ตอนที่ 2

1318 คำ
ตอนที่ 2 “ดีเป็นความคิดที่ดี” ฉู่หยางเฉินเอ่ยขึ้น แต่ทุกคนนั้นไม่ได้สังเกตกับความผิดปกติของใครบางคนที่เอาแต่เงียบไป “ว่าแต่พระชายาจะไม่โกรธหรือ ที่เห็นพวกข้าไปก่อความวุ่นวายเช่นนี้” ท่านกุนซือเกรงใจนัก เพิ่งจะแต่งงานกับพระชายาได้ไม่นาน ท่านอ๋องก็ชวนสหายไปดื่มที่ตำหนักเสียแล้ว “นางใจดีมาก ไม่โกรธหรอกน่า” จวนตระกูล หวัง ร่างแน่งน้อย นั่งตบยุงอยู่ที่จวนด้านใน หวังว่าพี่ชายจะกลับจวนมาเสียที นางมาพักอาศัยที่นี่ได้หนึ่งเดือนกว่า ๆ เพราะว่าท่านป้านั้น อยากมีหลานสาวคอยพูดคุย แต่ว่านางมาได้ไม่กี่วัน ท่านป้าก็ออกจากจวนไปถือศีลที่อาราม ปล่อยให้นางอยู่เฝ้าจวนเช่นนี้ วันนี้พี่ชายอย่าง หวังอ้ายเทียน บอกว่าจะมารับอาหารมื้อค่ำด้วยกัน นางจึงได้รอคอยให้เขากลับมา บนโต๊ะอาหารนั่น นางจัดการลงมือทำอาหารทุกอย่างที่เขาชอบ หวังเพียงสิ่งเดียวคือ ให้เขามองนางเปลี่ยนไป ไม่ใช่ฐานะน้องสาว แต่มองในฐานะสตรีจะได้หรือไม่ นางมิได้ขอมากไป ขอเพียงแค่เปิดใจมองให้กว้างขึ้น ที่จริงแล้ว ตัวนางเองมิใช่เป็นญาติใกล้ชิดสนิทชิดเชื้อสักเท่าไหร่ นางเป็นญาติห่าง ๆ ห่างมากก็ว่าได้ “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่ยังไม่มาเจ้าค่ะ จะให้ข้าน้อยนำสำรับไปเก็บก่อนหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้ว อาหารบนโต๊ะก็เย็นชืดทำให้เสียรสชาติ “อืมก็ได้ เอาไปเก็บเถิด” ลู่ฟางหลิน ดวงตาเริ่มปรือปนง่วง งุน มือเรียยกขึ้นปิดปากของตนเองที่เผลอหาวไปหลายครั้งเมื่อสาวใช้นำสำหรับไปเก็บ นางจึงเดินออกไปด้านหน้าของเรือนหลังใหญ่ ตรงไปยังต้นไม้ที่ตั้งเด่นตระหง่านนั่น มีชิงช้าที่พี่ชายจัดการผูกอย่างแน่นหนาเอาไว้ให้นางได้นั่งรับลม นางยอมรับในความใจดีของอีกฝ่าย จนเผลอไผลคิดกับเขาราวกับเป็นคนรัก คอยเป็นห่วง จัดหาอาหารไว้ให้ยามเขากลับ เพื่อที่จะทำให้เขาได้กินอิ่มท้องนอนหลับให้สบายกาย นางก็จัดการนำบรรดาเหล่าดอกไม้ทั้งหลายเก็บเอาไว้ และนำน้ำมันหอมกลิ่นอ่อน ๆ ที่เขาบอกว่าชอบนัก ยามที่ได้กลิ่นจากกายของนาง สองเท้าหยุดอยู่หน้าชิงช้า พลางหย่อนก้นลงนั่งแล้วจับที่เชือกเอาไว้ทั้งสองข้าง ในความมืดมิดมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์สาดส่องลงมา ดวงตากลมโตทอดสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้าง มองเห็นเพียงดวงดาวเล็ก ๆ เป็นประกายวาววับ แต่ผิดที่นางมีสีหน้าหม่นหมองและเศร้าใจยิ่งนักในยามนี้ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางเผลอหลับไปบนชิงช้า ผู้เป็นญาติผู้พี่ท่านรองแม่ทัพเดินเข้ามายังเรือนใหญ่ จะต้องผ่านสนามนี้ก่อน พบเห็นเงารางเลือนของสตรีหนึ่งคนนั่งอยู่บนชิงช้านั่น ‘ง่วงก็ไม่นอน จะหลับแบบนี้ได้อย่างไร หากใครเข้ามาอุ้มเจ้าไปเล่า มิมีหัวคิดเลย’ คนเมามายเป็นห่วงน้องสาว จัดการช้อนก้นนางอุ้มขึ้นแนบอก ก้าวเท้าอย่างมั่นคง เดินตรงไปยังเรือนใหญ่ ห้องข้าง ๆ ของเขาเป็นห้องของนาง คนตัวเล็กหลับใหลไม่รู้เรื่องอันใดสักนิด ว่ามีใครอุ้มนางมาส่งที่ห้อง สาวใช้และบ่าวในเรือน พอค่ำดึกดื่นก็พากันกลับเข้าไปในห้องนอนของใครของมันกันเป็นที่เรียบร้อย และจะเหลือเพียงแค่ คนที่เดินลาดตระเวนตอนดึก ๆ แค่นั้น คนตัวโตมองน้องสาว อายุของนางก็เพิ่งจะสิบเจ็ดปี ถือว่ายังเด็กอยู่นัก เดินทางมาที่นี่ก็เพียงแค่มารดาของเขาเอ่ยปาก อยากมีหลานสาวพูดคุย พอนางมาถึงไม่กี่วัน มารดาก็ออกไปอยู่อารามปล่อยให้หลานสาวอยู่ที่จวน ทำให้นางเหงาหงอยอยู่ในจวน เขาก็กลับมาบ้างเป็นบางวัน เพื่อดูว่านางอยู่อย่างไร จากนั้นเขาก็มักจะคลุกตัวอยู่ที่จวนตระกูลหยาง เพื่อดูหน้าของสตรีในดวงใจ ยามนึกถึงใบหน้างามของเสี่ยวอวี้ อดที่จะเสียใจไม่ได้ เขาวางคนหลับในอ้อมกอดนั้นลงที่เตียงนอนของนาง กลิ่นกายที่หอมอ่อน ๆ ทำให้เขารู้สึกสบายใจนัก นางน่ารัก พูดน้อย และอีกอย่างนางเรียบร้อยอ่อนหวาน มากด้วย คนตัวเล็ก เพิ่งจะรู้สึกตัวยามเมื่อนางลงนอนที่เตียงกว้าง ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ขนตาหนางอนงามขยับไหวราวกับปีกผีเสื้อที่กำลังกระพือปีก “พี่ชาย ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ หิวหรือไม่ น้องทำอาหารไว้คอยท่าน” นางรีบลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียงนอน มิห่วงว่าตนจะดูไม่ดีในสายตาของเขา ผู้เป็นพี่ชายหันหลังเดินไปจะถึงประตูห้อง ได้ยินเสียงหวานของน้องสาวก็หันกลับมา พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ขมขื่น “ข้ากินมาแล้ว เจ้าก็นอนเสียเถิด ทีหลังดึกดื่นอย่าออกไปนั่งชิงช้าอีก หากใครมาจับตัวเจ้าไปจะทำอย่างไร” พี่ชายผู้เป็นห่วงน้องสาว “เจ้าค่ะ น้องจะจดจำไว้ เช่นนั้นเชิญพี่ชายพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ อ้อ น้องเตรียมอ่างน้ำแล้วข้าง ๆ ก็มี น้ำมันหอมให้แล้วนะเจ้าคะ” ฟางหลินรีบเอ่ยขึ้น เกือบจะลืมไปเสียสนิท ท้องน้อย ๆ ของนางก็ร้องโครกครากขึ้นในกลางดึก พี่ชายอย่างท่านรองจึงได้เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แม้ว่าจะเมามายสักเท่าไหร่ สติเขายังอยู่ครบถ้วน “เจ้ายังไม่ได้กินมื้อค่ำหรือ” หวังอ้ายเทียน เดินมาใกล้ ๆ กลิ่นสุรานั้นลอยคลุ้งทำให้คนตัวเล็กย่นจมูกบ่งบอกว่านางเหม็นนัก พี่ชายถอยหลังให้ออกห่างจากนางเมื่อเห็นว่า เด็กน้อยของเขาย่นจมูกทำฟุตฟิต แต่ก็มิได้ต่อว่าเขาสักคำ ช่างน่ารักจริง ๆ “เจ้าค่ะ น้องรอพี่ชายมากินมื้อค่ำด้วยกัน ก็พี่ชายบอกว่าจะมากินเป็นเพื่อนข้านี่ จะให้ข้ากินก่อนได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” ลู่ฟางหลินเอ่ยขึ้นระบายยิ้มเล็กน้อย สังเกตใบหน้าของพี่ชายที่ออกจะแดงเพราะคงจะมึนเมาสุราไม่น้อย แต่ทว่าดวงตาเล็กหรี่ของเขากลับดูโศกเศร้านัก “ทีหลังไม่ต้องรอนะ กินก่อนเลย” พี่ชายที่แสนดีเอ่ยขึ้น “ไปกินข้าวเถิด ดูแล้วเสียงท้องของเจ้ามันดังนัก รบกวนหูของข้าจริง ๆ” เขาว่าอย่างไม่จริงจัง เดินนำหน้าของนางไป ฟางหลินมองแผ่นหลังกว้างของเขา นางอยากจะเข้าไปโอบกอดสักครั้งจะได้หรือไม่ นางได้แต่แอบมองซ่อนความรู้สึกเอาไว้ มิกล้าจะพูดมันออกไป เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายทำตัวห่างเหินนาง เป็นแบบนี้ถึงจะปวดใจไม่น้อย แต่ก็ยังดีกว่าเขาเมินเฉยเย็นชาใส่นาง คนตัวเล็ก เดินตามแผ่นหลังผู้เป็นพี่ชาย และแยกไปยังห้องครัว นางจัดการเข้าครัวก่อไฟใส่ถ่านอุ่นอาหารให้เขาเองกับมือของตนเอง ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป อาหาร้อน ๆ พร้อมกับข้าวในถ้วย และน้ำแกงปลาส่งกลิ่นหอม ๆ ยั่วน้ำลายของอีกฝ่ายไม่น้อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม