จะเอา

10689 คำ
เมื่อหนึ่งคนที่รักแน่วแน่ ถึงแม้เธอจะทำผิดซ้ำซากแค่ไหน แต่ด้วยหัวใจที่มันรัก ก็มักจะให้อภัยเธอเสมอ...แต่เธอกลับไม่เคยที่จะสำนึกยังคงทำแบบเดิมซ้ำซาก และจากลากันไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้เพียงหัวใจดวงน้อยไว้ข้างหลัง โดยไม่หันมามองสักครั้ง และลาลับจากไปอย่างไร้หัวใจ "คูมพ่อ คูมพ่อ...เมื่อไหร่คูมแม่จะมาหาหนูคะ?" น้ำเสียงสดใสของเด็กหญิงที่หน้าตาน่ารักอายุสามขวบเอ่ยถามคนเป็นพ่อด้วยภาษาของเด็กที่ยังพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ คำถามที่เหมือนเดิมตั้งแต่เด็กหญิงหัดพูด เธอจะถามคนเป็นพ่อเสมอหากนึกถึง 'เมื่อไหร่คุณแม่จะมาหาหนู' มันเป็นคำถามที่ทำหัวใจของคนเป็นพ่อนั้นเจ็บร้าวทุกครา และทุกครั้งก็จ้องมองหน้าเด็กหญิงที่ไร้เดียงสานี้ด้วยแววตาเศร้าและสงสารลูกสาวจับใจ "คุณแม่ไปทำงานอยู่ไกลมาก ๆ เลย" "แล้วคูมแม่คิดถึงหนูไหมคะ?" ความสงสัยที่ไร้เดียงสา เด็กหญิงเงยหน้ามองคนเป็นพ่ออย่างรอคำตอบ จะบอกลูกสาวที่ยังไม่เข้าใจโลกอย่างไร้เพื่อรักษาความรู้สึก ในเมื่อแม่ของเธอนั้นทิ้งเธอไว้ข้างหลังตั้งแต่ยังแบเบาะ ปล่อยให้คนเป็นพ่อนั้นเลี้ยงดูเพียงลำพังมานานแรมปี "คิดถึงสิคะ คุณแม่คิดถึงหนูอยู่แล้ว" ใบหน้าของเด็กน้อยที่เปื้อนรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบทำให้คนเป็นพ่อนั้นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา ยิ่งมองหน้าลูกสาวก็ยิ่งสงสาร ตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลกก็ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักจากคนเป็นแม่สักครั้ง อ้อมกอดที่สามารถทำให้เธออบอุ่นในหัวใจ อ้อมกอดที่รักและห่วงใยเธอ เป็นพ่อเสมอที่พยายามมอบมัน เพื่อไม่ให้ลูกสาวที่ไร้เดียงสานั้นบกพร่อง "อยากเจอคูมแม่จังเลยค่ะ" เด็กหญิงเปรยยิ้มเงยมองหน้าคนเป็นพ่อ...มือเล็ก ๆ โอบกอดเอวของคนเป็นพ่ออย่างต้องการความรักและการปลอบใจ "สักวัน เมื่อถึงเวลา คุณแม่จะมาหาลูกสาวที่น่ารักนะคะคนเก่งของพ่อ" ----- ผมชื่อ ศรายุทธ เรียกสั้น ๆ ว่า 'เจ' ตอนนี้อายุ 31 ปี ผมมีธุรกิจเล็ก ๆ ที่ร่วมหุ้นกับเพื่อน เราสนิทกันจนรู้ใจ เพื่อนผมคนนี้เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่คอยฉุดผมขึ้นมาจากความระทมที่เคยเป็น จนผมมีวันนี้และใช้ชีวิตรอดพ้นมาได้ด้วยความพยายาม อดีตที่ทำร้ายผมจนแทบเสียคน จนผมนั้นแทบยืนไม่ไหว เมื่อผู้หญิงที่มีใจและรักมาก แม้เราสองคนจะมีโซ่ทองคล้องใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะรั้งเธอให้อยู่กับด้วยร่วมเรียงเคียงหมอนไปจนแก่เฒ่าได้ แต่ด้วยสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ผมทอดทิ้งเธอไม่ได้ จึงทำให้ผมนั้นฮึกเหิมและหยัดยืนใหม่ด้วยมีเธอนั้นเป็นกำลังใจ และให้มีชีวิตอยู่ต่อ  "คูมพ่อขา ไอติมแต่งตัวเสร็จแล้วค่ะ อยากไปโรงเรียนแล้ว" เสียงใส ๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กบอกกล่าวเมื่อเธอนั้นวิ่งแจ้นเข้ามาในห้องนอนที่มีคุณพ่อกำลังยืนแต่งตัวเพื่อเตรียมไปทำงาน และส่งเธอไปโรงเรียนอนุบาล  "เสร็จแล้วเหรอคนสวยของพ่อ พร้อมหรือยังคะ" คนเป็นพ่อนั่งยอง ๆ ให้เสมอตัวลูกสาวตัวเล็กที่เข้าสู่วัยกำลังซนและช่างสงสัย การไปโรงเรียนที่เหมือนลูกสาวนั้นจะชอบใจ ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อนั้นอุ่นใจที่เห็นรอยยิ้มของลูกสาว  "พร้อมมาก ๆ เลยค่ะ ไปโรงเรียนกันเลย" เด็กหญิงตัวกลมน่ารักแสดงท่าทางระเริงใจ เมื่อการไปโรงเรียนคือสิ่งที่เธอนั้นต้องการ  แม้หน้าที่การงานที่หนักอึ้งของคนเป็นพ่อ แม้จะเหนื่อยและท้อแค่ไหน แต่เมื่อได้เห็นหน้าลูกสาวที่มีรอยยิ้มมันก็ทำให้คนเป็นพ่อนั้นสุขใจและคลายความเหนื่อยล้าลงได้  "ไอติมอย่าซนกับคุณครูนะคะ หนูต้องเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนด้วยนะรู้ไหม เดี๋ยวตอนเย็นพ่อพาไปกินของอร่อย ๆ" คนเป็นพ่อบอกกล่าวระหว่างทางที่ขับรถออกมาจากบ้าน ใบหน้ากลมมนของลูกสาวที่เปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข กับการที่เธอนั้นได้ไปโรงเรียน การจะได้มีเพื่อนเล่นใหม่ ๆ เพราะการอยู่คนเดียวที่บ้านเธอคงจะเหงา เมื่อพ่อบอกกล่าวถึงสถานที่แห่งใหม่อย่างปลอบประล่อม มันย่อมทำให้เธอนั้นต้องการจะพบปะโลกกว้าง  "ไอติมจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังคูมครูค่ะ" เสียงสดใสวาจาที่ดูน่ารัก ถ้อยคำบางคำที่ยังพูดไม่ชัดเจน คือความน่ารักของเด็กหญิงไอติม เด็กหญิงที่มีใบหน้าสดใสเปื้อนยิ้มตลอดเวลาหากเธออยู่กับคุณพ่อที่ฟูมฟักเธอมาตั้งแต่แบเบาะ  "เก่งมากค่ะคนเก่งของพ่อ" มือหนาของคนเป็นพ่อลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่ ไม่ว่าจะยามใดที่ท้อใจเพียงมองหน้าลูกทุกอย่างที่ทำให้เป็นทุกข์ท้อแท้จะคลายมลายทันที  "ไอติมรักคูมพ่อนะคะ" คำบอกรักพร้อมกับรอยยิ้มของลูกสาวที่นั่งเบาะข้าง ๆ ทำเอาคนเป็นพ่อนั้นน้ำตาคลอ  "พ่อก็รักไอติมค่ะ รักมากๆ เลย"  "ไอติมรักคูมพ่อเท่าฟ้าเลยค่ะ" "เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับนะคะ" คนเป็นพ่อเดินมาส่งลูกสาวตัวน้อยหน้าห้องเรียนอนุบาล ที่เด็กหญิงไอติมนั้นต้องเรียนประจำ ร่างกายสูงกำยำของคุณพ่อเจนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าลูกสาว มือหนาลูบหัวแผ่วเบาอย่างแสนรัก ก่อนจะจูบซับลงกลางหัวทุยของเด็กหญิงไอติมที่ไร้เดียงสา "ไอติมจะรอคุณพ่อนะคะ" เด็กหญิงส่งยิ้มอย่างน่ารักพร้อมบอกกล่าวคนเป็นพ่อ "ผมฝากไอติมด้วยนะครับครูไอซ์" คุณพ่อเจลุกยืนเต็มความสูง แล้วว่ากล่าวอย่างฝากฝังลูกสาว "ไม่มีปัญหาค่ะคุณพ่อ จะดูแลให้อย่างดีเลยค่ะ" คุณครูไอซ์คนสวยที่ยืนรอรับเหล่านักเรียน เปรยยิ้มอ่อนพร้อมกับกล่าวอย่างให้ความเชื่อมั่น ในการดูแลเด็กหญิงไอติม เพื่อไม่ให้ผู้ปกครองนั้นกังวล "น้องไอติมสวัสดีคุณพ่อค่ะ" คุณครูไอซ์ก้มมองเด็กหญิงตัวเล็ก พรางบอกอย่างพร่ำสอนด้วยความเป็นเด็กที่ยังไม่ประสา "สวัสดีค่ะ บ๊ายบาย" เด็กหญิงไอติมยิ้มสดใส โบกมือลาคุณพ่ออย่างน่ารัก สายตาของคนเป็นพ่อมองตามลูกสาวที่เดินจับมือคุณครูประจำชั้น เข้าไปยังอาคารเรียน การเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องฝ่าฟันเลี้ยงเด็กเพียงลำพัง ไม่ได้ง่ายเลยกว่าจะผ่านพ้นมาได้ ยิ่งลูกสาวเติบโตขึ้น การเผชิญโลกใบใหม่ยิ่งทำให้เธอนั้นสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่มีแม่อย่างเช่นคนอื่น ๆ   ความเจ็บปวดที่คนเป็นพ่อนั้นต้องเก็บกั้น ทุกครั้งที่ลูกสาวไร้เดียงสาถามว่า   'แม่ไปไหน' 'แม่จะคิดถึงหนูไหม'   คำถามเหล่านี้ที่ออกจากปากของลูกสาว ยิ่งบีบรัดหัวใจของคนเป็นพ่อให้เจ็บร้าวจนแทบน้ำตาไหล เมื่อไม่รู้จะตอบลูกสาวอย่างไรดีกับคำถามเหล่านี้ที่ยากนักที่จะตอบให้ลูกสาวที่ยังอ่อนต่อโลกนั้นเข้าใจ . . การเข้ามาในห้องเรียนที่ยังคงมีผู้ปกครองเดินเข้ามาส่งและนั่งเล่นกับเหล่าลูก ๆ ของตน เด็กหญิงไอติมที่นั่งโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ส่องสายตามองภาพเหล่านั้นด้วยแววตาละห้อย แม้มือน้อย ๆ จะหยิบจับของเล่นตัวต่อหลากสีอยู่ก็ตาม เพื่อน ๆ ที่มีแม่นั่งยิ้มและพูดคุยทำให้เด็กหญิงนึกน้อยใจและคิดถึง "น้องไอติม ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ?" เสียงหวานละมุนของคุณครูไอซ์เอ่ยถาม เมื่อสังเกตอยู่นานกับอาการและสีหน้าของเด็กหญิงนั้นเป็นจนนึกห่วงใยและเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าเธอ "เปล่าค่ะครูไอซ์" เด็กหญิงตอบกลับเสียงเศร้า แล้วนั่งก้มหน้า มือน้อย ๆ สารวนกับของเล่นที่เต็มตะกร้า "ทำไมไม่เป็นเล่นกับเพื่อนล่ะคะ มีอะไรไหมเอ่ยบอกครูได้นะ" คุณครูไอซ์เอื้อมมือลูบหัวเด็กหญิงอย่างแผ่วเบาละมุน การสัมผัสที่อยากให้เด็กหญิงนั้นรู้สึกปลอดภัยและไม่โดดเดี่ยว "ไม่มีค่ะ ไอติมเล่นคนเดียวได้ค่ะ" เด็กหญิงไอติมเงยหน้ามองคุณครูที่นั่งตรงข้าม และส่งยิ้มอ่อนให้เหมือนกับเธอนั้นไม่ได้มีสิ่งใดที่อยู่ในใจ "เดี๋ยวจะเข้าแถวแล้ว ครูว่าเก็บของเล่นเข้าชั้นดีกว่าเนอะ เตรียมตัวไปตั้งแถวกันดีกว่า" คุณครูไอซ์ยิ้มหวานและบอกเด็กหญิง แม้จะสงสัยกับการสิ่งที่เห็นทางสีหน้า แต่ก็ไม่อยากจะเร้าหรือ เพราะไม่รู้ว่าเด็กหญิงนั้นมีสิ่งใดในใจ ไม่แน่ใจว่าจะใช่สิ่งที่คนเป็นครูนั้นพอจะคาดเดาจากสายตาได้หรือไม่ "ค่ะ" เด็กหญิงตอบรับและเริ่มขมักขะเม้นเก็บของเล่นลงตะกร้าตามที่คุณครูนั้นบอกกล่าว   มื้อกลางวันที่เหล่าเด็กอนุบาลนั้นทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เข้าสู่การสันทนาการตามอัธยาศัย กลุ่มเพื่อนในห้องจับกลุ่มกันเล่นเครื่องเล่นหลากหลาย แต่เด็กหญิงไอติมกลับอยู่ลำพัง นั่งมองเพื่อน ๆ นั้นเล่นเครื่องเล่นอย่างสนุกสนาน การมาเรียนที่คิดว่าจะสนุกกว่าการอยู่บ้านแต่ไม่ได้เป็นดั่งที่เธอนั้นคิดสักนิด  "ไอติม แม่ไอติมทำไมไม่มาส่งเหมือนเราล่ะ" อยู่ ๆ ก็มีเพื่อนหญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ห้องเดียวกันเอ่ยถามขึ้น "แม่เราไปทำงานไกล มาส่งไม่ได้" เด็กหญิงตอบเพื่อนอย่างเดียงสา ตามที่คนเป็นพ่อนั้นเคยบอกกล่าวจนเธอนั้นรับรู้ "ไม่มีแม่เหรอ" เพื่อนหญิงย้อนถาม "เรามีแม่นะ แค่แม่ไปทำงานเฉยๆ " เด็กหญิงไอติมย้อนแย้งในสิ่งที่เธอนั้นรับรู้จากปากของคนเป็นพ่อ "ไม่มีแม่ล่ะสิ ใช่ไหมล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า" เพื่อนหญิงพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย และปล่อยหัวเราะเสียงดัง "ก็บอกแม่ไปทำงานไง เรามีแม่" "ไอติมไม่มีแม่ คิก คิก" เพื่อนหญิงกล่าวเย้ยพร้อมกับเดินหัวเราะมือปิดปากอย่างชอบใจที่ได้ล้อเด็กหญิงไอติม "เรามีแม่นะ ฮึก อึก ไอติมมีแม่ ฮืออออออ" เด็กหญิงเปรยออกมาทั้งน้ำตา เมื่อคำที่เพื่อนนั้นล้อทำให้เธอเก็บกั้นน้ำตาและความเศร้าไว้ไม่ไหว มือเล็ก ๆ ยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้ม ดวงตากลมโตแดงก่ำ พูดพร่ำออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นเสียใจก่อนจะเดินออกมาจากจุดเดิมด้วยความโศกเศร้ากับการที่เพื่อนล้อว่า เธอนั้นไม่มีแม่เฉกเช่นกับเพื่อนคนอื่น ๆ  ----- เวลาเลิกโรงเรียนของเด็กหญิงไอติม วันนี้เด็กหญิงดูเงียบปากผิดปกติ การนั่งในรถของคุณพ่อที่ในทุกวัน เด็กหญิงไอติมจะต้องสรรหาสารพัดคำถาม มากมายต่อการเล่าเรื่องราวที่พบเจอ "ไอติม เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" คุณพ่อเจที่นั่งสังเกตลูกสาวอยู่นานเอ่ยขึ้น มือก็บังคับพวงมาลัย สายตาก็มองลูกสาวเป็นระยะ ๆ "ไม่เป็นอะไรค่ะคุณพ่อ" เด็กหญิงหันไปฉีกยิ้มให้คนเป็นพ่อด้วยความพยายามปั้นแต่ง "วันนี้หนูดูเงียบ ๆ " "ไอติมง่วงค่ะ ฮ้าว~~ ..... "เด็กหญิงทำท่าทางหาวนอน พร้อมกับมือเล็ก ๆ ที่ปิดปากไว้อย่างน่าเอ็นดู "ถ้าอย่างนั้นหนูก็นอนนะ ถึงแล้วเดี๋ยวพ่อปลุก" คนเป็นพ่อเอ่ยบอกพร้อมกับเอื้อมมือลูบหัวลูกสาว "ค่ะ" เด็กตอบรับด้วยรอยยิ้ม และนอนนิ่งหลับตาลงทันใด การนอนหลับใหลที่ไม่ได้หลับจริง ๆ เพียงแค่เด็กหญิงนิ่งกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เป็นเท่านั้น ปมด้อยที่เพื่อนล้อเรื่องแม่ของเธอกำลังซึมซับเข้าสู่ความรู้สึกของเธอทีละน้อย ห้างสรรพสินค้าที่มีผู้คนมากมาย สายตาเด็กหญิงมองโดยรอบ องค์ประกอบของครอบครัวที่มีครบสมบูรณ์ด้วย พ่อ แม่ และลูก พอหันกลับมามองตัวเองคำที่เพื่อนก็สะกิดตามน้ำตาของเด็กหญิงให้พานไหล "ไอติมร้องไห้ทำไมลูก" คนเป็นพ่อเอ่ยถามอย่างห่วงใย เมื่อเด็กหญิงนั้นกำลังร้องไห้ นั่งก้มหน้ามองถ้วยไอศกรีม "ฮึก ๆ คูมพ่อขา ทำไมไอติมไม่มีแม่ คิดถึงแม่" แม้เด็กหญิงจะไม่รู้ว่าแม่ของเธอมีหน้าตาเป็นแบบไหน ด้วยความรู้สึกลึกๆ เธอยังพร่ำหา คำถามที่ลูกสาวเปล่งออกมา ทำเอาหัวใจของคนเป็นพ่อนั่นหล่นวูบลงสู่ปลายเท้า ดวงตากลมโตเอ่อคลอด้วยม่านน้ำตาที่แสนเดียงสา เธอเงยหน้ามองคนเป็นพ่อที่นั่งข้าง ๆ อย่างน่าสงสาร คนเป็นพ่อที่มองหน้าลูกชั่วครู่ และอุ้มเธอให้นั่งตัก โอบกอดเธอด้วยรักที่คนเป็นพ่อนั้นมี อยากให้เธอสัมผัสอ้อมอกที่เปี่ยมล้นของคนเป็นพ่อสื่อถึงเธอ "ไอติม ไม่ร้องนะคะ หนูยังมีพ่อที่รักหนูอยู่ตรงนี้ สักวันแม่จะมาหาหนูนะคะ คนเก่งไม่ร้องนะ" คนเป็นพ่อที่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดปลอบ ความเป็นผู้ชายที่ความอ่อนโยนน้อย คนเป็นพ่อจึงทำได้เพียงเท่านี้ "ฮึก ๆ ไอติมอยากมีแม่ ฮือ" เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น คราบน้ำตาเปียกชุ่มบนเสื้อผ้าของคนเป็นพ่อ "โถ ไอติมลูก" คนเป็นพ่อยิ่งเห็นลูกสาวร้องไห้พร่ำเช่นนี้ก็ยิ่งสงสาร ทำได้เพียงพูดปลอบใจ ฝ่ามือลูบหัวเล็กนั้นอย่างปลอบประโลม โอบกอดเธอไว้แนบอกด้วยรักที่มีให้ทั้งใจ "ไอติมไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว ฮึก ๆ " เด็กหญิงร้องไห้เสียใจฟูมฟายตามประสา เมื่อสถานที่เเห่งใหม่นั้น มันสร้างความเจ็บปวดหัวใจให้แก่เธอ เพื่อนที่โรงเรียนล้อกับสิ่งที่เธอขาดหาย จนวันนี้เธอร้องไห้ฟูมฟายเสียใจ "ทำไมล่ะ....มีอะไรที่โรงเรียนหรือเปล่า บอกพ่อสิ" คนเป็นพ่อเริ่มกังวล เมื่ออยู่ ๆ ลูกสาวก็กล่าวขึ้นจนสะกิดความอยากรู้ของคนเป็นพ่อ "อึก ฮึก พะ เพื่อนบอกไอติม ไม่มีแม่ ฮึก ฮึก ไอติมไม่อยาก ปะ ไปโรงเรียนแล้ว" เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ฟังแทบไม่เป็นศัพท์ "มีสิคะ ถ้าไอติมไม่มีแม่ หนูเกิดมาได้ยังไงล่ะจริงไหม?" คนเป็นพ่อพยายามสรรหาคำพูดที่ทำให้เด็กหญิงคิดตาม "ฮึก อึก" เธอดูสงบลงและนิ่ง มือเล็กๆ ปาดน้ำตาอย่างลวกๆ ตามประสา เงยหน้ามองคนเป็นพ่อที่พูดอย่างตั้งใจ "จะเกิดมาได้ต้องมีคุณแม่ที่อุ้มท้องโต ๆ .... แบบนั้น" คนเป็นพ่อที่สายตามองเห็นหญิงตั้งครรภ์ที่เดินอยู่ด้านนอก ยกตัวอย่างให้เด็กหญิงได้คิดตาม "แล้วคูมแม่ไปไหน ทำไมไม่อยู่กับไอติม" เด็กหญิงยังคงถามต่อ "คุณแม่อยู่ไกลมาก สักวันคุณแม่จะมาหาหนู เชื่อพ่อนะลูก" คนเป็นพ่อโอบกอดลูกสาวอย่างนึกสงสาร ทุกครั้งที่เธอถามหาคนเป็นแม่ มันทำหัวใจของคนเป็นพ่อเจ็บปวดแทบใจสลาย แม้จะติดต่อคนเป็นแม่แท้ ๆ ที่อยู่แสนไกลคนละซีกโลกด้วยเธอนั้นมีครอบครัวใหม่อยู่ต่างแดน แต่ก็ยังติดต่อกันผ่านเฟซบุ๊ก ร้องขอให้เธอนั้นมาหาลูกบ้างแค่การโทรทางไกลเห็นหน้าก็ยังดี แต่เธอนั้นก็ปฏิเสธคุณพ่อเจที่ยังเฝ้าหวัง ไม่ได้หวังให้เธอนั้นกลับมาหา แต่หวังว่าเธอจะยอมคุยกับลูกสาวตัวเล็กบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น....