ตอนที่ 7
“ข้าไม่อยากจะคุยกับใคร” ฟางหลินรีบพูดตัดบททันที ไม่รู้ว่าสาวใช้มีเรื่องอันใดหรือไม่ นางต้องการทบทวนความคิดของนางเอง
นางเริ่มถอดใจไม่อาจจะยืนอยู่ที่นี่ได้ เพราะมันเจ็บช้ำเกินไปแล้วที่จะทน และทนไปก็รังแต่จะมีแต่ความเจ็บปวดใจทรมานตนเองเสียเปล่า ๆ เห็นทีว่าครั้งนี้นางตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะจากลา และไม่อาจจะหวนกลับมาอีก
‘พอกันที’ ฟางหลินสบถอยู่ในใจ ความคิดของนางนั้นตีกลับพัวพันหลายตลบนัก
สาวใช้คนนั้นจึงได้เงียบปากแม้จะรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้นแน่ แต่มิใช่เรื่องที่นางจะเอานายมาขาย นางจึงได้เก็บเอาไว้ แล้วเดินจากไป
จวนตระกูลหยาง
เสี่ยวอวี้เดินทางกลับมาพร้อมกับชายหนุ่มที่ว่าเป็นคู่หมาย พวกเขาสองคนกลับมาเยี่ยมท่านแม่ทัพ แล้วจะปักหลักคิดว่าจะตั้งร้านขาย น้ำเต้าหู้ ในยามเช้า ทำการค้าเล็ก ๆ ที่นี่
ท่านรองก็หลงดีอกดีใจ คิดว่าเสี่ยวอวี้เปลี่ยนใจแล้วกลับมาหาเขา แต่เปล่าเลย นางกลับยิ้มอย่างเบิกบานใจ พูดคุยราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น
หวังอ้ายเทียนเดินเข้าไปในวงสนทนานั่งที่เก้าอี้ มองไปยังดวงหน้าที่เขาอยากเจอนักหนา เขาอยากจะหยุดหัวใจที่เจ็บปวดและบอบช้ำนี้เหลือเกิน แต่เหตุใดเขาจึงตัดใจจากนางไม่ได้เสียที
“เสี่ยวอวี้ สบายดีหรือไม่” น้ำเสียงที่ส่งออกมา ฟังดูราวกับว่ามีเพียงเขาและนางสองคนเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาของหวังอ้ายเทียนในยามนี้ไม่มีให้เห็น
มองเห็นเพียงแค่คนหน้าตาทรุดโทรมหมองคล้ำและใต้ตาดำเท่านั้น เพียงแค่อยากจะพูดคุยกับนาง เขาไม่สนสายตาของสามีของนางแม้แต่น้อยนิด
เจ้าลูกหมาตัวแค่นี้ ไม่พอมือเขาหรอก อย่าว่าแต่กลัวสายตาเลย เขาจะบีบคอมันให้ตายตรงนี้ย่อมได้ แต่เกรงว่า นางในดวงใจจะเกลียดชังเขา
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ แล้วท่านรองเล่าเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขานั้นเมามายทุกวัน
เสี่ยวอ้ายเป็นคนบอกนางเองทุกถ้อยคำและอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาที่จวนนี้ ทุกเรื่องก็ถูกรายงานโดยที่ไม่ได้เอ่ยถามสักคำ คนที่รายงานมิใช่ใครคือเสี่ยวอ้าย พี่สาวของนางเอง
“อืม สบายดี สบายมากด้วย ข้าขอตัวนะ พวกเจ้าตามสบายเถิด” หวังอ้ายเทียนเก็บอาการไม่อยู่ เขาจึงได้ขอตัวออกมา
ด้วยรู้สึกดีว่าทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้ว นางทำตัวเหินห่าง สายตาของนางมิได้จดจ้องอยู่ที่เขา จดจ้องอยู่กับสามีของนาง ช่างน่าอิจฉานัก
เขาจะมีใครมองเขาแบบนี้หรือไม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจอย่างแสนสาหัส คงจะต้องหาที่ระบายอารมณ์เสียหน่อย และก็คงจะหนีไม่พ้นวงสุรา
“อาเทียนเจ้า ไปร่ำสุรากับข้าดีหรือไม่” หยางเฉิน สามีของหลิวชิง แม้ว่าเขาจะปากร้าย แต่ก็แอบสงสารสหายอย่างหวังอ้ายเทียนไม่น้อย อีกอย่างวันนี้เขาจะได้ใส่ยานั่นลงไปด้วยอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ใส่ให้สหายกินแล้ว แต่ละคนก็บอกว่าดีนัก เขาอยากรู้ว่า สหายผู้นี้นั้นเป็นเช่นไร คึกคักราวกับม้าพยศหรือไม่
“ข้าก็จะไปด้วย ดีหรือไม่เล่า” องค์ชายสามตัวก่อกวนเจ้าปัญหาเอ่ยขึ้น เพราะเขาก็อยากดื่มเหมือนกัน แต่หาสหายที่ถูกคอนั้นยากนักมิเหมือนสตรีที่จะหาและพาขึ้นเตียงเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
“ข้าก็ด้วย ดื่มด้วยกัน ให้ลืมความทุกข์ ความเสียใจ แล้วพรุ่งนี้เราต้องเดินหน้าต่อไป ก้าวมันไปให้ได้นะอาเทียน” ท่านกุนซือละจากสตรีข้างกาย มาปลอบใจสหายรัก
ผู้ที่ถูกชักชวนยิ้มเฝื่อนไปให้ พลางพากันกอดคอไปที่หอคณิกา ในเมืองหลวง แต่หยางเฉินคงจะลืมไปแล้วว่า เขาถูกภรรยาหมายหัวไว้ ห้ามเขาไปหอคณิกาเด็ดขาด
เมื่อพากันมาหยุดยืนที่หน้าหอคณิกามีสาวงามมากมายยืนเชื้อเชิญให้เขาไป ในยามที่เริ่มค่ำมืดแล้ว จู่ ๆ
ฉู่หยางเฉินก็นึกขึ้นได้
“ตายล่ะ ข้าลืมไป ชิงเอ๋อร์ ไม่ให้ข้ามาที่นี่” ฉู่หยางเฉินนึกขึ้นได้ หากก้าวเท้าเข้าไปมีหวังถูกเตะเป็นแน่ ภรรยาของเขานางยิ่งเป็นแม่เสือตัวร้ายอยู่ด้วย
“แล้วจะไปไหนดีเล่า” ท่านกุนซือเอ่ยขึ้น เขาเปรี้ยวปากอยากดื่มสุราเต็มแก่แล้ว อีกทั้งยังนึกเสียดายที่เห็นสาวงามยืนห้อมล้อมเอาไว้ แต่เขารักเพียงแค่เสี่ยวอ้ายคนเดียวเท่านั้น
“ที่จวนข้าก็ได้ ท่านแม่ไม่อยู่ อยู่เพียงก็แค่ญาติผู้น้อง นางก็เก็บตัวเงียบ ไม่วุ่นวายหรอก” หวังอ้ายเทียนเสนอตัวขึ้น
เพราะมันเป็นส่วนตัว หากเขาเมาเหมือนเมื่อคืนอีก จะได้ไม่ต้องนอนในสภาพแบบนั้น เขายังตกใจไม่หาย เสื้อผ้าสักชิ้นยังไม่มีติดกาย
หากแต่ว่าความฝันนั้นช่างเหมือนกับความจริงยิ่งนัก เขารู้สึกมีความสุขล้นที่ได้ปลดปล่อยมันออกมา ทำให้เบาสบายตัวยิ่ง
แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เขาชอบอีกด้วย ทำให้นึกถึงน้องสาวทันที กลิ่นกายนางก็หอมเช่นนี้
“ดีเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย”
บุรุษรูปงามทั้งสี่คนก็ควบม้าคนละตัว ยามค่ำคืน มีเพียงแค่เสียงของจิ้งหรีดร้องดังอยู่เท่านั้น บรรดาชาวบ้านในละแวกนั้น ต่างก็ปิดบ้านนอนกันหมดแล้ว
ยกเว้นบรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย คล้ายดั่งพวกสามีใจกล้าทำนองนั้น มิได้เกรงกลัวภรรยาก็พากันมาร่ำสุรา หาสหายพูดคุย ปรับสารทุกข์สุกดิบตามประสาชายหนุ่มทั้งหลาย
เสียงควบม้าดังกึกก้องและหยุดที่หน้าจวนตระกูลหวัง พ่อบ้านรีบเปิดประตูต้อนรับและจัดการกำชับให้บ่าวไพร่เตรียม สุราและกับแกล้มให้นายท่าน
ฟางหลินได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ข้างนอก นางมิกล้าออกมาเสนอตัว นางจึงทำได้เพียงแค่ลงมือทำกับแกล้มสุราให้พี่ชายสามสี่อย่าง
“โห อร่อยมากเลย” คำแรกที่กุนซือได้ชิม คือเนื้อเป็ดผัดพริกสามสี มันดูสีสันน่ากินไม่น้อย พอลองคีบเข้าปากต้องบอกเลยว่า เขาถูกปากยิ่งจึงได้เอ่ยชม
“อืม ใช่ นี่เป็นฝีมือน้องสาวของเจ้าหรือ” ฉู่หยางเฉินเอ่ยถาม อาหารรสเลิศไม่ธรรมดาจริง ๆ ภรรยาของเขามิได้เป็นสตรีในห้องหออย่างที่คิด
ดังนั้นอาหารในแต่ละมื้อจะเป็นฝีมือของแม่ครัวทำออกมาให้ เขามิเคยต่อว่านาง นางเป็นเช่นไร เขาก็รักนางเหมือนเดิม ถึงจะบ่นมากจนหูชา ถึงจะมือหนักจนเขาต้องเจ็บตัว เขาก็ยินดี
หวังอ้ายเทียน ส่งยิ้มเล็กน้อย พลางขบคิดเรื่องเมื่อคืน ที่เขาข้องใจอยู่ทั้งวัน คราแรกก็นึกว่าฝันไป แต่เหตุใดเหมือนความจริงยิ่งนัก