EP04
-ลิ้มรสรักครั้งที่4-
'ถ้ามันจะต่าง ก็ต่างตรงที่จี๊ดไม่ต้องขอ...พี่ก็พร้อมจะทำ'
พี่โตยิ้ม และยอมผละตัวออกไปหลังพูดจบ เขาไม่ได้หันกลับมาสนใจฉันแต่เดินตรงไปยังประตูห้อง แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรได้
"อ้อ!แม่บอกให้พี่มาตามจี๊ดลงไปกินข้าวน่ะ" นี่คงเป็นเหตุผลจริงๆที่ทำให้เขาพาตัวเองมาหาฉันถึงในห้องแบบนี้
พี่โตทิ้งคำพูดประโยคสุดทายไว้แค่นั้นก่อนเดินออกไป ปล่อยฉันทิ้งไว้กับความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นหลังการกระทำเขาเมื่อครู่
เวลาต่อมา...
ฉันพาตัวเองลงมายังห้องครัว ซึ่งตอนนี้คุณน้าเจ้าของบ้านได้จัดเตรียมมื้อเย็นไว้จนเต็มโต๊ะ
"ส้ม พี่โตไปเรียกแกยัง" แต้วถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าฉันเดินเข้าไป
"อื้อ.." ฉันบอกเพื่อนสนิทไม่เต็มเสียงนัก เพราะเมื่อพูดถึงพี่โต ในหัวก็มักจะคิดถึงการกระทำของเขาตามมาเสมอ
"เมื่อวานนอนค้างที่ร้านพี่ฉัน ทำไมไม่โทรมาบอกบ้าง คนเค้าเป็นห่วงอ่ะรู้ไหม?"
"ขอโทษนะ พอดีฉันเผลอหลับน่ะ"
"วันนี้แกไม่ไป ม. ไอ้บุ๊คพล่ามหาแกทั้งวันเลย ฉันล่ะสุดจะรำคาญ" ฉันแค่นเสียงขำ เมื่อได้ฟังแต้วบอกแบบนั้น
แต้วกับบุ๊คน่ะ ปล่อยให้อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก พวกเขากัดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เชื่อเลยว่า วันนี้แต้วคงจะหงุดหงิดทั้งวันเพราะบุ๊คแน่ๆ
"อ้าวนั่น..." แต่จู่ๆ แต้วก็ส่งเสียงทักขึ้นพลางใช้นิ้วจิ้มบริเวณต้นคอฉันเบาๆ "โดนยุงกัดมาเหรอ แดงเชียว"
คำทักท้วงดังกล่างทำฉันตาโต รีบใช้มือปิดรอยที่แต้วว่าอย่ารวดเร็ว ทั่วหน้าร้อนไปหมดเพราะรู้ดีว่ารอยที่แต้วว่ามันไม่ได้เกิดจากการถูกยุงกัดธรรมดาๆ
แต่ไม่ทันได้พูดแก้ต่างอะไรให้ตัวเอง เสียงของใครอีกคนก็ดังแทรกขัดบทสนทนาระหว่างเราขึ้นเสียก่อน
"แม่ครับ ทำไรกินหอมจัง" เสียงเขาดังเหมือนจงใจแทรกวงสนทนาของเรา จนแต้วหันไปแขวะ
"นี่พี่ เดี๋ยวนี้หัดประจบแม่แล้วเหรอ?"
คนถูกเหน็บไม่ตอบ แต่เขากลับยิ้มให้น้อยสาวตัวเอง พลางวางมือบนหัวแต้วและยีหัวเธอแรงๆเพื่อเดินผ่านไป
ข้อดีของพี่โตก็คือ เขาเป็นคนรักครอบครัว และรักน้องสาวมาก เขาดูใจดีแบบนี้ทุกครั้งเวลาอยู่กับแต้วและฉัน ซึ่งความใตดีที่เขาแสดงให้เห็นบ่อยๆ มันเลยทำให้เด็กคยหนึ่งรู้สึกหลงรักเขาขึ้นมาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
"วันนี้แม่ซื้อผลไม้ที่โตชอบมาด้วยนะ" การพูดคุยระหว่างแม่และลูกชาย ทำฉันกับแต้วเหลือบมองไปยังคนทั้งคู่ทันที
แต้วเบ้ปากคล้ยกับหมั่นไส้พี่ชายตัวเอง แต่ฉันดันมองคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกอื่น
"โตชอบกินเงาะใช่ไหม แม่ซื้อมาตั้ง 4 โลแหนะ...พรุ่งนี้ก็เอาไปไว้ที่ร้าน 2 โล เผื่อหนูตูนจะได้ทานด้วย"
ท่าทางน่ารักๆ ที่เขาใช้ออดอ้อนแม่ตัวเองโดยการใช้ร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยศิลปะลวดลายบนผิวหนังดูขัดกันมากๆ แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกว่ามันคือการลงตัวด้วยเช่นกัน
ทว่า ตอนนั้นเอง จู่ๆ ผู้ชายตัวสูงที่กำลังคลอเคลียแม่ตัวเองอยู่นั้นกลับตวัดหางตามองมาราวกับรู้ว่าถูกมอง
วินาทีที่ถูกเขาจ้องกลับมาฉันเผลอกลั้นหายใจ เมื่อพบกับรอยยิ้มเล็กบนใบหน้าเขา
"ตอนนี้โตไม่อยากกินเงาะแล้วอ่ะแม่.." สายตาเขาน่ะมองฉัน ขณะปากบอกแม่
"อ้าว งั้นโตอยากกินอะไรล่ะลูก แม่จะได้ซื้อมาไว้ที่บ้าน"
"โตอยาก..."
เขาจงใจเงียบลงในช่วงท้ายพร้อมทั้งหรี่ตาลงนิดๆ จากนั้นจึงยอมพูด
"อยากกินส้ม..."
อีกครั้งที่เหมือนเขาตั้งใจกดดันฉันให้ตกอยู่ในฐานะของเชลยหรือทาสความรู้สึก ซึ่งมันก็เหมือนทุกครั้งที่ฉันเกลียดตัวขึ้นมาเพราะดันรู้สึกวูบไหวตามเกมที่เขาเป็นผู้กำหนด
“เดี๋ยวฉันมานะแต้ว”
“อ้าว ไปไหนอ่ะ!? ไม่กินข้าวเย็นเหรอ”
เพราะพยายามแล้วที่จะหยุดความรู้สึกที่มีต่อเขาลง พยายามมอบสิ่งเหล่านั้นให้กับคนอื่นที่เข้ามาในชีวิต แต่มันยากจัง...ฉันทำได้ไม่เต็มที่เลย
ในเมื่อทำไม่ได้ ฉันเลยต้องเป็นฝ่านหนีไปจากสถานการณ์นั้น เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองลงที่ใดที่หนึ่งที่ไม่มีเขาอยู่ตรงนั้น...
ซึ่งฉันก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย นอกจากพาตัวเองมานั่งโยนอยู่ที่ชิงช้าขนาดเล็กสำหรับเด็กที่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน ฉันนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งขึ้นเบอร์โทรทางไกลของต่างประเทศ และจ้องมันอยู่แบบนั้น
นี่มันกี่ปีแล้วนะฉันไม่ได้เจอหน้ามะม๊ากับปะป๊าเลยนับตั้งแต่พวกเขาย้ายไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ
“เฮ้อออ” ถึงจะเคยคุยกันผ่านโปรแกรมแชทบ้างก็เถอะ แต่ยังไงการได้เจอหน้ากันมันก็อบอุ่นกว่าเห็นๆ
Rrrrrrr
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อโทรศัพท์ในมือจู่ๆ ก็เริ่มสั่นอย่างแรงพร้อมเสียงเรียกเข้า ความตกใจทำฉันเผลอกดรับสายทันทีแบบไม่ดูเบอร์
“ฮัลโหล…”
[หายหรือยังคะ?] น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของชายหนุ่มดังแทรกผ่านปลายสายโดยที่ฉันยังพูดไม่ทันขาดคำ น้ำเสียงใจดีและอบอุ่นแบบนั้น ทำให้รู้ทันทีว่าเขาเป็นใครเมื่อได้ฟัง
“พี่ยูยะ...”
[เห็นไอ้โตบอกเมื่อวานส้มจี๊ดแพ้เหล้า ไข้ขึ้น ตอนนี้ดีขึ้นหรือยังเอ่ยย~]
“ดะ ดีขึ้นแล้วค่ะ” พี่โตโกหกพี่ยูยะไปอย่างนั้นเหรอ
[ตัวเล็ก~ พี่ขอโทษนะคะ พี่ไม่รู้ว่าเราแพ้เหล้าอ่ะ ถ้าพี่รู้พี่คงไม่ให้กินแบบนั้นหรอก] น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกผิดจนคนฟังรู้สึกได้
“หนูไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ พี่ยูยะไม่ต้องขอโทษก็ได้” เพราะพี่โตโกหกเอาไว้ ฉันก็เลยต้องโกหกตามไป
[แน่นะ?]
“อื้อ แน่สิคะ”
[งั้นยิ้มให้พี่ดูก่อนเร็ววว~]
“พี่ยูยะจะบ้าเหรอ หนูยิ้มคนเดียว ใครเห็นต้องหาว่าบ้าแน่ๆ”
[คนเดียวที่ไหนคะ เงยหน้าขึ้นสิ...] ร่างกายปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ฟังจากโทรศัพท์ มองตรงไปยังทางเบื้องหน้า ก่อนพบเข้ากับร่างสูงของผู้ชายแต่งกายเซอร์ๆ กับรอยสักเต็มแขน ที่ขัดกับนิสัยขี้อ้อนและลวดลายบนปลายขวาของเขาตอนนี้คงเป็นตุ๊กตาหมีสีกาแฟที่เขาใช้โบกไปมาแทนการทักทาย
[คราวนี้ส้มจี๊ด ยิ้มให้พี่ดูได้หรือยังคะ?] ฉันไม่ได้ตอบอะไรพี่ยูยะ แต่ยิ้มให้ตามที่เขาขอ และมองอีกฝ่ายเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ ในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ฉันบอกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร มันไม่ใช่ความรู้สึกแย่ๆ ยามที่เห็นเขาทำท่าแบบนั้น กลับกันเลยล่ะ ฉันรู้สึกดี...
“ไหนๆ ตัวเล็กของพี่ยิ้มหรือยัง” พี่ยูยะถามเมื่อเขาเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นพลางลดโทรศัพท์ในมือลง “เอะเอ๋~ ยิ้มแล้วนี่นาา~”
“คิกๆ”
“นั่นแน่! มีหัวเราะด้วย”
“พี่ยูยะ! บ้า!” ฉันใช้มือดันบริเวณหน้าท้องอีกฝ่ายให้ถอยห่างอย่างนึกเขินที่เขาเอาแต่แซวกันแบบนี้
“หมีค่ะ พี่ให้” เขาหัวเราะและนั่งลงบนชิงช้าข้างๆ และเริ่มโยกตัวไปไปมาโดยยังจับสายตามองมาทางฉันที่เพิ่งรับตุ๊กตาหมีตัวเล็กมาจากมือเขา
“พี่ยูยะรู้ได้ยังไงคะ ว่าหนูอยู่ที่นี่” ฉันถามยิ้มๆ แบบไม่มอง มือจับขนนุ่มนิ่มจากตุ๊กตาหมีเพื่อแก้เขิน
“ไอ้โตมันบอกพี่ค่ะ ก่อนหน้านี้พี่แวะเข้าไปหาส้มจี๊ดที่บ้านมา”
พี่โตบอกงั้นเหรอ... งั้นก็แปลว่าเขารู้งั้นสิ
“แล้วทำไมส้มจี๊ดออกมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะคะ?”
“มะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” คนเราพอเริ่มโกหกแล้ว ก็มักจะโกหกกันต่อไปอย่างที่ฉันกำลังเป็นอยู่ “หนูก็แค่อยากเล่นชิงช้าขึ้นมาก็เลย...”
“เด็กน้อย~” พี่ยูยะแทรกเสียงติดตลก “เมื่อไหร่จะโต หืม?”
“หนูโตแล้วน่า” ฉันยู่ปากเมื่อโดนแซว
“ถ้าโตแล้ว งั้นพรุ่งนี้ไปดูหนังกับพี่มะ”
“คะ?”
“พรุ่งนี้เราไปเดทกัน พี่อยากดูหนังกับส้มจี๊ดมานานแล้ว ไปนะ...”
ตั้งแต่ตกลงคบหากับพี่ยูยะมา เราสองคนไม่เคยเดทกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักครั้ง เจอกันส่วนใหญ่ก็ที่ร้านสักเท่านั้น นอกนั้นก็คุยกันผ่านโทรศัพท์
“แต่หนูมีเรียนเช้านะ ถ้าไปต้องไปหลังเที่ยง”
“ตอนไหนพี่ก็ไปได้ค่ะ แค่ส้มจี๊ดไปกับพี่ก็พอ” เขายิ้ม ฉันจึงยิ้มตอบ
“งั้นก็ตกลงค่ะ หนูไป” ถ้าได้ลองไปเดทดูสักครั้ง มันก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง จะได้ลืมๆ เรื่องที่พี่โตพยายามทำมาทั้งหมดไปด้วยในตัว
หลังจากนั้นทั้งฉันและพี่ยูยะก็นั่งคุยเรื่องสรรเพเหระกันต่อราวๆ 10 นาทีก่อนที่เขาจะอาสาเดินกลับบ้านเป็นเพื่อน ตลอดทางที่ยูยะกุมมือฉันตามหน้าที่แฟนไว้แน่น ส่วนตัวแล้วฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจฝ่ามือเขาเลย ที่สำคัญมือของเขายังให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่แพ้ใคร
และไม่แพ้พี่โตเลยสักนิด...
“อ้าวส้มจี๊ด! ยูยะ!” ทว่า เดินมาถึงหน้าบ้าน มือของเราที่กุมกันไว้ก็เป็นอันต้องผละจากกันเมื่อถูกทักทายจากหญิงสาวหน้าตาสละสวยในชุดเสื้อมกล้ามกับเสื้อแขนกุดโชว์ลวยลายศิลปะบริเวณแผ่นหลัง ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาสวยเฉี่ยวของพี่การ์ตูนได้อยู่ดี
“คิกๆ จับกันต่อเถอะจ้า พี่ไม่แซว”
“ฮันน่อวว~” ใช่! พี่การ์ตูนไม่แซว แต่พี่ยูยะนี่สิจะแซวทำไม!?
เขาถือโอกาสในช่วงที่พี่การ์ตูนอนุญาตคว้ามือฉันไปกุมไว้เป็นหนที่สองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างคนมีความสุข เวลานี้สิ่งที่เรียกความสนใจไปจากฉันไม่ใช่ทั้งเสียงแซวของพี่ยูยะหรือใบหน้าสวยๆ ของพี่การ์ตูน แต่ดันเป็นรอยจ้ำสีแดงบริเวณต้นคอของเธอต่าง ซึ่งดูเหมือนว่าพี่การ์ตูนเองก็กำลังมองฉันอยู่เช่นกัน
“อ้าวนั่น ส้มจี๊ดไปทำอะไรมา ทำไมคอถึงเป็นรอยแบบนั้นล่ะ” แถมยังชิงทักขึ้นมาเสียก่อน
“คือว่านี่มัน...”
