ว ๆ เข้า” เสียงสั่งการของพรรัชดังขึ้นอย่างกระวนกระวายใจ พรรณวษาที่เดินสำรวจรีสอร์ตอยู่ รู้เรื่องทีหลัง วิ่งมาดูอาสอง เห็นว่ามีคนโทรศัพท์ตามรถโรงพยาบาลแล้ว จึงรีบเข้าห้อง เก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่กระเป๋า วิ่งตามมาประกบข้างกายอาของตัวเองทันที อาสองถูกพาส่งตัวเข้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดด้วยสภาวะที่ไม่รู้สติแล้ว เธอตามมาถึงโรงพยาบาล ก็มีความคิดจะย้ายท่านไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพที่ซึ่งรับยาให้ท่านเป็นประจำ พรรัชรู้ความคิดของเธอเข้าก็หน้าเครียด เรียกให้เธอไปคุยกันตามลำพังทันที “ไม่เห็นต้องย้ายท่านไปเลยนี่หนู ที่นี่ลูกศิษย์ลูกหาของท่านจะได้แวะมาเยี่ยมด้วย” “อาสองจะได้อยู่ใกล้มือคุณ จัดการอะไรได้ง่ายด้วยใช่ไหมคะ” พรรณวษาย้อนถาม สีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน พรรัชปั้นหน้างุนงงได้แนบเนียนนัก “หนูพูดถึงเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ” “เราต่างรู้ดีว่าที่นี่กำลังทำอะไรอยู่ คุณต้องเลิกใช้อาสองหาประโยชน์ให้ตัวเองได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคุณได้เข้าไปนอนฝันถึงเงินของคนอื่นในคุกแน่” พรรัชต่อตากับเธอโดยไม่มีวี่แววของความโกรธเคืองแต่ประการใด ถามกลับด้วยรอยยิ้มปนขัน “หนูมีหลักฐานอย่างนั้นหรือ” พรรณวษาพยายามระงับอารมณ์ตื่นกลัว เพราะเธอไม่มีอะไรสักอย่างที่จะเอาผิดคนพวกนี้ แล้วนึกถึงท่าทีของธรณ์ ลอบกลืนน้ำลายเมื่อคิดไปว่าธรณ์อาจมี แสร้งยิ้มอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ” เธอไม่พูดว่าตัวเองมีหลักฐานเด็ดอะไรที่จะเอาผิดอีกฝ่ายได้ ทำเพียงแสดงท่าทีไม่หวั่นเกรงเท่านั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีคนเข้ามาเรียกหาเธอ จึงได้ผละออกจากตรงนั้นมา หันหลังหลบจากพรรัชไปอีกทาง พร้อมกับพ่นลมหายใจออกจากปากเบา ๆ อาสองมีโรคซุกซ่อนอยู่อีกสองรายการ นอกจากความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเส้นเลือดแล้ว ยังพบก้อนเนื้อที่ต่อมไทรอยด์และเส้นเลือดในหัวใจตีบอีกหนึ่งเส้นด้วย แพทย์แนะนำให้ผ่าตัดหลังควบคุมความดันและน้ำตาลในเลือดได้แล้ว แต่เธออยากดูสภาพของอาสองก่อน ว่าท่านพร้อมมากขนาดไหนสำหรับการผ่าตัดครั้งนี้ พรรณวษารีบเดินเรื่อง ติดต่อกับทางแพทย์ท่านเดิมของอาสอง เมื่อทางนั้นตกลงรับปากแล้ว จึงบอกไปทางแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ของอาสองที่นี่ช่วยทำเรื่องย้ายตัวอาสอง โชคดีที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองทางทำงานประสานงานกันได้อย่างลงตัว จึงไม่มีปัญหาอะไรให้หนักใจ ทำเรื่องขอย้ายอาสองเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลปลายทางได้เป็นอันสำเร็จใน เธออยู่เฝ้าอาสองคนเดียวตั้งแต่ท่านเข้ารักษาตัว อาสองเริ่มรู้สติแล้ว แต่ยังสะลึมสะลือ ตื่นไม่เต็มที่นัก ก่อนหลับลงไปอีกครั้งด้วยฤทธิ์ของยา จนถึงวันที่เธอต้องทำงาน พรรณวษาตัดสินใจลางานเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทำงานมา เพราะอยากอยู่รอแพทย์ที่เคยรักษาอาสอง จะได้สอบถามท่านว่าอาการของอาสองตอนนี้มีอะไรน่าเป็นห่วงบ้าง และอันตรายมากน้อยขนาดไหน “เป็นยังไงบ้างครับ” แพทย์ถามด้วยน้ำเสียงอาทร อาสองยิ้มเพลีย ๆ แล้วว่า “ผมน่าจะหายดีแล้วล่ะครับ เลยจะขอหมอกลับวันนี้เลย” “ยังก่อน ยังไม่ใช่วันนี้หรอกคุณ ต้องรอผลตรวจอีกเยอะเลย” “ผมป่วยหนักหรือหมอ” “ไม่หนักมาก แต่หลายโรคเหลือเกิน แล้วนี่ทำไมถึงขาดยาได้” “ก็มีหลงลืมบ้างล่ะครับ” พรรณวษามองอาสองที่ตอบคำถามของแพทย์ได้ ค่อยโล่งใจ อยู่เป็นเพื่อนท่านทั้งวัน บอกว่าวันรุ่งขึ้นเธอต้องไปทำงาน ก่อนจะออกไปปรึกษาพยาบาลประจำหอพักผู้ป่วย เพื่อขอคนมาช่วยดูแลท่าน ซึ่งก็ได้พนักงานเฝ้าไข้มาคอยดูแลเฝ้าให้ รุ่งขึ้น พรรณวษาจำต้องไปทำงาน ตั้งใจว่าช่วงเย็นจะกลับมาดูอาสองทันทีที่เสร็จจากงานประจำ และเช้านี้เชอรีนมาถึงก่อนเธอ แต่ไม่ได้มาเพื่อทำงาน เชอรีนนั่งเคาะโต๊ะตัวเอง ตามองจับที่เธอนิ่ง พอเห็นว่าเธอนั่งลงที่โต๊ะแล้ว อีกฝ่ายจึงยกมือเรียกให้เธอเข้าไปหา แต่พรรณวษาทำทีเป็นไม่เห็น เอื้อมมือหยิบแฟ้มงานที่ติดโพสต์อิตไว้ เปิดออกอ่าน เพื่อลงมือทำงานของตัวเองต่อไป เชอรีนชักสีหน้าพร้อมขยับลุก เดินกระแทกส้นเท้ามาหยุดที่โต๊ะของเธอ “เมื่อวานลางานกับใครไว้” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏที่มุมปากของพรรณวษา เธอวางมือจากงาน เงยหน้าขึ้นเพื่อตอบ “คุณเอื้อมพรค่ะ” “ที่จริงต้องลางานกับหัวหน้างานที่ตัวเองขึ้นตรงสิ ไม่ใช่กระโดดข้ามไปลากับพี่เอื้อม” พรรณวษาไม่พูดอะไรอีก เพราะไม่เห็นสาระจากเรื่องนี้ ปกติเวลาเด็ก ๆ ในฝ่ายจะลางานก็มักแจ้งกับทางเอื้อมพรอยู่แล้ว เธอไม่เข้าใจว่าเชอรีนต้องการอะไรจากเธอกันแน่ ขณะก้มหน้าทำงานอยู่นั่นเอง เชอรีนก็ว่าขึ้นอีก “อย่าลาให้มันบ่อยนักนะ ถ้าบ่อยมาก คงต้องหาผู้ช่วยคนใหม่ที่เขาพร้อมทำงานกว่านี้ มาทำงานแทนคนเก่า ๆ ที่กินเงินเดือนมากกว่าคนอื่นแต่แอบอู้งานเป็นประจำ” บอกจบ เอื้อมพรเดินผ่านประตูเข้ามาพอดี เชอรีนปั้นหน้ายิ้มแล้วตรงไปหา คุยอะไรกันครู่เดียว ก็เห็นพากันออกไปด้านนอก คงเป็นห้องประชุมเล็กนั้นเอง คล้อยหลังหัวหน้าดีกรีนักเรียนหัวนอกแล้ว รุ่นน้องสองสาวที่ทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำงานพร้อมคนอื่นในห้อง ก็วางมือจากงานทันที ตรงรี่เข้ามารุมล้อมโต๊ะของเธอ           “เห็นหน้าใส ๆ อ่อน ๆ ที่ไหนได้ ร้ายชะมัด”           “นั่นสิ ชีเอาที่ไหนมาพูด กฎใหม่หรือไง ลางานต้องลากับชี บ้าหรือเปล่า ปกติใครในฝ่ายลา ก็ต้องแจ้งพี่เอื้อมทั้งนั้น”           พรรณวษาไม่ได้เสริมอะไรใคร ได้แต่ฟังอย่างเดียว           แซนมุ่ยหน้า แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจเธอ “อย่าคิดมากนะคะพี่พรรณ หนูอยู่ข้างพี่พรรณเสมอค่ะ”           “เซฟพี่พรรณ” อีกคนโพล่งขึ้น           “ฉันด้วย พี่ด้วย หนูด้วยค่ะ”           เสียงพี่ ๆ น้อง ๆ ในฝ่ายต่างพากันส่งเสียงตอบรับเอาใจช่วยเธอ แต่พรรณวษาหาได้สนใจเชอรีนไม่ เธอหันไปที่แซน แล้วร้องของานจากสาวรุ่นน้อง ที่ฝากให้ทำเมื่อวันก่อน “ถ้าอยู่ข้างพี่ งานที่พี่ขอ...” ยังว่าไม่จบ แซนยิ้มแป้น ตอบออกมาว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ครั้งนี้รับรองว่าไม่มีพลาดอย่างแน่นอน” พูดจบวิ่งปรู๊ดไปเอางานมาส่งให้ทันที “นี่ค่ะพี่พรรณ”           “ขอบใจมากน้องแซน” รับงานจากอีกฝ่ายแล้ว ก้มหน้าทำงานต่อจากนั้น           พรรณวษามาทำงานทุกวัน ไม่ได้ลางานอีกเลย หลังจากลาไปรอบแรก แต่เมื่อเลิกงาน เธอจะตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่ออยู่เฝ้าอาสองต่อจากคนที่ว่าจ้างเอาไว้ในตอนกลางวัน อาการของท่านไม่ได้หนักมากอย่างที่แพทย์เจ้าของไข้พยากรณ์ไว้เมื่อแรก แต่เพราะมีหลายโรคที่แทรกซ้อนกันอยู่ จึงทำให้การรักษายากกว่าที่ควรจะเป็น เลยนอนพักยาวเป็นสัปดาห์ โดยมีพรรณวษาเข้าออกโรงพยาบาลทุกวันหลังจากนั้น พร้อมเสียงร่ำร้องของอาสอง ว่าอยากออกจากโรงพยาบาล ที่เธอได้ยินทุกวันจนเบื่อจะฟังและปลอบให้ท่านนอนพักต่อไป จนกว่าอาการจะดีขึ้นกว่านี้    
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม