ลานกว้างหน้าเรือนใหญ่คือสถานที่จัดงานเลี้ยง...
แขกเหรื่อทุกคนที่มีเทียบเชิญก็มากันครบ แถมยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญติดตามแขกคนอื่นมาด้วย อย่างเช่นกลุ่มของพ่อค้ากลุ่มนี้
“นายท่านชาง ท่านแน่ใจนะว่าเจ้าของจวนจะไม่เตะข้าออกจากงานน่ะ” ชายหนุ่มที่ติดตามชางจางเว่ยเข้ามาในงานด้วยกล่าวติดตลก
“หัวหน้าโจว มันไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก นายท่านหวังสิต้องขอบคุณข้าที่พาพ่อค้ารุ่นใหม่ผู้กว้างขวางอย่างพวกท่านมาแนะนำให้รู้จัก”
“นายท่านชางเยินยอกันเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มคนเดิมพูด และยิ้มรับเป็นมารยาทตามแบบฉบับของพ่อค้า
“เออนี่ ซีหยาง เจ้าแน่ใจนะว่าคุณหนูผู้นั้นอาศัยอยู่ในจวนนี้จริง ๆ” ชายผู้ติดตามหัวหน้าโจวมาอีกทีกระซิบถามผู้เป็นนายของตน แต่ฟังจากคำพูดแล้ว ทั้งสองน่าจะเป็นสหายกันซะมากกว่า
“แน่ใจสิ ข้าตามนางมาหลายครั้งแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจว่านางใช่คุณหนูของจวนนี้หรือไม่ก็เท่านั้น เพราะข้าเห็นนางใช้แต่ประตูทางด้านหลังเดินเข้าออกจวน” โจวซีหยางก็กระซิบตอบเช่นกัน
“บางทีนางอาจจะเป็นสาวใช้ก็ได้ มีถมเถ สาวใช้ที่งดงามปานเทพธิดาน่ะ ถ้าเป็นอย่างที่ข้าว่าเจ้าคงต้องทำใจเอาไว้นะ เพราะสาวใช้หน้าตาสวย ๆ มักจะมีสถานะอื่นควบคู่ไปด้วย เจ้าเข้าใจสถานะที่ข้าหมายถึงใช่หรือไม่”
“ถ้านางเป็นอย่างที่เจ้าสงสัย ข้าคงต้องหยุดค้าขายกับเมืองนี้อย่างเด็ดขาดเสียกระมัง”
“ฮิฮิฮิ ให้มันจริงเถอะ ข้ากลัวแต่เจ้าจะหาทางไถ่ตัวนางออกมาน่ะสิ” เผิงจิ้งรู้นิสัยของโจวซีหยางดี รักก็คือรักไม่ไม่มีทางตัดใจง่าย ๆ ยิ่งถ้าคนผู้นี้รู้ว่าหญิงสาวที่ตนหมายปองได้รับความทุกข์ระทมหรือถูกทำใครรังแก เขาย่อมหาทางช่วยเหลือนางอย่างสุดความสามารถแน่นอน
เมื่อแขกเหรื่อได้ที่นั่งกันครบทุกคน การสังสรรค์ก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งแขกฝั่งของหวังยี่ชวนก็จะมีแต่บุรุษนักดื่มนักกินทั้งนั้น พวกเขาถูกจัดให้นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของสวน ส่วนแขกของฮูหยินกับคุณหนูเล็กก็จะอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง เพราะส่วนมากจะมีแต่เด็กสาวและเหล่าฮูหยินที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และพวกนางก็ชอบนัดแนะดื่มน้ำชากันเป็นประจำ เรื่องนินทาไม่ต้องพูดถึง ฮูหยินและคุณหนูเหล่านี้ไว้ใจได้เสมอ
“นายท่านชาง นับเป็นเกียรติยิ่งแล้ว ที่ท่านรับเทียบเชิญของข้า สบายดีนะท่าน เอ๊ะ! บุรุษรูปงามสองท่านนี้เป็นคุณชายมาจากจวนใดหรือ”
หวังยี่ชวนกำลังทักทายสหายร่วมการค้าอยู่ แต่พลันสายตาก็สะดุดกับบุรุษแปลกหน้าสองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชางจางเว่ย
“นายท่านหวัง ข้าขอแนะนำให้ท่านรู้จัก ชายหนุ่มผู้นี้คือหัวหน้าโจวซีหยาง เป็นพ่อค้าจรมาจากต่างเมือง ส่วนอีกคนคือหัวหน้าเผิงจิ้ง พวกเขามาด้วยกัน” ชางจางเว่ยแนะนำเสร็จ เขาก็หันไปหาหนุ่ม ๆ เพื่อแนะนำอีกฝ่ายให้รู้จักด้วย
“หัวหน้าโจว หัวหน้าเผิง ท่านผู้นี้คือหวังยี่ชวน นายท่านแห่งสกุลหวังที่มีกิจการมากมายครอบคลุมไปทั่วทั้งแคว้นนี้ รู้จักกันเอาไว้นะ ภายภาคหน้าพวกท่านอาจจะได้ค้าขายร่วมกันก็เป็นได้”
“คารวะนายท่านหวัง เราขอฝากตัวด้วยขอรับ” สองหนุ่มพ่อค้าจรกล่าว พร้อมกับประสานมือคารวะผู้อาวุโสอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่เลว ไม่เลว เป็นคนรุ่นใหม่ที่หน่วยก้านใช้ได้ทีเดียว” หวังยี่ชวนเอ่ยชมตามมารยาท
“ไหนล่ะบุตรสาวทั้งสองของท่าน ข้ายังไม่เห็นพวกนางเลย มู่เอ๋อร์สิบขวบแล้วสินะ ส่วนม่านเอ๋อร์ก็ใกล้จะปักปิ่นแล้ว ข้าได้ยินเขาลือกันว่าท่านกำลังจะได้บุตรเขยเป็นถึงองค์ชาย มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมล่ะ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกิน ทำไมข้าถึงไม่มีบุตรสาวบ้างนะ” ชางจางเว่ยปิดท้ายประโยคด้วยความเสียดาย ทั้ง ๆ ที่ตระกูลชางก็ร่ำรวยไม่แพ้ใคร แต่ต้องอดได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์เพราะไม่มีบุตรสาวเหมือนคนอื่น
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ มันก็ยังเป็นแค่ข่าวลือ มีแม่สื่อมาทาบทามเมื่อไหร่ท่านค่อยมายินดีก็ไม่สาย ไม่แน่นะ บุตรชายของท่านอาจจะได้แต่งเข้าเป็นราชบุตรเขยก็ได้ ราชวงศ์เป่ยยังมีองค์หญิงน้อยอีกตั้งหลายพระองค์ที่รอวันเติบใหญ่”
นายท่านหวังหัวเราะชอบใจ ขณะพูดเขาก็เหลือบมองไปที่โจวซีหยางบ่อยครั้ง และคิดวางแผนการบางอย่างไปด้วย ‘ผู้ชายคนนี้แหละเหมาะที่จะเป็นเหยื่อของแผนการนี้’ ความคิดชั่วร้ายแสดงออกทางใบหน้าเกือบจะปิดไม่มิด หลังจากได้ตัวแสดงหลักที่จะชูโรงงิ้วให้สมบูรณ์แล้ว หวังยี่ชวนก็ขอแยกตัวออกไป
“อ้อ...ทุกท่านเชิญกินดื่มตามสบายนะ ข้าขอตัวสักครู่”
หลังจากหวังยี่ชวนเดินห่างออกไปไกลแล้ว โจวซีหยางจึงได้โอกาสถามข้อข้องใจกับชางจางเว่ย
“นายท่านชาง ที่ท่านพูดถึงองค์ชายกับคุณหนูสกุลหวังนี่มันยังไงหรือท่าน”
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกหัวหน้าโจว แค่ราชวงศ์เป่ยมีความสนใจที่อยากจะเปลี่ยนประเพณีที่เคยปฏิบัติน่ะ สงสัยเพิ่งจะมองเห็นค่าของพ่อค้าอย่างเรากระมัง โดยปกติแล้ว ตระกูลพ่อค้าเช่นเราไม่ได้อยู่ในสายตาของคนในราชวงศ์หรอก ต่อให้เรามีเงินมากมายก่ายกองและมีความสำคัญต่อแคว้นแค่ไหน พวกเราก็ไม่เคยถูกเลือก เพียงเพราะตระกูลของพ่อค้าไม่มีบรรดาศักดิ์และไม่ได้สูงส่งพอที่จะเชิดชูเกียรติให้กับราชวงศ์ได้ยังไงล่ะ”
“ตระกูลหวังมีคุณหนูสองคน คงจะเป็นคุณหนูใหญ่ที่ถูกเลือกสินะ หรือไม่ก็คงถูกเลือกทั้งสองคนเลย” โจวซีหยางสรุป
“ใครว่าล่ะ ต่อให้มีคุณหนูเป็นสิบ ราชวงศ์เป่ยก็เลือกแค่คุณหนูที่เกิดกับภรรยาเอกเพียงคนเดียวเท่านั้น และคุณหนูม่านหลิวก็น่าจะเป็นผู้ถูกเลือก ถึงมารดาของนางจะตายไปนานแล้วก็ตามแต่กฎหมายของแคว้นยังคงสถานะให้นางคงเดิมไม่เปลี่ยนเปลง”
ฟังจบ โจวซีหยางก็ได้แต่พยักหน้า พร้อมกับยกจอกสุราขึ้นดื่ม แล้วเขาก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก
ในเวลาเดียวกันนั้น หวังยี่ชวนที่ปลีกตัวออกมาได้ก็รีบเดินไปหาภรรยาของตน
“ฮูหยิน เจ้าอยู่นี่เอง”
“ว่าอย่างไรท่านพี่ ท่านหาเหยื่อให้ได้หรือยัง ถ้าหาไม่ได้ ข้าคงต้องเลือกเอาบ่าวชายสักคนแล้วนะ”
“ข้าหาได้แล้ว เจ้าเห็นโต๊ะของชางจางเว่ยหรือไม่ ข้าง ๆ นั่นมีชายหนุ่มนั่งอยู่ด้วยสองคน ให้เจ้าจัดการพวกมันทั้งสองคน เพราะมันมันมาด้วยกัน ข้าไม่อยากมีปัญหา ส่วนคนที่ข้าเลือกคือไอ้หนุ่มคนที่ไม่มีหนวดเครา อย่าให้พลาดเชียวนะฮูหยิน”
“ทำไมท่านพี่ต้องเลือกไอ้หนุ่มหน้าหล่อให้นางเด็กนั่นด้วยล่ะ หรือท่านพี่เกิดเห็นใจมันขึ้นมา” หวงมู่ฮวาเกิดความไม่พอใจที่สามีเลือกบุรุษรูปงามกว่าอีกคนมาเป็นเหยื่อ
“ฮึ! รูปหล่อแล้วอย่างไร มันก็แค่พ่อค้าจรที่ไร้หัวนอนปลายเท้า เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้เจ้าอย่าใส่ใจเลย ถือเสียว่าให้ของขวัญกับนางก่อนที่เราจะตัดนางออกจากตระกูลก็แล้วกันนะฮูหยิน”
หวงมู่ฮวาหน้างอใส่สามี แต่ยังยอมทำตามอยู่ดี แม้จะรู้สึกขัดใจที่เหยื่อคนนั้นดูดีและรูปหล่อกว่าองค์ชายใหญ่อยู่หลายขุม