“ยุงกัดล่ะมั้ง...ไหนพี่ดูหน่อย” พี่ยูยะไม่พูดอย่างเดียวเขารีบเอื้อมมือแตะต้นคอฉันอย่างรวดเร็ว และตอนนั้นเองที่มีเสียงของใครคนหนึ่งพูดขึ้นขัดขั้นสถานการณ์ทั้งหมดในสงบลง
“บอกแล้วไงว่าที่สนามเด็กเล่นยุงมันเยอะ...” คำพูดดังกล่าวเรียกความสนใจจากเรา 3 คนได้แทบทันที บริเวณรั้วไม้ทรงเตี้ยปรากฏร่างสูงของผู้ชายซึ่งดูคุ้นตา “ระวังจะเป็นไข้เลือดออก”
ฉันรู้ว่านั่นมันก็แค่คำพูดหลอกลวงเพื่อช่วยแก้ต่างไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราแดงออกมาเท่านั้น ฉันเหมือนลงเรือลำเดียวกับเขาแล้วไม่มีผิด
“ค่ะ วันหลังหนูจะไม่ไปนั่งที่นั่นตอนค่ำๆ อีกแล้ว”
“ดีค่ะ เพราะตรงนั้นน่ะ...” พี่โตพูดพร้อมรอยยิ้มใจดีเปื้อนหน้าหากทว่า ประโยคต่อมากลับกระตุกใจฉันสิ้นดี
“ยุงมันตัวใหญ่มาก”
“โต เลิกแกล้งน้องได้แล้ว!” โชคดีที่พี่การ์ตูนอยู่ใกล้ๆ เธอจึงเอื้อมมือตีแขนพี่โตเบาเพื่อปราม ซึ่งมันได้ผล เมื่อเขาถูกดึงออกห่างจากฉันไป
สายตาที่เคยมองฉันตอนนี้เลื่อนมองคนรักของตัวพร้อมรอยยิ้มนิดๆ มุมปากแม้ว่ากำลังถูกบ่นใส่ก็ตาม
“โตเนี่ย..ทำไมชอบแกล้งส้มจี๊ดนักนะ”
“เออ เป็นไรชอบแกล้งแฟนกูจัง” พี่ยูยะเองก็ไม่รอช้ารีบออกปากช่วยพี่การ์ตูนว่าสมทบทันที
“ก็กูไม่อยากแกล้งการ์ตูนนี่หว่า...” เขาตอบเสียงปกติ แต่ไม่ใช่กับมือที่ค่อยๆ เลื่อนโอบเอวแฟนตัวเองเขามาแนบชิดลำตัวจนเธอต้องใช้มือต้นแขนเขาให้ปล่อยด้วยท่าทางเคอะเขิน
“เออ! ส้มจี๊ดไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
“ไม่เป็นอะไรคะ” ฉันส่ายหน้ายิ้มๆ ส่วนพี่ยูยะเองก็ยิ้มรับ ก่อนหันกลับไปหาเพื่อนสนิทแล้วพูดขึ้น
“เออไอ้โต พรุ่งนี้ช่วงบ่ายกูไม่เข้าร้านนะ”
ฉันเหลียวมองหน้าพี่โตอีกครั้งเพราะรู้ว่าพี่ยูยะจะพูดอะไร และตอนนั้นเองฉันก็พบว่าสายตาของพี่โตไม่ได้สนใจหรือมองหน้าเพื่อนของตัวเองเลย เขาว่าสายตาเขากำลังมองต่ำลงมายังมือของพี่ยูยะซึ่งกำลังกุมมือฉันอยู่แม้ว่าแขนเขาจะโอบเอวพี่การ์ตูนไว้ก็ตาม
“ทำไมวะ?” เขาถามกลับ และค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าพี่ยูยะ
“นี่ไง!” พี่ยูยะตอบด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างสุดๆ มิหนำซ้ำยังดึงมือฉันที่กุมไว้ขึ้นโชว์ต่อหน้าพี่การ์ตูนกับพี่โตด้วย “พรุ่งนี้ กูจะไปดูหนังกับแฟน”
ไม่มีคำพูดใดจากพี่โตตอบกลับมา มีแค่เสียงหัวเราะคิกคักของพี่การ์ตูนซึ่งเหมือนตลกเพื่อนของตัวเองเท่านั้น
“มึงไม่ชอบดูหนังในโรงนี่ งั้นบัตรลดป๊อบคอร์นอ่ะ กูขอได้ป่ะ...” บรรยากาศที่เงียบลงทำให้พี่ยูยะเอ่ยปากขอตามประสาคนกันเอง แต่ว่า
“ไม่ได้ว่ะ” พี่โตกลับปฏิเสธ
“เอ้า อะไรวะ มึงไม่ชอบดูหนังไม่ใช่ไง เก็บไว้เดี๋ยวมันหมดเขตนะเว้ย!”
“เออ ไม่ชอบ แต่ตอนนี้กูอยากดูขึ้นมาบ้างแล้ว”
เพราะพี่โตประกาศแบบนั้นเมื่อช่วงหัวค่ำ พี่ยูยะจึงต้องตามเลย ล้มเลิกที่จะขอบัตรลดราคาป๊อบคอร์นแต่เขาก็ไม่ได้ล้มเลิกการไปเดทกับฉันวันพรุ่งนี้หรอกนะ หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายฉันก็รีบชิงพาตัวเองเข้าบ้านก่อนใคร เพราะยังไม่ได้กินข้าวเย็น สถานที่ที่ฉันมาคือห้องครัว
“นั่นแน่ พรุ่งนี้มีเดทเหรอ?” เสียงแซวของแต้วดังขึ้นขณะฉันตักข้าวใส่จาน
“อื้อ” ฉันพยักหน้ายิ้มๆ
“แหม น่าอิจฉาจัง ว่าแต่ดูหนังเรื่องอะไรอ่ะ?”
“ยังไม่รู้เลย ต้องถามพี่ยูยะอีกทีอ่ะ” ฉันบอกแต้วแบบไม่หันไปมอง ได้ยินแค่เสียงหัวเราะคิกคักของเธอตอบกลับมา พานให้ต้องหันมองอย่างอดไม่ได้ ก่อนพบเข้ากับพี่โตซึ่งกำลังทำท่าล้อเลียนฉันอยู่เบื้องหลังโดยมีน้องสาวตัวดีของเขากลั้นขำไปด้วย
“อะไร ตลกกันมากเหรอ!?” เห็นแล้วก็เคืองที่เพื่อสนิทดูจะเข้ากับพี่ชายตัวเองได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
“ไม่กวนเวลากินข้าวของส้มแล้ว ไปดีกว่า~” พอถูกดุเข้าหน่อยแต้วก็รีบชิงออกจากห้องครัวทันที ไม่ใช่เพราะเธอกลัวหรอกนะ แต่เพราะเธอเองก็รู้ ว่าฉันรู้สึกยังไงกับพี่ชายตัวเอง (ต่อให้ที่ผ่านมาแต้วจะเอาแต่ยุให้ฉันคบกับพี่ยูยะก็เถอะ)
“จี๊ดตักข้าวเผื่อพี่ด้วยจานหนึ่ง...” แต้วคล้อยหลังออกไปได้ไม่เท่าไหร่ พี่โตก็เปิดปากพูดขึ้นทันที
“พี่โตกินแล้ว จะกินทำไมอีกละคะ?”
“ยังไม่ได้กินค่ะ ตอนจะกินแม่ใช้ไปตามเด็กหนีข้าวเย็นซะก่อน...”
“...”
“ยังไงก็ฝากตักข้าวเผื่อด้วยจานหนึ่งนะคะ” ฉันเขาใจที่เขาพูด และเพราะเข้าใจฉันจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะทำตัวไร้น้ำใจกับลูกชายเจ้าของบ้าน
ข้าวเปล่าร้อนๆ สองจานถูกวางลงบนโต๊ะ ตรงหน้าฉันจาน ตรงหน้าพี่โตจาน เรานั่งคนละฝั่งของโต๊ะแบบหันหน้าเข้าหากัน ฉันเลี่ยงที่จะมองหน้าเขาและรีบๆ ตักกับข้าวตรงหน้าใส่จานโดยไม่พูดอะไร
พี่โตก็เหมือนกัน บรรยากาศระหว่างกินข้าวจึงเงียบ มีเพียงข่าวรายงานสดเรื่องคนร้ายยิงตัวประกันซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนภายในคอนโดชื่อดังแห่งหนึ่งแว่วพอทำให้บริเวณนั้นไม่เงียบจนเกินไปก็เท่านั้น...
“จี๊ดชอบไอ้ย๊ะมันจริงๆเหรอคะ?”
ทั้งที่ตอนแรกมันก็เงียบสงบอยู่แล้วแท้ๆ แต่พี่โตก็ทำลายความเงียบลงและแทรกความอึดอัดเข้ามาแทนที่
“พี่โตเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?” ฉันย้อนพลางเอื้อมมือตักแกงจืดจากชามกระเบื้องตรงหน้า
“พี่หึงค่ะ” ซึ่งเขาก็สวนกลับมาแทบจะทันที ด้วยน้ำเสียงเฉยๆ ติดไปทางแกล้งกันด้วยซ้ำ
“พ พี่โตไม่มีสิทธิ์หึงสักหน่อย” แต่ถ้อยคำบ้าๆ นั่นทำฉันเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองและรับรู้ได้ว่าเขาเริ่มแกล้งแรงขึ้นนับตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น
“ค่ะพี่รู้ พี่ไม่มีสิทธิ์หึงแฟนของเพื่อน”
“...”
“แต่พี่มีสิทธิ์หวงเมียตัวเองถูกไหมคะ?” และแรงขึ้นทุกที...
เกร้ง!
มือฉันหยุดชะงักลง เพราะปลายช้อนของคนคัวใหญ่กระทบเขากับช้อนฉันแบบไม่ตั้งใจ การชะงักงันระหว่างช้อนของเราทั้งคู่ทำฉันช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เมเพิ่มมากขึ้นทุกที
แต่ยังคงไม่หนำใจพี่โตนัก เขาถึงได้พูดไม่หยุด
“ไหนจี๊ดบอกชาตินี้จะทำให้พี่หาเมียไม่ได้ไงล่ะ?” พูดเรื่องเก่าๆ ราวกับจะตอกย้ำ
“หนูรู้เท่าไม่ถึงการณ์...เลยพูดไม่คิด” นี่คือคำตอบของฉันที่บอกไปแบบส่งๆ เพื่อให้เขาเลิกพูดเรื่องเก่าๆ สักที แม้จริงๆ แล้วฉันท้อและยอมแพ้ไปเองต่างหาก แต่ว่าอีกฝ่ายดันพูดแทรกขึ้นมา
“ฮ่าๆ ดีจังเลยนะคะการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนี่ย...” เขาแค่นเสียงหัวเราะ ซึ่งดูขัดกับแววตาใจดีของพี่โตซึ่งเกิดความวูบไหวเล็กๆ แม้มันจะแค่ครู่เดียวก่อนที่เขาจะยิ้มตาปิดราวกับจะซ่อนแววตาดังกล่าว โดยเฉพาะกับคำพูดถัดมา
“ทำพี่หลงเชื่อมาตั้งนาน...”