แม้ว่าลึก ๆ เขาจะรอเธออยู่ก็ตาม และการมีคนใหม่ไม่ได้มีในความคิดของพ่อเจ เพราะเขานั้นห่วงลูกสาว กลัวเขาคนใหม่นั้นจะรับคุณพ่อลูกติดอย่างเขาไม่ได้ และรักลูกสาวของเขาไม่มากพอ “ไอติมคะ...ตื่นไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวสายน้า” เสียงปลุกของคุณพ่อเจที่พยายามเรียกลูกสาวที่ยังนอนจมเตียง เมื่อยามนี้เป็นเวลาที่เธอนั้นควรจะตื่นและเตรียมตัว “อื้อ” เสียงเค้นในลำคอเล็กแผ่วเบา ดวงตากลมยังคงหลับพริ้มไม่ยอมตื่น เธอรู้สึกตัวแล้วแต่เพียงแค่เรื่องราวที่ถูกเพื่อนล้อนั้นทำให้เธอไม่อยากจะไปโรงเรียน “ตื่นได้แล้วคนเก่ง” คุณพ่อเจที่นั่งลงข้าง ๆ เด็กหญิงตัวเล็ก ใช้ฝ่ามือลูบหัวลูกสาวที่นอนกอดตุ๊กตาหมีอย่างแผ่วเบา “น้องไอติม เหมือนจะไม่ฉบายเลยค่ะ” เด็กหญิงบอกกล่าวคนเป็นพ่อที่นั่งมองเธอด้วยสำเนียงที่ยังพูดไม่ชัดถ้อยคำ สิ่งที่บอกไปเธอไม่ได้รู้สึกจริง แต่เป็นสิ่งที่เธอกำลังแสดงละครเพราะไม่อยากพบเจอกับเพื่อนร่วมห้องที่พูดแทงใจของเธอ “เมื่อวานหนูยังดี ๆ อยู่เลย...ไหนมาให้พ่อดูสิคะ” คุณพ่อเจที่มองลูกสาวอย่างสังเกตการณ์ อุ้มร่างเล็ก ๆ ของเธอให้มานั่งบนตัก มือเล็ก ๆ ก็ยังไม่วายหยิบติดตุ๊กตาตัวโปรดมาด้วย ใบหน้ากลมของเด็กหญิงไอติม ซบลงอกแกร่งของคุณพ่อเจอย่างออเซาะ เธอหลับตานิ่งแต่เมื่อคุณพ่อเจเอ่ยถามเธอก็จะสรรหาคำตอบให้ทันที “ลูกสาวของพ่อ ไม่สบายตรงไหนน้า มาให้พ่อวัดไข้หน่อยสิ หรือว่าต้องไปฉีดยาดีเอ่ย ห่วงลูกสาวจังเลย” “ไม่ค่ะ ไม่ ๆ ....ไม่ฉีกตูดค่ะ น้องไอติมไม่ฉีกตูด” เด็กหญิงไอติมที่เมื่อได้ยินคำว่าฉีดยา เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธรัวเร็วอย่างเผลอลืมตัว จนคุณพ่อเจที่เห็นท่าทีนั้นต้องยิ้มออกมากับการแสดงละครที่ไร้เดียงสาของเธอ “น้องไอติมหายแล้วเหรอ ดูสิส่ายหน้าอย่างกับคนไม่เป็นอะไรแหน่ะ” คุณพ่อเจทักท้วง เด็กหญิงที่แสดงละครถึงกับทำหน้าตาละห้อย ก็เธอไม่อยากจะไปโรงเรียน เมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นทำให้เธอนั้นไม่ชอบสถานที่แห่งใหม่ ที่เธอคิดว่าจะทำให้เธอนั้นหายเหงาได้ แต่เปล่าเลย มันกลับทำให้เธอนั้นหวาดกลัวกับสิ่งรอบด้าน เพื่อนร่วมห้องที่ล้อเลียนเรื่องแม่จนเธอนั้นต้องน้อยใจร้องไห้ “คูมพ่อขา...น้องไอติมไม่อยากไปโรงเรียน” เด็กหญิงบอกคนเป็นพ่อออกไปตามตรง ตุ๊กตาตัวโปรดถูกวางลงกับตักคนเป็นพ่อ วงแขนเล็กโอบกอดเอวของพ่อเจพร้อมกับใบหน้ากลมซบลงกับอกของพ่อเจ  “ทำไมล่ะคะ หื้ม” คนเป็นพ่อที่เดาอาการของลูกสาวได้ไม่ยาก ท่าทางที่เศร้าหมองทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อนั้นเจ็บปวดเหลือแสน  “ฮึก ๆ อึก....เพื่อนล้อบอกว่าน้องไอติมไม่มีแม่ น้องไอติมมีแม่ใช่ไหมคะคูมพ่อ ฮืออออออออ” เด็กหญิงที่ไม่ประสาหลั่งน้ำตาออกมาในยามเช้า คนเป็นพ่อโอบกอดลูกสาวแนบแน่นอย่างสื่อความหมาย กอดเธอด้วยรักที่คนเป็นพ่อให้ได้ ลูกสาวเพียงคนเดียวที่คุณพ่อเจทะนุถนอมมาตั้งแต่แบเบาะ และไม่คิดที่จะมีรักครั้งใหม่ตั้งแต่ภรรยาที่เป็นแม่ของลูกทอดทิ้งไป “น้องไอติม” คนเป็นพ่อที่เห็นลูกสาวร่ำไห้ยิ่งทำให้หัวใจพ่อเจ็บปวดจนเกินพรรณนา น้ำตาของลูกผู้ชายไหลอาบสองแก้มอย่างไม่อาจเก็บกั้น  ขอบตาร้อนผ่าวอย่างทานทนต่อความสงสารลูกไม่ไหว ฝ่ามือหนาลูบไล้หัวทุยเล็กอย่างปลอบประโลม  ผู้ชายที่ต้องทำงานและเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง แถมยังไม่คิดจะแต่งงานใหม่เพราะห่วงใยความรู้สึกลูกสาว ทุกครั้งที่ลูกถามไม่ว่าจะยามใด ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะไม่เจ็บปวดหัวใจ  ยิ่งเห็นลูกร้องไห้ก็ยิ่งคิดโทษตัวเองที่เลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นเธอไม่เพียงพอ “ฮืออออออออออออ น้องไอติม อึก ฮึก อยากมีคูมแม่ ฮืออ” เด็กหญิงเงยหน้ามองหน้าคนเป็นพ่อทั้งน้ำตา ดวงตากลมที่เอ่อคลอด้วยน้ำใส ๆ นิ้วมือใหญ่ของคนเป็นพ่อลูบไล้ เช็ดม่านน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะจูบซับสื่อถึงความรักของพ่อที่มีว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งและปล่อยเธอให้เดียวดาย “น้องไอติมมีคุณแม่อยู่แล้ว” “แล้วไหนล่ะคะ....คูมแม่อยู่ไหน อึก ฮึก น้องไอติมอยากหาคูมแม่ ฮืออออ....จะหาคูมแม่ จะหาคูมแม่ ฮืออออ” เด็กหญิงเริ่มโวยวายเมื่อเธอนั้นเจ็บปวดกับคำที่เพื่อนล้อเลียนถึงแม่ เธออยากมีแม่เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ อยากมีพ่อแม่ที่พร้อมหน้าพร้อมตากันไปส่งเธอที่โรงเรียนในยามเช้า ไปรับเธอที่โรงเรียนในยามเย็นเหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ ที่เธอนั้นเฝ้าแต่มองด้วยความอิจฉา ........... เด็กหญิงร้องไห้ในอ้อมกอดของคนเป็นพ่อ เธอร้องไห้อยู่นานโดยที่คนเป็นพ่อนั้นก็พยายามที่ปลอบให้เธอนั้นหายเศร้า ด้วยเวลาที่นานจนทำให้เด็กหญิงนั้นหลับไปทั้งน้ำตาคาในอ้อมอกของคุณพ่อเจ Line : เนตร เจ : เนตร ผมขอโทษนะที่ต้องรบกวนคุณตอนนี้ ผมรู้ว่าคุณคงไม่มีเวลามาก แต่ผมขอเวลาคุณสักสามนาทีได้ไหม? เนตร : มีอะไร? เจ : ผมอยากให้คุณคุยกับไอติมหน่อย เธอร้องไห้หาแต่แม่ โรงเรียนก็ไม่ยอมไป ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ผมสงสารลูก เนตร : ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะเจ คุณไม่เข้าใจหรือไงทั้งที่เคยบอกแล้วนะ ว่าอย่าติดต่อฉันมาหากสามีใหม่ฉันรู้เขาจะเข้าใจผิด เจ : แต่ไอติมก็ลูกของคุณนะ เธอโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าไม่มีแม่ คุณไม่สงสารเธอเลยหรือไงกัน เนตร : ก็คุณบอกและรับปากว่าจะเลี้ยงก็เลี้ยงไปสิ ไหนบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันแล้วไง เจ : มันก็ใช่ แต่ผมแค่สงสารลูก เธอร้องไห้จนตัวโยน คุณจะใจดำกับเธอมากไปแล้วนะ  เนตร : พอ ๆ ฉันไม่อยากคุยด้วยละ ฉันมีธุระ “ทำไมจิตใจคุณมันไร้ความเป็นแม่ขนาดนี้นะเนตร...ความรักที่ผมเคยมีให้มันได้ทำให้ใจของคุณอ่อนโยนขึ้นมาเลยหรือไง” คนเป็นพ่อวางเครื่องมือสื่อสารที่เพิ่งคุยแชทอ้อนวอนอดีตภรรยาที่อยู่แสนไกลคนละซีกโลก ก่อนจะนั่งมองลูกสาวที่ร้องไห้จนหลับคาอก ดวงตาที่บวมแดงจากการร้องไห้ทำเอาหัวใจของคนเป็นพ่อนั้นสลาย ยิ่งเห็นน้ำตาของลูกหลั่งไหล ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อนั้นเจ็บปวด ยิ่งมองเห็นลูกร้องไห้หัวใจของคนเป็นพ่อนั้นเจ็บร้าวเจียนแหลกเพราะสงสารเด็กหญิงเหลือแสน.... ----- "พี่เจคะ...ฝ่ายบุคคลแจ้งว่ามีนักศึกษาที่มาขอสมัครฝึกงาน พี่เจจะสัมภาษณ์เองหรือว่าให้ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์คะ?" เลขาหน้าห้องเดินเข้ามาบอกจนผมต้องเงยหน้ามอง เพราะได้สั่งไว้ว่าหากมีนักศึกษามาขอฝึกงาน ส่วนมากผมจะสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง "ผมสัมภาษณ์เองครับ...ขอเรซูเม่และเอกสารประกอบมาให้ผมด้วยนะ" ผมตอบกลับเลขาไป "ค่ะ...สัมภาษณ์เลยไหมคะ? แจงจะได้บอกน้องนักศึกษา" เลขาหน้าห้องถามต่อ "งั้นรอผมสักห้านาที แล้วเรียกเข้ามาพบผมที่ห้องนี้ได้เลยครับ" ผมบอกกล่าวอย่างสุภาพ ไม่ว่าจะพนักงานระดับไหน ทุกคนล้วนต้องการคนที่พูดดีด้วย และให้ความเป็นกันเอง และผมเชื่อว่าเมื่อไม่มีการเกร็งต่อตำแหน่งใด ๆ งานที่ได้เขาย่อมทำออกมาดี "ได้ค่ะ" ว่าจบรับคำเลขาหน้าของผมก็เดินย้ำเท้าออกไป ผมก้มหน้าทำงานตรงหน้าต่ออย่างไม่รีรอ แม้จะเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงาน ก็ต้องกรองคนเสียก่อน เพราะผมไม่ชอบคนที่ทำเพื่อหวังแค่ผ่าน แต่การทำงานแม้จะเพียงการเริ่มต้นหาประสบการณ์ก็ย่อมสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตัวนักศึกษาและบริษัทของผมเช่นกัน ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามทีโดยที่ผมไม่ต้องร้องบอกว่าอนุญาตหรือไม่ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าผมตั้งตารออยู่แล้ว แจงเลขาหน้าห้องเดินเข้ามาพร้อมกับนักศึกษาคนหนึ่ง ท่าทางดูมีความกระฉับกระเฉง ไม่มีทีท่าหวาดกลัวสถานที่แต่อย่างใด พร้อมจ้องมองคนทั้งสองอย่างจับสังเกต "นี่น้องศึกษาที่มาขอฝึกงานค่ะพี่เจ" แจงเลขาหน้าห้องแนะนำ "สวัสดีค่ะ" น้องนักศึกษายกมือไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้าที่ส่งมา "ประวัติและเอกสารประกอบของน้องค่ะ" ผมรับไหว้และผายมือเชื้อเชิญ แฟ้มประวัติและเอกสารประกอบถูกวางลงตรงหน้า ด้วยฝีมือเลขาของผม "ขอบคุณครับ" ผมยิ้มรับและตอบกลับเลขาอย่างเช่นที่เคยเป็น ผมไม่ค่อยโวยวายหรือขึ้นเสียงดังต่อลูกน้อง หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรงจนแก้ไขลำบาก เพราะความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำงาน ... ความผิดพลาดจะไม่เกิดก็ต่อเมื่อคน ๆ นั้นไม่ได้ทำอะไรเลย ผมเข้าใจดีเพราะผมเคยไปลูกจ้างชั้นล่างมาก่อนเหมือนกัน ก่อนจะผันตัวเองมาเปิดบริษัทเล็ก ๆ กับเพื่อน "แจงขอตัวนะคะ มีอะไรเรียกแจงได้ตลอด" เลขาหน้าห้องบอกกล่าว ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่เธอจะสาวเท้าเดินจากไป "แนะนำตัวครับ" หลังจากที่แจงเลขาหน้าห้องเดินออกไป ผมตั้งใจและบอกกล่าวแก่น้องนักศึกษาตรงหน้า ที่ไร้ทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด เธอดูมีความมั่นใจและมาดมั่นซึ่งถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างดี เพราะงานของบริษัทของผมคือการพบปะผู้คน ติดต่อกับลูกค้าเกี่ยวกับการทำแอดโฆษณาในสื่อโซเชี่ยล "ค่ะ ชื่อ มนพิชชา หรือเรียกว่า แนน ก็ได้ค่ะ ศึกษาอยู่ปี 4 มหาวิทยาลัย ZZZ .........." เธอแนะนำตัวเองไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมนั้นแทบไม่ต้องถามอะไรให้มากความ ต่างจากนักศึกษาที่เคยสัมภาษณ์ที่บางคนถามคำตอบคำเท่านั้น จากที่ผมฟังและสังเกตท่าทางของเธอจากการแนะนำตัว เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจและตั้งมั่น เธอสามารถแนะนำตัวได้อย่างฉะฉาน การพูดจาคล่องแคล่ว แววตาที่จ้องมองผมนั้นเป็นประกายและเดียงสา ดูมีความตั้งใจกับสิ่งที่ทำ ..... และผมก็ชักสนใจในตัวเด็กคนนี้แล้วสิ ถ้าได้มาร่วมงานด้วยคงจะดีไม่น้อย "พี่ขอถามนะครับ" ผมเอ่ยขึ้นเมื่อพูดคุยกับเธออยู่นาน จนเริ่มจะเห็นท่าแล้วว่าเธอคนนั้นจะต้องทำออกมาได้ดีแน่ ๆ ทุกคำถามเธอตอบออกมาอย่างไม่ติดขัดสักนิด "ค่ะ" เธอตอบรับสั้น ๆ และมีรอยยิ้มอ่อนเปื้อนบนใบหน้า "อะไรที่ทำให้มาฝึกงานที่นี่" "ที่นี่ตรงกับที่แนนเรียนมาค่ะ ไม่มีเหตุผลอื่น" เธอตอบออกมาอย่างฉะฉานและนิ่งมาก ไม่มีความวอกแวกแต่อย่างใด "แล้วอะไรที่คิดว่าพี่จะรับเราเข้ามาฝึกงาน" "เรื่องนั้นแนนไม่มั่นใจหรอกค่ะว่าคุณจะรับแนนเพราะอะไร แต่ว่าแนนมั่นใจว่าจะสามารถฝึกงานบริษัทของคุณได้ถ้าหากคุณรับแนนฝึกงานนะคะ สิ่งที่แนนต้องทำต่อไปคือรีบคว้าโอกาสและกอบโกยประสบการณ์จากที่นี่ให้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่แนนตั้งใจเพราะมันเป็นประโยชน์ต่อตัวแนนเอง....ขอโทษนะคะ ที่เหตุผลนี้ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย" "หึ .... ไม่เป็นไร ตรงดี พี่ชอบ" "..........." เธอนิ่งและมองหน้าผมชั่วครู่ ก่อนที่จะก้มหน้ามองบางอย่างเบื้องล่างนั่นคือนาฬิกาที่บอกเวลา "พร้อมฝึกงานเมื่อไหร่" "ทันทีค่ะ" ----- "คูมพ่อขา..." ลูกสาวตัวน้อยเรียกขานคนเป็นพ่อ ที่กำลังยืนแต่งตัวเพื่อเตรียมที่จะไปทำงาน และเธอก็ตั้งท่าจะติดตามไปเช่นกัน เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดพิเศษที่ทางโรงเรียนประกาศ "ว่าไงครับ?" คนเป็นพ่อย้อนถาม "วันนี้คูมพ่อจะพาน้องไอติมไปกินของอร่อย ๆ ไหมคะ?" เด็กหญิงที่ยืนกอดตุ๊กตาตัวโปรด ยืนขนาบข้างเงยหน้าตั้งมองคุณพ่อที่ตัวสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร "แล้วน้องไอติมอยากกินอะไรเอ่ย" คนเป็นพ่อนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าแล้วเอ่ยถามพรางมือหนาลูบหัวลูกสาวอย่างแสนรัก "อืม~~~....กินอะไรดีน้า~~" เด็กหญิงทำมือแตะปาก เงยหน้าเชิดอย่างคนใช้ความคิด คนเป็นพ่อที่มองการกระทำสดใสของลูกสาวด้วยรอยยิ้ม เขาจะมีความสุขทุกครั้งที่เธอนั้นไร้น้ำตา เธอจะมีใบหน้าสดใสและไร้เดียงสา "คิดช้า...หมดเวลานะ" "ไม่ค่ะไม่.....น้องไอติมคิดออกแล้ว ปิ๊ง!" "ไหนว่ามาสิครับ.....ลูกสาวคนสวยอยากกินอะไรน้า" คนเป็นพ่ออมยิ้มกับท่าทีน่าเอ็นดู มือหนาใหญ่จับหัวเด็กหญิงโยกไปโยกมาเบา ๆ "ว๊าย! คูมพ่อ เดี๋ยวผมไม่สวย เบา ๆ สิคะ" เด็กหญิงทักท้วงเมื่อพี่เลี้ยงถักเปียสองข้างให้อย่างสวยงาม เมื่อเธอนั้นต้องไปทำงานกับผู้เป็นพ่อ "แค่นี้เอง....ลูกสาวของพ่อสวยอยู่แล้ว หัวฟูแค่ไหนก็สวย" คนเป็นพ่อเอ่ยปากชมอย่างเอาใจ จนเด็กหญิงนั้นยิ้มจนแก้มกลม ๆ แทบแตก "น้องไอติมอยากกินกุ้งตัวใหญ่ ๆ ค่ะ" เด็กหญิงบอกในสิ่งที่เธอนึกได้ "โอเคค่ะ.....วันนี้ไปทำงานกับพ่อห้ามซนนะรู้ไหมเอ่ย" คนเป็นพ่อบอกย้ำ "น้องไอติมจำได้ค่ะ คูมพ่อบอกรอบที่สองแล้วนะคะ" เด็กหญิงชูสองนิ้วป้อม ๆ เป็นสัญลักษณ์ย้ำเตือนความจำ เมื่อผู้เป็นพ่อพูดย้ำขึ้นอีกรอบ "โอเคค่ะ.....พร้อมหรือยัง กระเป๋าเป้อยู่ไหนเอ่ย" "กระเป๋าเป้พี่จอยเตรียมแล้วค่ะ" บ้านชั้นสองที่มีลูกสาวตัวน้อยกับคุณพ่อเจวัยสามสิบเอ็ดคมเข้มในชุดสูทสีเทา เดินจับมือกันเดินลงบันไดมา พร้อมเสียงร้องเพลงสดใสของเด็กหญิงไอติม "จอย ขอกระเป๋าเป้ของน้องไอติมหน่อย" เสียงเข้มของคุณพ่อเจร้องบอก "นี่ค่ะ" จอยพี่เลี้ยงยื่นกระเป๋าให้ผู้เป็นนายจ้าง "ขอบคุณค่ะพี่จอย" เสียงแหลมเจื้อยแจ้วว่ากล่าว พร้อมกับมือเล็กๆ ประนมแนบอกยกไหว้อย่างนอบน้อมน่ารัก "ค่ะ.....ไปทำงานกับคุณพ่อขอให้สนุกนะคะ" จอยพี่เลี้ยงที่เอ็นดูเด็กหญิงว่ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ค่ะ น้องไอติมจะต้องสนุกแน่ๆ ..... คูมพ่อขา พี่จอยไปด้วยไหมคะ?" ประโยคแรกเธอพูดกับพี่เลี้ยง และถัดมาเธอเงยหน้าเอ่ยถามผู้เป็นพ่อที่ยืนจับมือ "ไม่ไปค่ะ.....วันนี้พี่จอยต้องอยู่ดูแลบ้านให้น้องไอติม เดี๋ยวมีคนมาขโมยกระเป๋าเจ้าหญิงไปแย่เลย" "อืม โอเคค่ะ....พี่จอยต้องกอดกระเป๋าเจ้าหญิงของน้องไอติมไว้แน่นๆ นะคะ อย่าให้ขโมยไปได้" เด็กหญิงสั่งการอย่างน่ารักน่าเอ็นดู "ค่ะพี่จอยจะกอดไว้แน่นๆ เลย" พี่เลี้ยงกล่าวย้ำอย่างให้ความเชื่อมั่นต่อเด็กหญิง "เราไปกันดีกว่าค่ะคูมพ่อ....บ๊ายบายค่ะพี่จอย" "ค่ะ เดินทางดี ๆ นะคะ" "พี่ฝากดูแลบ้านด้วยนะจอย" คุณพ่อเจฝากฝังและส่งยิ้มก่อนจะพาลูกสาวเดินไปยังตัวรถที่จอดอยู่ และมุ่งสู่สถานที่ทำงานประจำ เพียงแต่วันนี้มีลูกสาวตัวน้อยติดสอยห้อยตาม เธอเป็นที่รักแก่พนักงานในบริษัทและผู้คนก็หลงรักในความสดใสพูดเก่งอย่างเดียงสาของเธอ... "ไอติม อย่าวิ่งลูก รอพ่อก่อนเดี๋ยวล้ม" เด็กหญิงไอติม เมื่อถึงที่หมายเธอรีบหยิบกระเป๋าเป้และลงจากรถทันที โดยไม่รอผู้เป็นพ่อที่กำลังเก็บของสำคัญ "น้องไอติมจะไปรอกับพี่แจงนะคะ" เด็กหญิงตะโกนบอกผู้เป็นพ่อเมื่อสถานที่คุ้นชินเธอไม่ได้นึกกลัวใคร ผู้เป็นพ่อรีบเดินตามลูกสาว มองตามร่างเล็กที่วิ่งขวักไขว่ ค่อย ๆ ก้าวขาขึ้นบันไดมือข้างที่ว่างเว้นก็จับราวบันไดด้วยความระมัดระวัง "ไอติมเดินดี ๆ ระวังพลัดตกบันไดนะคะ" ผู้เป็นพ่อร้องบอกตามหลัง สายตาก็ยังจ้องมองไปยังลูกสาวที่ยืนรอตรงชั้นสองพรางส่งยิ้มแก่ผู้เป็นพ่อ (สวัสดีค่ะพี่เจ) (สวัสดีครับพี่) เสียงทักทายของเหล่าพนักงานเมื่อเดินผ่านก็ทักทายและยกมือไหว้อย่างเคารพ...ผู้เป็นนายจ้างที่ไม่เคยถือตัว ส่งยิ้มรับพร้อมกับจับมือลูกสาวเดินเคียงข้าง "น้องไอติม สวัสดีพี่ ๆ หรือยัง" ผู้เป็นพ่อบอกกล่าวลูกสาวตัวน้อย "สวัสดีค่ะพี่....เอ่อ....พี่อะไรคะคูมพ่อ จำไม่ได้" เด็กหญิงที่ไม่ค่อยได้มานาน เรียกขานคนเป็นพ่ออย่างขอความเห็น "โหยน้องไอติมพี่ฟ้าเสียใจแย่....จำกันไม่ได้" พนักงานสาวพูดขึ้นอย่างท่าทีน้อยใจกลั่นแกล้ง เมื่อเด็กหญิงนั้นทำท่าฉงนนึกไม่ออก "อ่า พี่ฟ้าคนสวย" เด็กหญิงพูดขึ้นอย่างเอาใจ เมื่อเธอมองแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นหน้างอง้ำดุจเสียใจ ที่เธอนั้นจำชื่อเขาไม่ได้ "อร๊าย....ปากหวานจังเลย" คนถูกเด็กชมยิ้มแก้มปริ "น้องคงนอนไม่พอฟ้า เลยบอกแบบนั้น" "โถ่ พี่เจก็ให้ฟ้าดีใจหน่อยก็ไม่ได้ นาน ๆ จะมีคนชม" ผู้เป็นนายที่ยืนยิ้มพูดแทรกอย่างดับฝัน เมื่อลูกสาวนั้นเอ่ยชมเธอจนยิ้มหน้าบาน "พี่ไปทำงานละ....อ่อแล้วนี่ไอ้ไฟเข้ามายัง" เจเอ่ยถามเมื่อนึกได้ว่านัดคุยงานกับเพื่อนที่ก่อตั้งบริษัทมาด้วยกัน "พี่ไฟมาได้สักพักแล้วค่ะ...อยู่ห้องทำงาน" ฟ้าพนักงานสาวบอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม "อ่า....ขอบใจมาก" เจเอ่ยขึ้น ความเป็นกันเองไม่ถือตัวเลือกชนชั้นทำให้ลูกน้องไม่ว่าหญิงหรือชาย ให้ความเคารพและนับถือ พนักงานทั้งหลายล้วนรักและไม่ต้องคิดยุ่งยากเลยหากจะทำงานให้ด้วยความเต็มใจหามรุ่งหามค่ำ หากงานที่มีมันล้นหลาม จนสละเวลาส่วนตัวนอนที่บริษัทก็เคยมาแล้ว "ค่ะ...งั้นฟ้าไปทำงานก่อนนะคะ" "บ๊ายบายค่ะพี่ฟ้า" "พี่แจงคนสวย สวัสดีค่ะ" เด็กหญิงไอติมทักทายพร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม "หูย น้องไอติมพี่แจงคิดถึง ทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียนคะ?" แจงเลขาสาวกล่าวทักทายพรางลูบหัวเด็กหญิงที่เดินมาหยุดข้างโต๊ะทำงาน "วันนี้โรงเรียนหยุดค่ะ น้องไอติมเลยมาทำงานกับคูมพ่อ" เด็กหญิงบอกกล่าวอย่างมีเหตุผล "แล้วเด็กฝึกงานที่พี่นัด" "รอในห้องทำงานแล้วค่ะ" "อืม....เดี๋ยวพี่คุยเสร็จ ฝากแจงพาน้องแนะนำกับคนอื่น ๆ ด้วยนะ และให้น้องช่วยงานแจง พี่เห็นแจงงานเยอะน้องคนนี้น่าจะช่วยได้" ผู้เป็นนายบอกกล่าว "โอ๊ย...กราบซบอกพี่เจเลยค่ะ" เลขาสาวหยอกเย้าด้วยท่าทางยกมือไหว้อย่างจริต คำพูดที่ล้อเล่นจนเป็นนิตย์ "เลี้ยงข้าวเที่ยงพี่ตอบแทนก็ได้นะ" ผู้เป็นนายแหวแซว จนเเจงลดมือลงหุบยิ้มแทบไม่ทัน "พี่เจ~~~ นี่ลูกน้องรับเงินเดือน?" เธอชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างเป็นคำถาม จนผู้เป็นนายนั้นยิ้มตามอย่างขบขัน "ฮ่า ฮ่า....หยอก ๆ อ้าวไอติมหายไปไหน?" "พี่เป็นใครเหรอคะ?" เด็กหญิงที่เดินเข้ามาในห้องทำงานผู้เป็นพ่อ มองเห็นหญิงสาวแรกแย้ม ใบหน้าสวยเสลานั่งอยู่ภายใน ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถามทันที "พี่มาฝึกงานค่ะ" แนนที่เห็นเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยทัก เธอจึงตอบกลับเสียงใส ด้วยในใจรักเด็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว "ฝึกงานคืออะไรเหรอคะ?" เด็กหญิงยังคงถามต่อ "มาทำงานค่ะ....มาเรียนรู้หาความรู้เหมือนหนูไปโรงเรียนไงคะ" แนนตอบในสิ่งที่เด็กหญิงสงสัย "ไม่เข้าใจ ไอติมไม่เข้าใจ" เด็กหญิงส่ายหัวอย่างงวยงง พร้อมกับเดินไปนั่งลงข้าง ๆ แนน "ฮ่า ฮ่า เดี๋ยวโตขึ้นหนูก็จะเข้าใจค่ะ...ว่าแต่ชื่ออะไรคะน่ารักจัง" "ชื่อน้องไอติมค่ะ" เด็กหญิงแนะนำ แม้จะไม่คุ้นหน้าแต่เธอก็สามารถเจรจาได้อย่างไม่ขัดเขิน "ชื่อก็น่ารัก" แนนเอ่ยชม (ไอติมไปกวนพี่แนนทำไมคะ) เสียงเข้มของผู้เป็นพ่อทักท้วง เมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วพบลูกสาวพูดเจื้อยแจ้ว "สวัสดีค่ะคุณเจ" แนนที่เห็นเจเดินมา เธอรีบลุกยืนด้วยมารยาทพร้อมยกมือไหว้ "ครับ...เรียกว่าพี่เจเหมือนพนักงานคนอื่น ๆ ก็ได้แนน" "อ่อค่ะ" แนนยิ้มรับอย่างสดใส "คูมพ่อขา...ใช่คูมแม่ไหมคะ?" เด็กหญิงไอติมเดินมาจับมือผู้เป็นพ่อแล้วเอ่ยถามตามประสาเด็ก ทำเอาคนทั้งสองนั้นต่างมองหน้ากัน "ไม่ใช่ค่ะ นี่พี่แนนมาทำงาน" ผู้เป็นพ่อรีบคลายความสงสัยเร็วพลัน "คูมแม่ก็ทำงาน คูมพ่อบอก" เด็กหญิงยังสงสัยต่อ "แต่นี่ไม่ใช่คุณแม่ คุณแม่ทำงานไกลมากเลยต้องนั่งเครื่องบิน" แม้จะเจ็บปวดในสิ่งที่ลูกสงสัย แต่คนเป็นพ่อก็พยายามที่จะอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ แม้วัยของเธอจะยังไม่สามารถเข้าใจโลกภายนอกมากนัก "พี่แนนเป็นแม่ไอติม" "เอ่อ น้องไอติมคะ พี่แนนไม่ใช่คุณแม่หนูค่ะ" แนนที่อยู่ในคราบนักศึกษารีบท้วง เมื่อเด็กหญิงนั้นป้ายสีความเป็นแม่ให้อย่างไม่ทันตั้งตัว "พี่ขอโทษแทนไอติมด้วยนะ .... คือเธอคิดถึงแม่มากไป" เจรีบกล่าวขอโทษทันที เพราะเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่เหลอหลา "จะเอาพี่แนนเป็นแม่ ไอติมจะเอา จะเอา ๆๆๆ" "ไอติม! ทำไมงอแงแบบนี้ล่ะ" คนเป็นพ่อเริ่มเอ็ดเบา ๆ เมื่อลูกสาวนั้นร้องจะเอา ๆ ไม่ยอมหยุด "ก็ไอติมอยากมีแม่" เด็กหญิงโต้แย้งพร้อมกับเงยหน้ามองหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เธอพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ดวงตาที่แนนมองเห็นทำให้เธอสัมผัสบางอย่างได้ว่า เด็กน้อยคนนี้ดูมีปมอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่ เด็กหญิงไอติมละสายตาจากแนน ก่อนจะหันทำหน้าบึ้ง ปากยู่ย่นชนจมูกใส่ผู้เป็นพ่อ "ไอติมเริ่มไม่น่ารักแล้วนะ" ผู้เป็นพ่อต่อว่า เมื่อลูกสาวชักสีหน้าเอาแต่ใจ "เอ่อ...