บ่าวสาวเข้าหอ

1959 คำ
ข้างในรถม้า... “ฮูหยินเจ้าคะ เราออกมาพ้นประตูเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ” จูถิงสาวใช้คนใหม่พยายามหาเรื่องชวนเจ้านายคุย เพราะตั้งแต่ออกจากจวนมา นายสาวของนางก็เงียบมาตลอดทางจนน่าเป็นห่วง (จูถิงคือสาวใช้ที่มาจากจวนของนายท่านชาง ชางจางเว่ยเป็นคนมอบนางให้คุณหนูใหญ่เพื่อเป็นของขวัญก่อนลาจาก แต่ก็น่าแปลก ที่นายท่านชางดูเหมือนจะเป็นห่วงสาวใช้คนนี้มากเหลือเกิน) “ฮูหยินงั้นเหรอ” หญิงสาวพึมพำ พร้อมกันนั้นก็ปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกแล้วโยนไปด้านหลังอย่างไม่ใยดี “ทำไมรีบเอาผ้าคลุมหน้าออกอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ไยไม่รอเจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าก่อน” เถาม่านหลิวยังนั่งนิ่งเช่นเดิม นางเฉยเมยต่อคำพูดของสาวใช้ เมื่อเจ้านายเงียบไม่พูดไม่จา จูถิงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ภายในรถม้าเงียบกริบเหมือนไม่มีคนนั่งอยู่ข้างใน ส่วนด้านนอกก็ได้ยินแค่เสียงฝีเท้าของม้าที่กำลังวิ่งประสานเสียงกัน นานทีถึงจะได้ยินเสียงคนพูดคุยกันสักครา และหัวข้อที่พวกเขาเอามาคุยกัน ก็ไม่พ้นเรื่องของหญิงสาวที่นั่งเป็นหุ่นอยู่ในรถม้านั่น “ข้าล่ะเชื่อเลย หวังยี่ชวนเป็นบิดาแบบไหนกัน ถึงกับวางแผนทำลายบุตรสาวของตัวเองได้เช่นนี้ ส่วนเจ้าก็แน่มากที่กล้าต่อรองจนได้แต่งงาน หากเราไม่เดินตามแผนของตาแก่นั่นมันจะเกิดอะไรขึ้นนะ” “ช่างมันเถอะ ตอนนี้นางเป็นฮูหยินของข้าแล้ว” “แหม ๆ ออกตัวแรงเชียวนะ ฮูหยินของข้า เข้าหอก็ยังไม่ทันได้เข้าเลย แต่เอ๊ะ! หรือว่าเจ้ากับนาง ฉึก ฉึก กันแล้วเมื่อคืนนี้ ฮิฮิฮิ” เผิงจิ้งคู่หูคู่ซี้ของเจ้าบ่าวหัวเราะเสียงแหลม ขบขันสหายรักที่เรียกเจ้าสาวหมาด ๆ ว่าฮูหยินได้อย่างเต็มปากเต็มคำ “หุบปากน่า เจ้าอย่าได้พูดพล่อย ๆ ถึงไม่ได้เข้าหอ แต่ข้ากับนางก็เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว ถ้านางจะเป็นฮูหยินโจวของข้ามันผิดตรงไหน” “ชิ! ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว มาว่าเรื่องที่พักคืนนี้กันดีกว่า” “ก็ว่ามาสิ เห็นคุยโวนักว่าช่ำชองเส้นทางนี้ไม่ใช่หรือ” “เฮ้อ! ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยจริง ๆ ทำไมไม่พานางกลับแคว้นของเราซะ จะไปทำไมจงไฮ่ จวนตระกูลเถาป่านนี้คงร้างไปหมดแล้วมั้ง” “จงไฮ่ก็ติดกับแคว้นเรา ไม่มีอะไรเสียหายถ้าฮูหยินของข้าอยากจะไป” ก่อนจะออกจากเมืองหลวง เถาม่านหลิวได้มอบหีบใบเล็ก ๆ ให้กับเขา นางพูดแค่ว่า ‘สินเดิมของข้ามีแค่นี้ ท่านพาข้าไปที่นี่ได้หรือไม่’ ต่อให้ใบหน้าของนางถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีแดง เขาก็จับน้ำเสียงที่แสนจะอ้างว้างได้ไม่มีวันลืม จนเขาอยากเข้าไปกอดปลอบนางให้คลายเศร้าเหลือเกิน “ตามใจเมียตั้งแต่วันแรก ระวังให้ดีเถอะ มันจะทำให้เจ้าเสียการปกครอง” เผิงจิ้งเหมือนถูกผีเจาะปากให้มาพูด จึงได้พยายามหาเรื่องมาจิกกัดไปเรื่อย “ที่พูดมากอยู่เนี่ย ไม่อยากไปกับข้าใช่ไหม” “ไปสิ ปัดโธ่! เอาล่ะมาว่ากันต่อ” พอโดนโจวซีหยางว่าให้ เผิงจิ้งจึงปรับเสียงพูดเป็นงานเป็นการขึ้นมาทันที “หากการเดินทางของเราไม่สะดุด อีกสามชั่วยามก็น่าจะถึงอำเภอไห่ตง จากนั้นเดินทางอีกราวหกลี้ก็จะมีหมู่บ้านน้อยใหญ่อยู่ตามรายทาง เราคงจะหาโรงเตี๊ยมพักได้ก่อนที่จะมืด แต่เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกนะ ข้าจะหาห้องดี ๆ ให้ เจ้าจะได้เข้าหอกับเจ้าสาวไง แล้วนางก็จะได้เป็นฮูหยินโจวอย่างสมบูรณ์เสียที เจ้าว่าดีหรือไม่ซีหยาง” “ได้ที่ไหนก็ดีทั้งนั้น เรื่องหาที่พักมันเป็นหน้าที่ของเจ้าอยู่แล้วนี่” “โอ้! ประหลาดนัก เจ้าไม่คิดจะปฏิเสธการร่วมหอกับเจ้าสาวเลยหรือ ท่องเอาไว้หน่อยสหาย นางยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่นเลยนะ อีกตั้งสองเดือนโน่นแน่ะ” เผิงจิ้งทำทีเป็นเตือนสติสหายรัก “ข้ารู้ว่านางยังไม่ทันปักปิ่น ข้ามั่นใจในความอดทนของตัวเองมากพอน่า” “อดทนให้ได้จริงเถอะ เพราะรูปร่างของนางมันหลอกอายุจริง ๆ ให้ตายสิ” ความหมายของเผิงจิ้งก็คือ เถาม่านหลิวดูโตเป็นสาวเกินวัย ไม่ใช่สาวน้อยวัยสิบสี่ปีอย่างที่รู้กัน (หวังม่านหลิวกลับมาใช้แซ่ เถา ของมารดาหลังจากที่ถูกตัดขาดออกจากตระกูลหวังเรียบร้อยแล้ว) หลังจากตกลงเรื่องที่พักได้แล้ว พวกเขาก็เงียบไปตลอดทาง กระทั่งเข้าเขตอำเภอไห่ตง แล้วเผิงจิ้งกับลูกน้องอีกหนึ่งคนก็เร่งควบม้าล่วงหน้าไปก่อน เพื่อจะได้เสาะหาห้องพักเตรียมเอาไว้ให้พร้อมสำหรับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ลูกน้องอีกคนก็ย้อนกลับมาเพื่อนำทางพวกเขาไปยังโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ชานเมืองไห่ตง “มีแค่ที่นี่แหละ โรงเตี๊ยมอื่นก็เต็มหมด เห็นเขาว่าในตัวอำเภอมีงานเทศกาลน่ะ แต่ดีนะที่ยังมีห้องเหลือ เจ้ากับเจ้าสาวจะได้เข้าหอเสียที เดี๋ยวข้าจะให้เถ้าแก่จัดอาหารและสุรามงคลให้นะ ฮิฮิฮิ” พอรายงานจบ เผิงจิ้งก็ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะแหลมที่เป็นเอกลักษณ์ “สุดแล้วแต่เจ้าจะจัดการเถอะ” โจวซีหยางส่ายหน้าเพราะสุดจะเอือมกับนิสัยเจ้ากี้เจ้าการของสหายคนนี้นัก และเขาก็ไม่ได้ฉุกใจกับสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเผิงจิ้งแม้แต่น้อย ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ม่านหลิว เราถึงที่พักแล้ว เจ้าพร้อมจะลงแล้วหรือไม่” ที่โจวซีหยางถามเช่นนี้ เพราะรู้ว่านางยังคงสบายดี ตั้งแต่เดินทางออกจากเมืองหลวง เขากับนางก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย เพราะไม่อยากให้นางรู้สึกอึดอัด เขาก็ได้แต่ส่งอาหารให้และแอบสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ เห็นว่านางอยู่ได้เขาก็เบาใจ แต่ก็แอบเป็นกังวลเพราะเกรงว่านางจะเจ็บป่วยเอา แต่เถาม่านหลิวช่างเป็นสตรีที่ใจเด็ดเป็นเลิศ ถึงแม้นางจะอายุยังน้อย แต่นางก็ไม่ได้ฟูมฟายกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด นางยอมรับสภาพของตัวเองเหมือนปลงกับชีวิตได้แล้ว “เอ่อ...นายท่านโจว ฮูหยินพร้อมแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า...” เสียงสาวใช้ตอบรับกลับมา ทว่ายังมีคำว่าแต่ โจวซีหยางจึงรีบดึงประตูให้เปิดออก ถึงได้เห็นว่า ขาทั้งสองข้างของนางมีอาการเหน็บชา เนื่องจากนั่งอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงได้อุ้มเจ้าสาวลงจากรถม้า แล้วก็พาเดินเข้าโรงเตี๊ยมไป “เจ้าจะเงียบแบบนี้ตลอดไม่ได้นะ ตอนพักม้าก็ไม่ยอมลงมายืดเส้นยืดสาย ผลที่ได้ก็เป็นเช่นนี้ ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบา ไม่รู้เจ้าอดทนอยู่ได้อย่างไรทั้งวัน” ชายหนุ่มทั้งอุ้มทั้งบ่นให้เจ้าสาว แต่นางแค่หลุบสายตาลงไม่พูดไม่จา โจวซีหยางจึงได้แต่ทำใจ เพราะอย่างน้อยนางก็ไม่ได้ต่อต้าน เมื่อถูกเจ้าบ่าวแปลกหน้าอย่างเขาสัมผัสตัว การที่มีชายหนุ่มอุ้มหญิงสาวลงมาจากรถม้า และทั้งสองต่างก็สวมชุดแต่งงานสีแดง ย่อมทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นหันมาสนใจเป็นตาเดียว ไม่ใช่แค่ชุดเท่านั้นที่สะดุดตา ใบหน้าอันงดงามของเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวยิ่งพาให้พวกเขาตะลึง “โอ้! คงจะเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่นี้สินะ ที่สั่งอาหารและสุรามงคลสำหรับคืนเข้าหอ เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ดั่งกิ่งทองและใบหยกก็ไม่ปาน หรงจู๊...ของที่พวกเขาสั่งเอาไว้ เจ้าให้เด็กยกขึ้นไปเรียบร้อยแล้วหรือไม่” เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมถามผู้ดูแล เมื่อเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวผ่านหน้าไปยังบันไดขึ้นชั้นสองแล้ว “เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน แต่ข้าเกรงว่า แขกที่อยู่ข้างห้องของพวกเขาจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนน่ะสิขอรับ” หรงจู๊มีสีหน้าเป็นกังวล เมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ “เหตุใดหรงจู๊ถึงได้คิดเช่นนั้นเล่า” เถ้าแก่ขมวดคิ้วสงสัยกับสิ่งที่หรงจู๊บอก “ก็สุรามงคลที่ปรุงเป็นพิเศษสำหรับคู่บ่าวสาวในคืนเข้าหอน่ะสิขอรับ มันอาจจะทำให้พวกเขาอึดทนไปจนถึงเช้าได้เลยนะนายท่าน” หรงจู๊ไม่ได้กล่าวเกินจริง สุราสูตรพิเศษของอำเภอไห่ตง ขึ้นชื่อลือชาเรื่องนี้จริง ๆ สุราสูตรนี้จึงได้รับขนานนามว่า ‘ค่ำคืนวสันต์พร่ำรัก’ อย่างไรล่ะ “เรื่องดีงามเช่นนั้นมันก็เป็นปกติอยู่แล้วมิใช่หรือ มีคู่บ่าวสาวเข้ามาพักโรงเตี๊ยมของเราเพื่อใช้เป็นห้องหอ นับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งแล้ว ให้เจ้าคอยระวัง อย่าให้ใครไปรบกวนพวกเขาเป็นอันขาด หากลูกค้าคนไหนบ่นหรือทนไม่ไหว อยากจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นก็เชิญได้ตามสบาย ข้ายินดีค*****นให้” เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมพูดอย่างไม่ง้อลูกค้า เพราะนานทีปีหนจะมีคนมาใช้ห้องของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นห้องหอสักครั้ง “รับทราบขอรับนายท่าน” หรงจู๊น้อมรับคำสั่งก่อนจะเดินไปสะสางงานของตัวเอง บนห้องพักของคู่บ่าวสาว... หลังจากอุ้มเจ้าสาวเข้าห้องหอ โจวซีหยางบรรจงวางเจ้าสาวให้นั่งลงบนเตียงที่ตกแต่งด้วยผ้าสีแดงทั้งหมด เหมือนห้องหอสำหรับเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวไม่มีผิด ซีหยางหัวเราะหึ ๆ เพราะรู้ว่าเป็นฝีมือของเผิงจิ้งแน่นอน “ภรรยา เจ้าหิวหรือไม่ จะกินก่อนหรือจะอาบน้ำก่อนดี” เขาถามแกมหยอกเจ้าสาว ที่จริงก็รู้ว่านางหิวมาก แต่เขาอยากให้นางอาบน้ำก่อนจะได้สบายตัว “อาบน้ำ” ม่านหลิวตอบแค่นั้น นางทำทีเมินเฉยต่อคำที่โจวซีหยางใช้เรียกแทนตัวนาง เพราะตอนนี้นางเองก็เหนื่อยเหลือเกินที่จะให้ความสนใจกับมัน “ให้ข้าเรียกสาวใช้มาช่วยดีไหม” เจ้าบ่าวเสนอตัวช่วยให้ เพราะกลัวว่านางจะถอดชุดลำบาก ไหนจะผมที่ติดเครื่องประดับนั่นอีก หากว่าเขาจะขออาสาช่วย ก็เกรงว่านางจะไม่ยอม “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้” นางยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ด้วยคำพูด “อืม...ถ้าอย่างนั้นก็รีบเข้าล่ะ หรือต้องการให้สามีช่วยก็บอก” เขาแกล้งกระเซ้าเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของนาง “ไม่...ไม่ต้อง ข้าทำเองได้” ใบหน้างามแดงขึ้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายหรือโกรธกันแน่ “เจ้าอายหรือ เราแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามประเพณีแล้วนะฮูหยิน มีอะไรต้องอายอีก” โจวซีหยางพยายามหาเรื่องเย้าแหย่ เพียงต้องการให้นางพูดด้วยเท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม