องค์ชายรองใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสะสางงาน จุดประสงค์เพียงเพื่อดึงรั้งตนเองมิให้รบกวนคนที่กำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ ลมหนาวสองราตรีที่ผ่านมากระตุ้นให้เขาต้องการความอบอุ่นจากเนื้อนวลมากเป็นพิเศษ
ร่างสูงนึกเสียดายที่ตนมิได้ทำความรู้จักกับเหม่ยฟางเมื่อครั้งยังอยู่ที่บ้านต้าหวัง เพราะหากทราบตั้งแต่แรกว่านางมิใช่สาวใช้ เขาก็คงไม่ถลำลึกมากเพียงนี้
สาวงามจากแดนใต้ยอมเสียสละตนเองเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูล ไม่หวั่นเกรงว่าจะต้องผ่านค่ำคืนที่ยาวนานหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทว่าหวังจื่อเทียนสาบานกับตนเองเอาไว้ว่าจะมิยอมให้ผิงอันสมปรารถนาได้โดยง่าย แม้ดวงตากลมโตหวานซึ้งของเหม่ยฟางจะทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่งทุกคราที่ได้เห็นก็ตามที
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ร่างสูงต้องผ่อนลมหายใจเพื่อเรียกสติ สาวใช้อาโปรายงานว่าเจ้านายของตนอาการดีขึ้นแล้ว และต้องการกล่าวขอบคุณองค์ชายรองที่ช่วยอำนวยความสะดวกและจัดหาสิ่งของจำเป็นให้ หวังจื่อเทียนพึงพอใจอยู่ไม่น้อยเมื่อพบว่านางสวมใส่เสื้อผ้าสำหรับหน้าหนาวที่เขาคัดเลือกเป็นพิเศษด้วยตนเอง
“ตำหนักเหลียนฮวาไม่สะดวกสบายดั่งเช่นวังหลวง โปรดอย่าถือสาหากมีสิ่งใดบกพร่องไปบ้าง”
เหม่ยฟางละสายตาจากเหล่าดอกไม้และกล่าวทักทายเจ้าของบ้าน นับเป็นครั้งแรกที่นางได้มีโอกาสพินิจพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาขององค์ชายรอง พบว่าเขาคล้ำขึ้นกว่าห้าปีก่อนเพียงเล็กน้อย มัดกล้ามแน่นหนาช่วยคลายความสงสัยว่าเหตุใดนางจึงไม่เคยหลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขาได้สักครา
“องค์ชายกล่าวเกินไปแล้ว หากเทียบกับบ้านต้าหวัง ถือว่าตำหนักแห่งนี้สวยงามเหนือชั้นกว่ามาก”
เหม่ยฟางกล่าวขอบคุณองค์ชายรองที่ยอมสละเวลาอันมีค่ามาเพื่อสนทนากับนาง ด้วยสาวใช้ประจำตัวสืบความได้ว่าหวังจื่อเทียนชอบหมกตัวทำงานอยู่ในห้องสมุด และเข้าพักผ่อนหลังจากตะวันตกดินเท่านั้น
“อากาศที่เมืองหลวงแตกต่างจากทางแดนใต้อยู่บ้าง ข้าต้องขอบคุณองค์ชายที่จัดการเรื่องเครื่องนุ่มห่มที่เหมาะสมให้กับข้าและสาวใช้ หากวันใดมีโอกาสข้าสัญญาว่าจะตอบแทนท่านอย่างสุดความสามารถ”
เหม่ยฟางเผลอกระชับเสื้อผ้าเข้าหาตัวเมื่อรู้สึกถึงลมหนาวที่กำลังพัดผ่าน หวังจื่อเทียนเห็นดังนั้นจึงเอ่ยชวนเข้าไปนั่งสนทนาในห้องสมุดที่อยู่ไม่ไกลนัก
“อีกราวสัปดาห์อากาศจะอบอุ่นขึ้น เหล่าดอกบัวบานสะพรั่ง ทั้งยังมีนกและผีเสื้อจำนวนมาก ถึงเวลานั้นร่างกายเจ้าน่าจะแข็งแรงดี แล้วค่อยออกไปเดินเล่นชมสวนอีกครั้ง” หวังจื่อเทียนเอ่ยวาจาปลอบประโลมเมื่อเห็นว่านางดูผิดหวังที่ถูกบังคับให้กลับเข้าไปภายในตำหนัก
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวสักครู่”
เมื่อได้ยินองค์ชายรองกล่าวดังนั้น อาโปจึงรีบถอยออกไปรออยู่ข้างนอกอย่างคนรู้งาน ก่อนหน้านี้นางถูกเอ็ดเสียยกใหญ่ เมื่อคุณหนูเล็กทราบถึงพฤติกรรมไร้มารยาทของนางที่มีต่อองค์ชายหวังจื่อเทียนเมื่อสองคืนก่อน สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ปล่อยให้เหม่ยฟางเดินตามร่างสูงเข้าไปในห้องทำงานอย่างไม่เต็มใจนัก
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ไม่ต้องยื่นห่างขนาดนั้นก็ได้”
องค์ชายรองเอ่ยเสียงเครียดเพื่อเตือนตนเองให้ทำได้อย่างที่ปากพูด ทว่าเมื่อเหม่ยฟางขยับเข้ามาใกล้เพิ่มอีกเพียงหนึ่งก้าวครึ่ง หัวใจเย็นชาปานน้ำแข็งก็เกิดเต้นผิดจังหวะ สมองจินตนาการภาพร่างเล็กตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอด หลังจากถูกเขาหยอกเย้าต้นคอขาวเพื่อกระตุ้นความต้องการ
หวังจื่อเทียนสะบัดศีรษะไล่ภาพหยาบโลนให้พ้นจากความคิด เขาแสร้งมองไปที่กองหนังสือและเริ่มบทสนทนาที่กวนใจมาหลายวัน
“ก่อนเดินทางออกจากบ้านต้าหวัง ข้าเห็นเจ้ามีท่าทีอาลัยอาวรณ์ต่อบุรุษผู้หนึ่ง” องค์ชายรองมิอาจเอื้อนเอ่ยวาจาต่อไปได้อีก เพียงคิดว่าหัวใจของเหม่ยฟางมีเจ้าของก็ให้รู้สึกราวกับกำลังดื่มยาขมขนานใหญ่ จริงอยู่ว่าเขาตั้งใจฝืนความปรารถนาเพื่อเอาชนะข้อตกลง แต่เมื่อคิดว่าตนหมดโอกาสแตะต้องนางโดยสิ้นเชิงก็ให้รู้สึกทรมานใจอยู่ไม่น้อย
เหม่ยฟางเผยเสียงหัวเราะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกจากบ้านต้าหวัง การที่ลู่เหวินเจี๋ยดูแลตัวเองเป็นอย่างดีนั้นส่งผลให้มีเขารูปร่างและใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยของตนอยู่มาก ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้องค์ชายหวังจื่อเทียนเกิดความสงสัยและเข้าใจผิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับอดีตแม่ทัพหนุ่มใหญ่
“บุรุษที่ท่านกล่าวถึงคือท่านอาลู่เหวินเจี๋ย ข้าเคารพนับถือท่านอาเสมือนคนในครอบครัว เมื่อราวยี่สิบปีก่อนเคยรับราชการที่อยู่วังหลวงและสนิทสนมกับท่านพ่ออยู่มาก หลังจากเกษียณจึงยังไปมาหาสู่กันมิได้ขาด ท่านอาเมตตาต่อข้าอยู่เสมอ คอยอบรมสั่งสอนให้ความรู้ เพื่อที่จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระท่านพ่อได้ในภายหน้า”
ดวงตากลมโตของเหม่ยฟางเปล่งประกายเมื่อเอ่ยถึงอดีตแม่ทัพ ชื่อเสียงเรียงนามฟังดูค่อนข้างคุ้นหู ทว่ากลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เขาคงต้องลองสอบถามจากหวังเจี้ยนผิงดูอีกทีว่า ลู่เหวินเจี๋ยผู้นี้คือใครและมีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่
“ภรรยาของท่านอาคงจะใจกว้างน่าดู ปล่อยให้สามีอยู่ดูแลโฉมงามของบ้านต้าหวัง โดยไม่หวั่นเกรงว่าความงามจะทำให้หัวใจรักแปรเปลี่ยน มีอะไรความสัมพันธ์ซ้อนเร้นอันใดที่ข้าควรใส่ใจอีกหรือไม่”
องค์ชายรองไม่มีปัญหากับการออกความเห็นในเชิงลบ ทว่าคำกล่าวหานั้นรุนแรงจนคนฟังถึงกับต้องขมวดคิ้ว เรื่องราวในอดีตของลู่เหวินเจี๋ยมิใช่เรื่องที่ควรนำมาพูดคุยนอกบ้านต้าหวัง