พี่เจแนนว่า แนนขอไป..." ศึกสงครามระหว่างพ่อผู้หล่อเหลากับลูกสาวแสนพูดเก่ง ทำให้แนนที่มองเห็นนั้นอยากจะปลีกตัวออกมา เพราะว่าเรื่องราวของพ่อลูกเริ่มจะเป็นส่วนตัวลึกลงไป เกินกว่าเธอจะรับรู้ "ไม่ให้พี่แนนไป!" "ไอติม!" "คูมพ่อ!" "ทำไมถึงดื้อ!" "เอ่อพี่เจคะเดี๋ยวแนนคุยกับน้องให้เองค่ะ" แนนที่เห็นศึกเริ่มบานปลาย จึงเสนอเพื่อต้องการคลายศึกพ่อกับลูก "....อืม" คุณพ่อเจที่นึกอายเมื่อลูกสาวกล่าวอ้างหญิงอื่นยัดเยียดความเป็นแม่ เเม้จะเข้าใจดีในความรู้สึกของลูก แต่กล่าวโต้ง ๆ แบบนี้เขาก็หวั่นในความรู้สึกของคนที่ถูกยัดเยียด เพราะเธอยังสาวสะพรั่งและคงมีคนรู้ใจแล้ว "น้องไอติมจ๋า...พี่แนนว่าไอติมขึ้นเสียงใส่คุณพ่อแบบนี้ พี่แนนว่าคุณพ่อต้องเสียใจแน่ ๆ เลย เห็นไหมคะคุณพ่อนั่งนิ่งหน้าเศร้า...น้องไอติมไปขอโทษคุณพ่อนะคะ" แนนที่เป็นคนกลางเลือกที่จะนั่งลงข้างเด็กหญิง เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าระหว่างพ่อลูกเริ่มอึมครึม ความอ่อนโยนที่แนนมีเผยต่อหน้าของคุณพ่อเจ ที่ลอบมองไม่วางตายืนสองมือล้วงกระเป๋าจ้องมองอย่างสังเกต เด็กหญิงไอติมตั้งใจฟังในสิ่งที่แนนพูด เธอเริ่มปรับสีหน้าใหม่ และจ้องมองหน้าแนนอย่างพินิจ สิ่งที่บอกกล่าวเด็กหญิงหันไปมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยสายตาที่รู้สึกผิด เมื่อเธอนั้นเห็นสีหน้าของพ่อที่นิ่งเฉย มองมาที่เธออย่างสื่อความหมาย แม้เธอจะยังเยาว์วัยแต่ความรู้สึกที่พ่อเป็น เธอก็รับรู้ได้ด้วยสายใย สองขาเล็กก้าวเดินช้า ๆ ก้มหน้าก้มตาเดินตรงไปหาผู้เป็นพ่อที่นั่งนิ่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าผู้เป็นพ่อที่เอี้ยวเก้าอี้หันมองลูกสาวตัวน้อย "คูมพ่อขา น้องไอติมขอโทษค่ะ" เด็กหญิงที่พูดยังไม่ชัดถ้อยชัดคำ เงยหน้าพร้อมกับยกมือไหว้ผู้เป็นพ่ออย่างรู้สึกผิด กิริยาที่น่ารักนอบน้อมเธอถูกปลูกฝังจากพ่อและปู่ย่าแม้นานครั้งจะไปเยี่ยมหา แต่เธอก็จดจำการกระทำได้ดีด้วยความเคยชิน "ขอโทษที่ดื้อกับคูมพ่อ อึก ๆ นะ น้อง ฮึก ไอติมไม่ได้ตั้งใจ ฮือออออ" เด็กหญิงก้มหน้ามองพื้น แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น จนกลับกลายเป็นร้องไห้โฮต่อหน้าพ่อ "......." ผู้เป็นพ่อไม่ตอบใด ๆ แต่กลับอุ้มลูกสาวให้นั่งตักพร้อมกอดลูบหัวอย่างอ่อนโยน เด็กหญิงตัวน้อยสะอื้นร้องไห้ในอ้อมกอดอุ่นของผู้เป็นพ่ออย่างเดียงสา สิ่งที่ทำไปเพราะแค่อยากได้ความอบอุ่นจากคำว่าแม่ที่เธอนั้นขาดหาย ไม่ได้อยากกลับกลายเป็นเด็กดื้อรั้นโต้เถียงทำให้พ่อนั้นเสียใจแต่อย่างใด...เธอแค่เพียงอยากเรียกใครสักคนว่าแม่เหมือนเพื่อนคนอื่นบ้าง "แค่อยากมีแม่ ฮึก ฮือออออ" เด็กหญิงร้องไห้อย่างน่าสงสาร ซึ่งทำให้คนเป็นพ่อนั้นทรมานเจ็บปวดยิ่งกว่า แนนที่ยืนมองสองพ่อลูกที่กำลังปลอบกัน เธอมองภาพนั้นอย่างน่าสงสาร และก็เริ่มคาดเดาออกแล้วว่ามันคืออะไร ที่ทำให้เด็กหญิงที่แสนน่ารักเรียกร้องคำว่าแม่ "แนนออกไปหาพี่แจงนะ เธอจะเป็นคนสอนงานให้ และแนนก็เป็นผู้ช่วยพี่แจง มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามพี่แจงได้เลย" ผู้ที่เป็นนายหันไปบอกกล่าวแก่แนนให้รับรู้ เสียงนุ่มละมุนเอ่ยเรียกทำให้เธอนั้นหลุดจากภวังค์ความน่าสงสารของพ่อลูก "ค่ะ" ("ไม่ร้องนะคะคนเก่งของพ่อ") เสียงพูดปลอบที่ฟังแล้วแสนจะอบอุ่น คำพูดที่ทำให้แนนที่ได้ยินนั้นต้องชะงักฟัง ก่อนจะดึงสติให้อยู่กับตัวแล้วเดินจากไป ----- "คูมพ่อ! คูมพ่อ!" เด็กหญิงเรียกขานผู้เป็นพ่อเสียงดังเมื่อเธอนั้นเห็นบางคนยืนอยู่ตรงข้างฟุตบาท "อะไรลูกเสียงดังเชียว" ผู้เป็นพ่อที่ขับรถเพื่อจะพาลูกสาวไปกินไอศกรีมหันมองอย่างตกใจ "แม่แนนค่ะ แม่แนน" เด็กหญิงชี้นิ้วพร้อมกล่าวรัว ๆ พร้อมสายตาที่มองแนนนักศึกษาฝึกงานไม่ว่างเว้น "ไอติม อย่าเรียกพี่แนนแบบนั้นนะคะ...ไหนลูกพี่แนน" "พี่แนนยืนตรงนั้นค่ะ...พาพี่แนนไปด้วยค่ะคูมพ่อ ไปส่งพี่แนนนะคะคูมพ่อ นะๆๆๆ นะคะ" เด็กหญิงรีบเปลี่ยนสรรพนามเอ่ยเรียกเมื่อผู้เป็นพ่อทักท้วง หันมองหน้าพ่อพร้อมออดอ้อนและเรียกร้องต้องการ "ไอติม พี่แนนอาจจะมีธุระนะลูก" "จอดถามค่ะ จอดนะคะคูมพ่อ" เด็กหญิงเร้าหรือต่อผู้เป็นพ่อ "อะๆ จอดก็จอด" คุณพ่อเจยอมจอดรถเทียบตามที่ลูกสาวร้องขอ "อย่าเพิ่งลงนะคะ อันตราย" ผู้เป็นพ่อรีบปรามเมื่อเธอนั้นตั้งท่าจะเปิดประตูรถ สีหน้าของเธอมีความดีใจกับการที่พ่อสนองความต้องการให้ "พี่แนนขา พี่แนน" ทันทีที่เด็กหญิงลงจากรถได้ เธอวิ่งตะโกนเรียกขานคนที่ยืนรอรถ เสียงเรียกเล็ก ๆ ทำให้แนนหันไปมองตามเสียง เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งฉับโบกมือสะบัดไปมาส่งสัญญาณ "น้องไอติม มาได้ไงคะเนี้ย" "มากับคูมพ่อค่ะ...นั่นไง" เด็กหญิงบอกกล่าวพร้อมชี้นิ้วไปยังพ่อที่เดินตามหลังมาติดๆ "พี่เจสวัสดีค่ะ" แนนยกมือไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมยิ้มอ่อน "ครับ...แนนจะกลับบ้านเหรอ?" คุณพ่อเจเอ่ยถาม "ค่ะ...แนนรอรถเมย์ไม่มาสักที" แนนบอกกล่าวให้รับรู้ "คูมพ่อไปส่งพี่แนน" เด็กหญิงไอติมหันไปหาผู้เป็นพ่อ ใบหน้ากลมเงยมองพรางกระตุกแขนผู้เป็นพ่ออย่างร้องขอ "เอ่อ...." พ่อเจลังเลเพราะเกรงว่าคนตรงหน้านั้นอาจจะลำบากใจ เขามองหน้าแนนสลับกับลูกสาวที่กำลังส่งสายตาแป๋วอย่างลุ้นคำตอบ "พี่แนนให้คูมพ่อไปส่งนะคะ คูมพ่อไม่คิดเงิน เชื่อไอติม..." "เอ่อ ....." แนนก็กระอักกระอวลลังเลเธอรู้สึกเกรงใจ เพราะเพิ่งจะมาฝึกงานวันแรกก็ไม่อยากถูกมองไม่ดี "ใช่ไหมคะคูมพ่อ" เด็กหญิงหันไปย้อนถามผู้เป็นพ่ออีกครั้ง อย่างต้องการให้ความเชื่อมั่น "ถ้าแนนไม่รังเกียจ พี่ไปส่งก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องรอรถด้วย" "ขอบคุณนะคะแต่แนนเกรงใจพี่เจค่ะ" แนนรีบบอกอย่างที่เธอนั้นรู้สึก "พี่แนนไปเถอะค่ะ คูมพ่อไปส่งแป๊บเดียว คูมพ่อขับรถเร็วมากๆ เลยนะ" เด็กหญิงไอติม หันไปจับมือแนนพรางส่งสายตาอย่างวิงวอน "เอ่อ..." "นะคะพี่แนน" "ก็ได้ค่ะ" แนนจำนนต้องเด็กหญิงที่น่ารัก เพราะสายตาที่เธอนั้นสื่อมาทำให้แนนนั้นใจอ่อน "เย้ ๆ ๆ...ไปกันเลยค่ะ" เด็กหญิงไอติมลากแขนแนนเดินไปยังรถยนต์ที่จอดเทียบอยู่ "แนนรบกวนด้วยนะคะพี่เจ" ทันทีที่ทั้งหมดขึ้นรถ แนนที่นั่งอยู่เบาะหลังกล่าวขึ้นทันที แม้จะรู้สึกเกรงใจแต่ก็ต้องยอมต่อเด็กหญิงผู้น่ารัก "ไม่เป็นไรหรอก เล็กน้อย...ให้พี่ไปส่งแถวไหนล่ะ" เจเอ่ยถามพร้อมกับมองผ่านกระจกหลัง "แถวอพาร์มเม้นท์ kk ค่ะ" แนนบอกถึงที่หมายปลายทาง "ไปกินไอติมอร่อย ๆ " เด็กหญิงพูดแทรกด้วยน้ำเสียงระริกระรี้ดีใจ "ส่งพี่แนนก่อนนะคะไอติม" คุณพ่อเจบอกกล่าว "พี่แนนก็หิวค่ะคูมพ่อ" เด็กหญิงว่าตอบด้วยเหตุผลของเธอ ตามประสาเด็กที่คิดว่าผู้อื่นอาจจะหิวเช่นเดียวกับเธอที่กำลังเป็น "ถามพี่แนนก่อนดีไหม เผื่อพี่แนนมีธุระ" คนเป็นพ่อบอกย้ำพรางขับรถไปด้วย "แต่ไอติมหิวมากๆ เลยนะคะ หิวจนจะปวดตรงนี้" เด็กหญิงโอดครวญพร้อมใช้นิ้วเล็ก ๆ จี้ลงท้องตัวเองอย่างชี้เป้า "พาน้องกินข้าวก่อนก็ได้ค่ะ แนนไม่รีบ...น้องคงจะหิวจริงๆ " "ขอโทษแนนด้วยนะที่ทำให้เสียเวลา" คุณพ่อเจว่ากล่าว เมื่อลูกสาวนั้นเป็นสาเหตุอาจจะทำให้เธอเสียเวลา "ไม่เป็นไรค่ะ...น้องไอติมก็น่ารักดี" "คูมพ่อขา...ไปนั่งกับพี่แนนได้ไหมคะ?" เด็กหญิงเอ่ยถาม เมื่อเธอนั้นอยากจะนั่งเล่นกับหญิงสาว "กวนพี่แนนนะลูก" "ไม่เป็นไรค่ะ....น้องไอติมมาสิคะพี่แนนรอรับ" ฉันว่าจบเด็กหญิงไอติมมีความดีใจ ร่างกายเล็กค่อย ๆ โผล่มาจากช่องแคบระหว่างเบาะ และมีแนนที่คอยอุ้มพาเธอจนเธอที่หมาย หญิงสาวที่จิตใจดี เล่นหยอกล้อกับเด็กหญิงที่ช่างพูด ท่าทางของลูกสาวเมื่ออยู่กับแนนเธอร่าเริงและดูมีความสุขกว่าทุกวัน พ่อเจที่ลอบมองเป็นระยะ อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นรอยยิ้มของลูกสาวที่เผยออกมาด้วยความสุข.... "แนนกินอะไรสั่งเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ" เมื่อถึงร้านอาหาร นักศึกษาที่ลูกสาวคะยั้นคะยอเร้าหรือให้มา เกิดการประหม่าอย่างตื่นตระหนก เมื่อย่างกรายเข้ามาในร้านอาหารของห้างสรรพสินค้า อาการที่เผลอหลุดลอดออกมาทำให้พ่อเจสังเกตเห็นก่อนที่เธอจะเข้าสู่อาการปกติ "ค่ะ...แล้วแต่พี่เจเลยค่ะแนนกินได้หมด" แนนส่งยิ้มอ่อนพร้อมบอกต่อ และคนตรงหน้าก็ตอบรับด้วยการพยักหน้าก่อนจะโบกมือเรียกบริกร "พี่แนนขา หิวอะไรกินเลยค่ะ คุณพ่อจ่ายเงิน กินเยอะ ๆ ให้พุงโต ๆ เหมือนไอติม แบบนี้ ๆ" เด็กหญิงไอติมที่ดูมีความสุข พูดสาธยายพร้อมกับลูบพุงป่องกลมของตัวเองอย่างยกตัวอย่าง "กลมแบบนี้เลยเหรอคะ" แนนก้มหน้าสนใจมองเด็กหญิงที่นั่งข้าง ๆ ตั้งแต่อยู่บนรถจนตอนนี้เธอติดพี่แนนแจยิ่งกว่าเงา ผู้เป็นพ่อที่เคยให้ความสนใจกลายเป็นหมาเหงาไปเสียแล้ว "แบบนี้เลยค่ะ.....แบบไอติมกินช้างมาท้องอ้วนเลย คิก คิก ฮ่า ฮ่า" เด็กหญิงเงยหน้าหัวเรากับคนที่สูงกว่า รอยยิ้มของเธอ เสียงหัวใจที่สดใสเดียงสาของเธอ ทำให้ผู้เป็นพ่อนั้นดีใจที่ลูกสาวยิ้มได้และดูมีความสุข ความสุขที่กลั่นออกมาทางแววตากลมโตของลูกสาว "ไอติมหยุดพูดบ้างก็ได้.....พี่แนนปวดหูแล้วมั้งพ่อว่า" พ่อเจเอ่ยขึ้นเมื่อลูกสาวนั้นเอาแต่พูด นึกเกรงใจคนที่มาด้วยไม่น้อย "ไม่เป็นไรค่ะพี่เจ...น้องน่ารักดีแนนชอบ" แนนละสายตาจากเด็กหญิงหันไปบอกและส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อของเด็กหญิง ฝ่ามือเรียวก็ยังคงลูบหัวของไอติมอย่างเอ็นดู "คุณพ่อชอบว่าไอติมตลอดเลย.....ก็กลัวพี่แนนเหงาเลยพูดเป็นเพื่อนค่ะ" เด็กหญิงให้เหตุผลแก่ผู้เป็นพ่อ "สงสารพี่แนน....เพราะไอติมพูดตั้งแต่ขึ้นรถจนมาในห้าง ไอติมไม่เหนื่อยเหรอคะ พ่อเป็นห่วงกลัวไอติมกลัวเจ็บคอ" คนเป็นพ่อเย้าต่อพลางอมยิ้ม "เหนื่อยก็กินน้ำค่ะ....มีนมด้วยค่ะ นี่ไงคะ .... สู๊ด" เด็กหญิงพูดพร้อมส่ายหัวไปมาก่อนจะยกแก้วนมสดสีขาวดูดกินอย่างสาธิตให้ผู้เป็นพ่อเห็น "พูดเก่งจังเลย...." แนนที่ยิ้มทุกครั้งที่เด็กหญิงพูด ความน่ารักสดใสที่เธอเป็นเรียกรอยยิ้มให้แก่แนนได้ตลอดทั้งวัน "ปวดหูไหมคะพี่แนน" "ไม่ปวดเลยค่ะ" แนนบอกกล่าวเด็กหญิงที่ได้ฟังคำตอบนั้นยิ้มจนตาแทบปิด "พี่แนนน่ารัก ไอติมชอบพี่แนน..." เด็กหญิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างกับความรู้สึกที่เธอนั้นเป็น จนคนที่ได้ฟังนั้นถึงกับยิ้มเขินกับความช่างพูดของเด็กหญิงไอติมที่ใสซื่อและเดียงสา "น้องไอติมก็น่ารัก" แนนเอ่ยตอบในความหมายแบบเดียวกัน จนเด็กหญิงนั้นขยับเข้าไปใกล้ชิดกว่าเดิมพร้อมเงยหน้ามองด้วยรอยยิ้มสดใส เธอรู้สึกดีและอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้แนนจนแทบไม่อยากห่างกาย "แล้วคุณพ่อชอบพี่แนนไหมคะ?" ประโยคคำถามที่เอาผู้ใหญ่ทั้งสองนั้นไปแทบไม่เป็น หญิงสาวแรกรุ่นก็มีอาการหน้าแดงเคะเขิน ส่วนชายหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดก็แทบเสียการทรงตัว คำถามที่เข้าใจกันดีว่าตามประสาแต่ว่าในมุมผู้ใหญ่จะตอบอย่างไรเมื่อมันสื่อความหมายไปอีกแบบ "ว๊าว...อาหารมาพอดีเลย ของโปรดลูกสาวพ่อด้วย" คุณพ่อเจที่ปลีกตัวด้วยบริกรนั้นวางอาหารที่สั่งลงตรงหน้าไว้ทันท่วงที ก่อนที่ลูกสาวนั้นจะเร้าหรือเอาคำตอบที่ทำเอาผู้เป็นพ่อนั้นไปไม่เป็น และแนนก็ใบหน้าขึ้นสีอย่างเขินอายแทบไม่กล้าสบตามองหน้าพ่อเจเพราะเด็กหญิงที่ปั่นป่วน "ว๊าว ปลาหมึกตัวโตนอนแช่น้ำ" เด็กหญิงร้องว๊าวตาโตเมื่อเห็นอาหารของโปรดจนเธอนั้นลืมในสิ่งที่ถามผู้เป็นพ่อออกไป "ชอบปลาหมึกเหรอคะ?" "ชอบมาก ๆ เลยค่ะ ฟันไอติมหลอแต่ไอติมชอบกิน คิก คิก คิก" เด็กหญิงบอกกล่าวหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ "งั้นพี่แนนทำชิ้นเล็ก ๆ ให้นะ" "ขอบคุณค่ะแม่แนน" เด็กหญิงเผลอหลุดปากใช้สรรพนามที่เธอนั้นขาดหาย จนผู้เป็นพ่อนั้นต้องใช้สายตาในการห้ามปราม "ขอโทษค่ะพี่แนน" สายตาของผู้เป็นพ่อจ้องมองจนเด็กหญิงนั้นต้องหลบสายตา แล้วก้มหน้ามองตักก่อนจะขอโทษหญิงสาวที่เธอนั้นพลั้งเผลอเรียกว่าแม่ แนนที่เห็นด้วยความสงสารทั้งสายตาของผู้เป็นพ่อที่ค่อนไปทางดุตำหนิ ทำให้แนนนั้นรีบเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กหญิงอย่างปลอบใจ เธอเริ่มที่จะเข้าใจในสิ่งที่เด็กหญิงไอติมนั้นขาดหาย แม้จะยังไม่รู้เรื่องราวมากมายที่ก่อเกิดแต่เธอก็ไม่อยากให้เด็กหญิงนั้นเศร้า...เพราะเรื่องราวของเธอที่ประสบพบเจอก็แทบไม่ต่างกัน "ทานปลาหมึกดีกว่าเนอะ...นี่คะทานเยอะ ๆ นะจะได้ท้องโต ๆ" แนนรีบพูดเอาใจเพื่อให้เด็กหญิงนั้นคลายเศร้าและมีรอยยิ้มดังเดิม "พี่ขอโทษแนนแทนลูกพี่ด้วยนะ" สิ่งที่ทำได้คือการขอโทษแทนลูกสาว ซึ่งผู้เป็นพ่อนั้นเข้าใจความรู้สึกของลูกดี แต่การป้ายสีผู้อื่นให้เป็นแม่มันอาจจะทำให้หญิงสาวนั้นเสียหาย "แนนโอเคค่ะ...น้องยังเด็ก" "ทานข้าวเถอะ เผื่อแนนมีธุระ เดี๋ยวพี่ไปส่ง" "เมื่อยแขนไหมแนน" คุณพ่อเจที่คอยมองอย่างเกรงใจ เมื่อลูกสาวช่างพูดนั้นหลับใหลในอ้อมอกของแนนอยู่นานแล้ว คงเพราะเหนื่อยล้าจากการที่ไปเดินเที่ยวเล่นหลังจากที่ทานอาหารเสร็จในตอนเย็น "แนนไหวค่ะ..." แนนหันไปตอบกลับคุณพ่อเจ แม้ว่าจะรู้สึกล้าแขนเพราะเด็กหญิงไอติมก็มีน้ำหนักอยู่พอตัว "ใกล้ถึงแล้ว...รบกวนแนนอีกแล้ว ไอติมวุ่นวายกับแนนเยอะไป โทษทีนะ" พ่อเจพูดด้วยความสุภาพ แม้แนนนั้นจะยินดีและเต็มใจกับสิ่งที่เด็กหญิงไอติมนั้นก่อกวน ด้วยความเอ็นดูเธอจึงไม่ได้ติดใจกลับชอบเสียมากกว่า . . "ไอติมลูก ตื่นก่อนนะพี่แนนจะกลับบ้านแล้ว" เสียงปลุกของผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพรางสะกิดแขนลูกสาวให้รู้สึกตัวเมื่อเธอนั้นนอนหลับลึกบนตักของแนน "............" เด็กหญิงที่ง่วงนอนสุดขีด แม้ผู้เป็นพ่อจะสะกิดตามแขนขา เธอก็ยังไม่ลืมตาตื่นเพราะเพลียร่างกายจากการเดินเที่ยวอย่างมีความสุขและสนุกสนานกว่าทุกครั้งที่ได้มา "เดี๋ยวพี่ลงไปอุ้ม แนนนั่งรอก่อนนะ" "ค่ะ" คุณพ่อเจปลดเข็มขัดและลงจากรถ อ้อมมาอีกฟากฝั่ง ก่อนจะเปิดประตูพร้อมกับโน้มตัวลงใกล้เพื่ออุ้มลูกสาวกลับคืน "มา...พี่อุ้มน้องเอง" ความชิดใกล้ของใบหน้าที่สัมผัสได้ถึง ลมหายใจอุ่นของแนนที่พ่นกระทบกับผิวแก้มของพ่อเจ หญิงสาวแรกรุ่นวัยมหาวิทยาลัย ที่ไม่เคยจะได้ใกล้ชิดชายใด เกิดประหม่าและเขินอาย ใบหน้าคมที่เริ่มมีไรหนวดเจือจางเข้าใกล้ จนแนนนั้นแทบกลั้นลมหายใจ แต่ก็ขยับตัวออกห่างไม่ได้เมื่อเธอต้องโอบประคองเด็กหญิงไว้ .....ความรู้สึกบางอย่างสั่งการให้พ่อเจนั้นหันมามอง จนปลายจมูกของแนนแทบชนกับใบหน้าของพ่อเจ เธอพยายามอย่างมากที่จะเอนหลังหนีห่างอย่างเกร็ง ๆ .....ดวงตาสองคู่เพ่งเล็งสบจ้องมองกัน วงแขนแกร่งยังคงพยายามสอดอุ้มลูกสาวแต่ต้องแน่นิ่งไม่ขยับเมื่อได้สบตาเธอ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไม่วางตาอย่างกับเหมือนต้องมนตร์สะกด พร้อมกับดวงตาคมเข้มอีกคู่ก็จ้องมองเช่นกัน ความรู้สึกชิดใกล้หญิงสาวที่อายุห่างกันเกือบสิบปี ทำเอาหัวใจของคุณพ่อลูกติดสั่นไหว เต้นโครมครามเสียงดังแทบหลุดจากอก "อื้อออออ คูมพ่อขา" เสียงงัวเงียของเด็กหญิงไอติมที่เริ่มรู้สึกตัวเรียกขาน จนผู้ใหญ่ทั้งสองนั้นหลบสายตากันแทบไม่ทัน "นอนทับพี่แนนนานเลย...มาพ่ออุ้มนะคะ" คุณพ่อเจว่ากล่าวพร้อมอุ้มเด็กหญิงออกจากตักของแนน "พี่เจระวังค่ะ" โป๊ก!! "โอ๊ะ!" ไม่ทันที่แนนจะปรามหัวของพ่อเจก็กระแทกเข้ากับขอบประตูรถยนต์เพราะไม่ทันระวัง เกิดความเขินอายที่ปล่อยไก่ตัวใหญ่ต่อหน้าหญิงสาวรุ่นน้อง "หึ คิก" แนนที่อดกลั้นหัวเราะไม่ไหว แต่ก็พยายามเก็บอาการ เพราะชายวัยสามสิบเอ็ดคงเกิดอายไม่น้อย "ฮ่า ฮ่า ฮ่า....คูมพ่อหัวแตก" เด็กหญิงไอติมหัวเราะร่าอย่างชอบใจเมื่อผู้เป็นพ่อนั้นหัวกระแทกเสียงดัง "ไอติม พ่ออายนะดูสิพี่แนนก็ขำพ่อด้วย" คุณพ่อเจกลบเกลื่อนความอาย ด้วยการพูดเย้า สายตาก็มองหน้าแนนที่กำลังเก็บกลั้นเสียงหัวเราะไว้ในลำคอ "ฮ่า ฮ่า ฮ่า....คูมพ่อแก่แล้วตาไม่ดี หัวโขกเลย" เด็กหญิงชอบใจจากที่งัวเงีย เปลี่ยนเป็นหัวเราะร่าสนุกสนาน "พ่อแก่ แต่พ่อหล่อนะ" พ่อเจที่อุ้มลูกออกมาจากตักแนนพูดเย้าแหย่หยอกล้อ จนแนนที่ตามออกมานั้นอมยิ้มตาม เธอสะพายกระเป๋าคู่ใจพร้อมที่จะจากลา "หล่อเหรอคะ พี่แนนคูมพ่อหล่อไหมคะ" เด็กหญิงหันไปถามความคิดเห็น...ซึ่งเป็นคำถามที่ทำเอาแนนนั้นหน้าแดงอีกรอบ สายตาคมก็จับจ้องมองมาที่เธอ "....หล่อค่ะ น้องไอติมน่ารักและมีคุณพ่อหล่อด้วย" หญิงสาวหันเหสายตามองเด็กหญิงที่ถูกพ่อเจอุ้มแนบอก เพราะเธออายเหลือเกินที่ต้องมองคุณพ่อลูกติดที่ยังดูดีเช่นเขา "กลับบ้านได้แล้ว ให้พี่แนนพักผ่อน" คุณพ่อเจพูดตัดบท เพราะตอนนี้ก็เวลาค่ำมืดแล้ว เกรงใจคนที่ลูกสาวเร้าหรือมานานหลายชั่วโมง "สวัสดีค่ะพี่แนน จุ๊ดไนท์" "กู๊ดไนท์ค่ะ...ขอบคุณนะคะพี่เจที่มาส่ง" คำแรกแนนพูดกับเด็กหญิง และถัดมาเธอกล่าวกับผู้เป็นพ่อของเด็กหญิงพร้อมกับยกมือไหว้อย่างเคารพ "ขอบคุณนะที่ไปเป็นเพื่อนเล่นไอติม พี่กลับละ" คุณพ่อเจว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงละมุน "ค่ะ สนุกดีค่ะพี่....บ๊ายบายนะคะน้องไอติม" แนนตอบกลับด้วยความสดใสก่อนจะบอกลาเด็กหญิงตัวกลมในอ้อมอกผู้เป็นพ่อ "บ๊ายบายค่ะพี่แนน" ----- หลายวันผ่านพ้นไป สภาพจิตใจเด็กหญิงก็ยังคงบอบช้ำ ด้วยคำพูดที่เพื่อนหญิงร่วมห้องชอบล้อเลียนเธอ "จอย วันนี้พี่มีประชุมฝากไปรับน้องที่โรงเรียนด้วยนะ" "ค่ะพี่เจ" คุณพ่อเจสั่งการเมื่อเดินจูงมือลูกสาวลงมาจากบนบ้านชั้นสอง การถูกเพื่อนล้อทำให้เด็กหญิงไม่อยากจะไปโรงเรียน เธอพยายามทำหลายอย่างเพื่อเลี่ยงสถานที่ใหม่ที่คิดว่าจะทำให้เธอหายเหงา แต่กลับกลายเป็นสถานที่ทำร้ายจิตใจของเธอให้ห่อเหี่ยวกว่าเดิม เธอจะมีอาการทางสีหน้าทุกครั้งที่พ่อบอกต้องไปโรงเรียน แม้จะบาดลึกในใจแต่ก็ยอมไปโรงเรียนตามที่คนเป็นพ่อร้องขอ "คูมพ่อ~~~" เด็กหญิงเรียกขานแผ่วเบา น้ำเสียงที่เปรยออกมา แววตาที่เงยมองผู้เป็นพ่อนั้นดูเศร้าเพราะเธอไม่อยากที่จะไปโรงเรียน "ว่าไงคะคนเก่ง" "ไม่ไปโรงเรียนได้ไหม?" เด็กหญิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้า ดวงตากลมที่มองผู้เป็นพ่อนั้นสื่อถึงการอ้อนวอน....ซึ่งคนเป็นพ่อนั้นรู้ดีและเห็นใจ แต่ถ้าปล่อยให้ลูกสาวอยู่แค่ในกรอบบ้าน เธอจะไม่กล้าเผชิญกับสิ่งรอบกายและกลายเป็นคนอ่อนแอ แม้ว่าคนเป็นพ่อจะเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นลูกสาวหน้าเศร้า ใช่ว่าไม่เจ็บปวด มันรวดร้าวไปทั้งดวงใจ แต่จะให้ลูกอยู่แค่พื้นที่นี้คงจะไม่ได้เมื่ออนาคตเธอต้องเติบใหญ่และยังไงก็ต้องรับรู้เรื่องราว "จำที่พ่อบอกได้ไหมคะ" ผู้เป็นพ่อนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าลูกสาว พร้อมกับเอื้อมมือลูบหัวเธออย่างรักใคร่ เพราะเธอนั้นเหมือนดวงใจและเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจผู้เป็นพ่อให้มีชีวิตเดินต่อ "จำได้ค่ะ" เด็กหญิงตอบรับ "พ่อบอกว่ายังไงคะ" ผู้เป็นว่าย้อนถาม "คูมพ่อบอกว่า เป็นลูกคูมพ่อต้องเก่งเหมือนคูมพ่อ ไม่งอแงและเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้...แล้วคูมพ่อจะพาไปกินของอร่อย ๆ ค่ะ" เด็กหญิงร่ายยาวในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อบอกไว้ "เก่งมากค่ะ...น้องไอติมอยากกินของอร่อย ๆ หนูต้องทำให้ได้นะคะ เย็นนี้ให้พี่จอยไปรับนะ พ่อจะซื้อของอร่อย ๆ มาฝากเยอะ ๆ" ผู้เป็นพ่อที่พยายามอย่างมากที่จะเลี้ยงดูลูกสาวให้เติบใหญ่และมอบความรัก เขาเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูจนสุดความสามารถเท่าที่ผู้ชายเช่นเขาจะทำได้ "คิดถึงพี่แนนค่ะคูมพ่อ" "ใครเหรอคะน้องไอติม" เมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคย จอยพี่เลี้ยงสาวจึงถามแทรกอย่างไม่รักษามารยาทเพราะความอยากรู้ "พี่แนนคนสวย ๆ ที่ทำงานกับคูมพ่อค่ะพี่จอย" "จอยไปทำงานเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปส่งน้องที่โรงเรียน" คุณพ่อเจพูดแทรกระหว่างบทสนทนาของพี่เลี้ยงและลูกสาว ในบ้านที่ประกอบด้วยแม่บ้านหนึ่งคน พี่เลี้ยงหนึ่งคน ผู้ชายเช่นเขาคงไม่สามารถที่จะดูแลบ้านทั้งหลังได้ จึงต้องว่าจ้างคนดูแลด้วยพ่อแม่นั้นหามาให้ เพราะห่วงใยลูกชายแถมยังเป็นคุณพ่อลูกติด ความไว้ใจที่มีจึงมากพอที่จะฝากฝังให้ดูแลงานบ้านแทนเขา รวมทั้งลูกสาวเพียงคนเดียว "ค่ะพี่เจ" แม้จะยังคับข้องใจใคร่อยากรู้ แต่เมื่อพ่อเจออกปาก จอยจึงไม่ขัดและเดินกลับไปทำหน้าที่ของตนอย่างจำยอม . . "ใครกันนะ?" จอยพึมพำเดินเข้าครัว พร้อมกับความสงสัย เพราะไม่เคยเลยที่เด็กหญิงไอติมจะถามหาคนอื่น "บ่นอะไรของแกนังจอย" เสียงของป้าแม่บ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นจอยนั้นเดินหน้าง้ำงอเข้ามาในครัว ป้าแกชื่อ ปริก "ไม่มีอะไรหรอกป้า ฉันก็บ่นของฉันไปงั้นแหละ" "อีบ้า!!" "วุ๊ย ป้าก็ด่าฉันตลอดเลยนะ" จอยสบถอย่างคนอารมณ์หงุดหงิด "มีอะไรก็ไปทำเอ็งน่ะ ชุดนักเรียนคุณหนูไอติมซักยัง" ป้าปริกบอกกล่าวอย่างย้ำในหน้าที่ "ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ" จอยเดินสะบัดตูดออกไปทันทีเมื่อป้าปริกทักท้วง "ลีลาอยู่ได้นังเด็กคนนี้"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม