เฮนลี่นั่งทำงานด้วยสติสตังแกว่งหัวใจอยู่ไม่สุข มองเห็นผู้ชายคนอื่นหยอกล้อ ทำทีสนิทสนมกับหญิงสาว คนที่ตนต้องการ นึกอยากไล่พนักงานชายออกหมดบริษัท พนักงานส่วนใหญ่ของเซซาน ซัพพลาย ล้วนเป็นผู้ชาย มีผู้หญิงจำนวนน้อยยกเว้นฝ่ายการตลาดกับประชาสัมพันธ์เป็นผู้หญิง หนุ่มแผนกอื่นชอบไปประสานงาประสานงานสองแผนกนี้ เฮนลี่ทนดูไม่ได้จึงเลี่ยงเดินมายังห้องทำงาน เพื่อทำสมาธิให้อยู่กับงาน กลับทำไม่สำเร็จ ถ้าขนาดนี้เขาควรไปนั่งสมาธิเดินจงกรมที่วัดละมั้ง
ทุกครั้งหวนนึกถึงใบหน้าสวยน่ารัก ดวงตาสดใสกลมโต รอยยิ้มสดใส ความเป็นตัวตนมักขาดสะบั้น กระต่ายน้อยผิวขาวผ่อง ขนฟูฟ่อง เขายกมือปัดไล่ภาพความน่ารักที่ลอยวนเข้ามาในสายตาเหมือนมอดมดเจาะความคิด ใบหน้าเธอวนเวียนตรงหน้า แววตาตาหล่อนส่องสว่างเป็นประกายดุจดวงดาวยามรัตติกาล มือหนาตบลงที่แฟ้มงานบนโต๊ะ ไร้ความสามารถสะกดใจในการทำงาน อ่านโครงการแต่ละโครงการที่เสนอมาไม่เข้าใจสักตัวอักษร เดินกระฟัดกระเฟียดเหมือนราชสีห์ติดกับดักนายพราน อยากจะหลุดออกไปให้พ้น จะมีหนูตัวไหนช่วยเขาได้บ้างนึกถึงเลขาคู่ใจ
“ไตรเข้ามาหาฉันหน่อย” กดนิ้วลงบนโทรศัพท์เรียกหาเลขาฯ
“ครับเจ้านาย” ไตรก้าวเข้ามาในห้องทำงานทันใจ จับสังเกตจากน้ำเสียงเจ้านาย อาการดูหงุดหงิดหัวใจไม่น้อย
“เรื่องที่ให้ไปจัดการว่าอย่างไร ช้าอะไรขนาดนี้” เฮนลี่ไม่อ้อมค้อม เขาเป็นสิงห์ปืนไวเสมอในทุกเรื่อง
“อ้อ...พอดีผมกำลังจะเข้ามารายเจ้านายอยู่เลย” ทั้งที่ความจริงไตรประวิงเวลาให้ยาวออกไปมากกว่า คำตอบจากปากหญิงสาวช่างเหย่อหยิ่ง เต็มไปด้วยความยโส บิดาเพียงธาราเป็นนายตำรวจตงฉิน ทำงานตรงไปตรงมาจึงต้องมีจุดจบด้วยความตาย ไตรลอบถอนใจด้วยความอึดอัด แต่อาการเล็กๆ น้อยๆ เฮนลี่กลับจับอาการคนที่ยืนอยู่ได้
“ลำบากใจอะไรนักหนาไตร กับไอ้เรื่องแค่นี้ยากกว่านี้ไม่เห็นปั้นหน้ายากอย่างนี้”
“เปล่าครับ” ไตรปฏิเสธตรงข้ามกับความคิด
“ไหนว่ามาซิ” เขาอยากฟังคำตอบ
“เธอปฏิเสธครับ” ไตรพูดออกมาตรงๆ
“ไม่ได้เรื่อง” ปากกาด้ามสวยในมือถูกปล่อยลงกระทบโต๊ะทำงาน ไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด
“ครับผมไม่ได้เรื่อง” ไตรยอมรับหน้าซื่อๆ
“ปกตินายไม่เคยพลาดนี่ไตร งานนี้นายทำให้ฉันผิดหวังรู้ตัวไหม”
“ผมยอมรับ” ไตรก้มหน้ารับ
“เอาล่ะออกไปได้ เห็นทีฉันคงจัดการเอง” ปลายเสียงลากยาวเข้มจัด จนไตรรู้สึกชาในหัวใจ
“จัดการเองหมายความว่า…” ไตรไม่เข้าใจ รวมถึงไม่อยากคิดคนอยู่สูงอย่างเฮนลี่ ฉายาราชสีห์หนุ่มแห่ง ‘เซซานแอทตัน’ นั้นร้ายกาจแค่ไหน นิสัยอยากได้ต้องการสิ่งใดต้องได้ทุกครั้ง ระดับนางงามที่เพิ่งก้าวลงจากเวทีหมาดๆ มงกุฎเพชร สายสะพายยังไม่แห้ง เขายังคว้ามานอนบนเตียงได้สบายๆ นับประสาอะไรเด็กน้อยธรรมดาอย่างเพียงธารา แสนซื่อ อ่อนต่อโลก เจ้านายถึงกับประกาศจะลงมือเอง หญิงสาวคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ
“เจ้านายครับ” ไตรอยากทัดทาน
“ไม่ต้องพูดแล้วไตร นายทำให้ฉันผิดหวัง ไม่ได้เรื่อง” เฮนลี่ยกมือห้ามคำพูดจากไตร เช่นนั้นเลขาหนุ่มจึงจำใจก้าวออกจากห้องพกพาความคิดหนักติดไปด้วย รู้สึกเป็นห่วงชีวิตเพียงธาราขึ้นมาฉับพลัน
“คุณไตรหน้าไปโดนอะไรมาถึงเหี่ยวได้ใจขนาดนั้น” เสียงทุ้มทักทายคำพูดกวนอย่างกับเขาแก่นักหนา
“นายเองหรือพยัคฆ์” เงยหน้ามองเจ้าของคำทักทายจอมกวนนั้น ปั้นหน้าซึมกะทือ
“คิดว่าใครล่ะครับ โดนเจ้านายต่อว่าอะไรมาล่ะครับ หน้าถึงได้หมดหล่อ”
“ทำงานพลาด”
“หา !! คุณไตรนี่นะทำงานพลาด มีในสารระบบด้วยหรือครับ เมื่อก่อนผมยังแอบนินทาคุณไตร คนอะไรไปทุกอย่างขนาดนั้น ทำงานสากกระเบือยันเรือรบไม่บ่นสักคำ”
“คราวนี้ฉันพลาด บอดี้การ์ดเอาแต่ออกแรง อย่างนายจะไปเข้าใจความรู้สึกฉันได้ยังไง” ท่าทางไตรเซ็งจริงอะไรจริง
“คุณไตรก็พูดเกินไป”
“ฉันพูดน้อยไปซะด้วยซ้ำ เอาเถอะๆ ฉันขอทำงานก่อน นายจะเข้าไปพบเจ้านายรีบๆ ไป” ไตรปัดความกลุ้มใจของตัวเอง
“เจานายมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ” พยัคฆ์ก้าวเข้าไปในห้องเจ้านาย ยืนจังก้าในมาดส่วนตัวเฉพาะต่างไปจากไตร
“สืบเรื่องคนนี้ให้ที” เฮนลี่กล่าว
“ใครครับ” พยัคฆ์ศีรษะ
เฮนลี่บอกแค่ชื่อและนามสกุลคนที่ต้องการให้สืบ ชายหนุ่มต้องได้รับผลประโยชน์อันงดงามจากการให้พยัคฆ์ไปสืบค้นในครั้งนี้ เฮนลี่มีลางสังหรณ์ไม่เคยผิดพลาดคล้ายคนมีญาณพิเศษ มองการณ์ไกลไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นจึงกลายเป็นนักธุรกิจแถวหน้าระดับต้นๆ เป็นที่จับตามองที่สุดในยุคสมัยนี้
“ด่วนเลยนะพยัคฆ์ อย่าให้ฉันต้องผิดหวังเหมือนอย่างไตร”
พยัคฆ์โค้งรับคำแล้วเดินจากไป เขาทำงานรวดเร็วทันใจเจ้านายผู้ใจร้อนเสมอ พยัคฆ์มีลูกน้องนับร้อยไว้ใช้สอย ลูกน้องแต่ละคนต่างซ่อนเขี้ยวเล็บ ปีกกล้าไม่แพ้ลูกพี่เช่นพยัคฆ์ การที่ชายหนุ่มได้มีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่มือเท้าให้กับเฮนลี่ เซซานแอทตัน ทั้งหมดฝีมือไม่ใช่การเกาะแข้งเกาะขาใครเข้ามาทำงาน เมื่อก่อนเคยทำงานกับบริษัทการ์ดชั้นนำ จากนั้นจึงลาออกรับงานเอง ตามปีกที่แข็งแรงขึ้น
“ท่าทางสิงห์จะขย้ำเหยื่อล่ะคุณไตร” พยัคฆ์เดินออกจากห้องเจ้านายมาหยุดที่โต๊ะทำงานของไตรเปรยขึ้น
“สิงห์ที่ไหนเหยื่ออะไรพยัคฆ์” ไตรเงยหน้าจากกองเอกสารมองบอดี้การ์ดส่วนตัวเจ้านาย แล้วเดินจากไปโดยไม่อธิบายคำพูดเมื่อกี้ ปล่อยให้ไตรมองตามด้วยสายตาหวาดหวั่น
“ว่าไงจะกู้เท่าไหร่ หนี้คราวที่แล้วก็ยังไม่ใช้คืนเลยจะกู้เพิ่มอีกหรือ”
“ขอผมอีกห้าแสนก็พอครับพี่มิต”
“เฮ้ย กูไม่มีน้องอย่างมึงเรียกกูคุณมิต”
“ครับๆ คุณมิต”
ภูเบศน์ปากคอสั่นลิ้นรัวกลัวจนลนลาน ต่อให้เรียกท่านมิตหรือคุณชายมิต แม้แต่ท่านชายมิตภูเบศน์ยอมทั้งนั้น คราวก่อนเขากู้ไปสามแสน เล่นเสียหมดจำเป็นต้องบากหน้าไปขอยืมจากน้องสาวต้องการนำมาใช้หนี้ ทั้งที่พอรู้ว่าน้องสาวคงไม่มี เขานี่เป็นพี่ที่แย่มาก ต่อให้โดนซ้อมโดนเตะเพื่อให้ได้เงินไปต่อทุนใช้หนี้เขาจึงต้องกลับมาบ่อนนี้อีก
“ว่างๆ ไปเช็คดวงบ้างนะภู”
“เช็คดวง”
“ใช่ หลังๆ มานี้แกไม่เคยได้เลยนี่ จะกู้เพิ่มแล้วจะหาเงินจากไหนมาคืน ฉันให้แกกู้ไปคราวนั้นสามแสนยังไม่ถึงสามวัน แกกลับมาอีกหลักทรัพย์อะไรไม่มีค้ำประกันสักชิ้น”
“หลักทรัพย์ เอ่อ.” ภูเบศน์พยายามนึกทรัพย์สินส่วนตัวที่พอนำมาค้ำประกันเงินกู้ได้ บ้านสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งไว้เพื่อให้ทุกคนเป็นที่ซุกหัวนอน เขาไม่กล้าเอาสมบัติชิ้นเดียวมาผลาญได้ รถ....ใช่เขามีรถภูเบศน์นึกถึงรถคันเก่าของตัวเอง
“นี่ครับ” เขายื่นกุญแจรถไปตรงหน้ามิตหัวหน้าบ่อน มิตเป็นคนอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดรองจากเจ้าของบ่อน “รถมึง รถเก่าๆ ผุๆ ของแกหรือ โถ...ตีราคาคงถึงแสนหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันจะพอใช้หนี้อะไร” มิตบอกผีพนันด้วยสีหน้าเหี้ยม
“ได้โปรดเถอะนะครับ ถ้าผมมีเงินไปต่อทุนรับรองผมจะเอาเงินมาใช้หนี้ทั้งต้นทั้งดอกรวมของคราวที่แล้วด้วย”
มิตหันมองสบประสานนัยน์ตากับลูกน้องอีกคน ในแววตานั้นฉายแววประหลาดมีแผนร้ายแทรกอยู่ในสมอง มาอีหรอบนี้ถือว่าเหยื่อติดกับเข้าจังๆ มิตยิ้มเหี้ยมแฝงความโหดในสันดาน