ผิงอันลอบฟังบทสนทนาอยู่พักใหญ่แล้ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลังเลที่จะตอบคำถามจึงยอมเสียมารยาทเดินเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำชาและขนม นางทราบดีว่าหวังจื่อเทียนกำลังร้อนใจเรื่องความสัมพันธ์ของน้องสาวบุญธรรมและชายแปลกหน้า จึงตัดสินใจกดดันให้เหม่ยฟางยอมอธิบายเรื่องนี้ด้วยตนเอง
“ข้าชี้แจงเรื่องนี้ต่อท่านอยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนวาจาของข้าคงไม่น่าเชื่อถือ ต้องรบกวนให้เหม่ยฟางยอมเผยข้อมูลของท่านอาลู่เหวินเจี๋ยโดยละเอียด จะได้คลายความสงสัยและรักษาชื่อเสียงของตระกูล”
ผิงอันทราบอยู่แก่ใจดีว่าเพียงการขอร้องอาจมีน้ำหนักไม่มากพอ จึงนำเรื่องศักดิ์ศรีของตระกูลมาบีบบังคับเพื่อให้ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน
ตั้งแต่เหม่ยฟางจำความได้ก็พบลู่เหวินเจี๋ยเดินเข้าออกบ้านต้าหวังตามใจต้องการอยู่เสมอ นางเคยสอบถามถึงความเป็นมาของเขาจากบิดาและได้รับคำตอบที่ฟังดูแล้วไม่น่าสนใจนัก ทว่ายังถูกกำชับให้เก็บเรื่องนี้ไว้กับตนเอง
คราวนี้คุณหนูเล็กแห่งบ้านต้าหวังจำยอมเปิดเผยเรื่องราวของคนที่นางเคารพเสมือนบิดา เพื่อให้องค์ชายรองสบายใจและเลิกพูดจาส่อเสียดเรื่องระหว่างนางและอดีตแม่ทัพ
“เมื่อยี่สิบปีก่อน ตระกูลลู่ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ โรคร้ายแรงระบาดไปทั่วแดนใต้คร่าชีวิตผู้คนนับพัน ตอนนั้นท่านอารับราชการอยู่เมืองหลวงจึงเป็นผู้เดียวที่เหลือรอด นับเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูล ในภายหลังได้คบหาดูใจกับคนรักใหม่ แต่นางกลับหักหลังและออกเรือนไปกับผู้อื่น องค์ชายจะหมิ่นเกียรติข้าอย่างไรก็ย่อมได้ แต่โปรดละเว้นท่านอาจากเรื่องราวชวนปวดหัวพวกนี้ด้วยเถิด”
“เรื่องที่เหม่ยฟางรักและเคารพท่านอาเสมือนบิดานั้นเป็นที่ทราบกันดีในบ้านต้าหวัง น้องสาวของข้าไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ปฏิบัติตามกฎระเบียบของตระกูลและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณอยู่เสมอ หากท่านทำความรู้จักกับนางให้มากขึ้น ก็จะทราบเองว่าข้าไม่ได้ตัดสินใจผิดเลยแม้แต่น้อย” ผิงอันปล่อยทั้งสองไว้ตามลำพังอีกครั้ง เพื่อมิให้เหม่ยฟางและหวังจื่อเทียนอึดอัดไปมากกว่าที่เป็นอยู่
องค์ชายรองใช้เวลาตลอดเช้าทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี นำเหม่ยฟางเที่ยวชมตำหนักเหลียนฮวาเพื่อทำความคุ้นเคย ทว่านางกลับให้ความสนใจกับห้องสมุดที่เขาใช้ทำงานมากกว่า หวังจื่อเทียนต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าร่างบางมีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก
สิ่งที่สร้างความประทับใจอย่างมากก็คือความสามารถทางกวี เหม่ยฟางสามารถต่อบทกลอนกับเขาได้อย่างไพเราะคล่องแคล่ว แม้จะจับดาบฟาดฟันไม่ได้ ทว่าคำพูดและใบหน้างามนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าอาวุธใดๆ เสียอีก เสน่ห์ของนางผู้นี้ทำให้เขาลืมตัวหยอกเย้า เอ่ยคำหวานราวกับมิได้ขุ่นเคืองใจกันมาก่อน
ช่วงบ่ายเดียวกันนั้นเอง อาโปได้แจ้งข่าวว่าแก่เหม่ยฟางว่า นายหญิงของบ้านตัดสินใจเดินทางออกไปถือศีลที่นอกเมือง หวังจื่อเทียนเข้าใจดีว่านางคงไม่อยากให้บรรยากาศอึดอัดไปมากกว่าเป็นอยู่ เขาจึงขอตัวจากคู่สนทนาอย่างสุภาพ ก่อนตรงไปยังห้องพักของชายาเอกเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี
“ขอให้ท่านดูแลเมตตานางตามสมควร อย่างไรเสียนางก็เป็นเด็กที่น่ารักและว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง ท่านเองก็มีเสน่ห์ล้นเหลือ การที่จะทำให้นางโอนอ่อนผ่อนตามคงจะไม่ยากอะไรนัก ข้าจะไปทางใต้เพื่อถือศีลภาวนา หวังว่าท่านคงจะไม่ขัดข้อง”
ผิงอันเอ่ยตรงเข้าประเด็นโดยยอมเสียเวลาชักแม่น้ำทั้งห้า หากนางยังอยู่ที่ตำหนักเหลียนฮวา ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็คงไม่คืบหน้าไปไหนได้ไกลนัก
“แผนของเจ้าจะไม่มีทางสำเร็จ ความงามของนางยังน่าดึงดูดน้อยกว่าอิสรภาพที่จะได้รับหลังจากเดิมพันครั้งนี้จบลง เรื่องออกเดินทางถือศีลภาวนา ข้าไม่ขอขัดข้องให้เป็นบาป แต่จงดูแลตนเองให้ดีและอย่าทำอะไรให้ข้าต้องเสื่อมเสียไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
“ตัดสินใจประการใดก็แล้วแต่ใจท่าน ขอเพียงอย่างเดียวว่าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองเหม่ยฟาง นางเพียงต้องการรักษาชื่อเสียงของตระกูลมิให้แปดเปื้อน หาได้ร่วมวางแผนทำลายศีลธรรมอันดีของท่านไม่ ข้าคิดว่านางยอมตกลงเพียงเพราะคิดว่าท่านมีใจเสน่หาต่อนาง หาได้ฝืนใจตัวเองกระทำเรื่องที่ขัดต่อความต้องการอย่างที่ท่านอ้างในตอนนี้” ผิงอันวางหมากสำคัญเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนขอตัวไปลาน้องสาวบุญธรรมที่ยังคงตื่นตากับหนังสือและตำราจำนวนมาก
“เจ้ายังคงสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไม่มีเปลี่ยนเลยนะเหม่ยฟาง ข้านึกว่าพอโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว เจ้าจะหันไปสนใจเรื่องความสวยความงามเสียอีก” ผิงอันหยอกเย้าน้องสาวเพื่อเริ่มบทสนทนา มือเรียวยาวตรงเข้ากุมมือคนที่กำลังจะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้นางด้วยความรู้สึกสับสนเกินบรรยาย
“ข้าศึกษาทั้งเรื่องดอกไม้และภาพวาดตามท่านพี่เคยแนะนำสั่งสอน ทว่าตำราประวัติศาสตร์และเหล่าบทกวีก็ยังเป็นสิ่งที่ข้าให้ความสนใจเป็นอันดับแรกมิเปลี่ยนแปลง ท่านอาลู่เหวินเจี๋ยเองก็ได้ให้การสนับสนุน หาตำรามากมายพร้อมทั้งเล่าเรื่องที่มิได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าหนังสือให้ฟังตามโอกาส”
เหม่ยฟางฝืนยิ้มเผื่อซ่อนความเศร้าหมอง หลายวันที่ผ่านมานางคิดถึงบ้านต้าหวังและทุกคนที่อยู่ทางแดนใต้จนแทบควบคุมความเสียใจเอาไว้ไม่อยู่ ถึงเวลาแล้วที่จะก้าวผ่านความรู้สึกที่ทำให้นางอ่อนแอและละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง