EP06
-ลิ้มรสรักครั้งที่6-
‘จี๊ดไม่อยากปีนต้นงิ้วกับพี่เหรอคะ?’
สิ้นเสียงกระซิบดังกล่าว บทเพลงหนักๆ ก็ถูกปิดลงได้ในที่สุด ซึ่งนั่นเป็นังหวะเดียวกับที่เสียงของพี่ยูยะดังแทรกขึ้นมาอย่างดีอกดีใจ
“กูปิดเพลงมึงได้แล้วไอ้โต...” แต่ว่า น้ำเสียงดีใจดังกล่าวกลับเป็นอันต้องขาดหายไปในช่วงท้าย เมื่อเจ้าของน้ำเสียงดังกล่าวมองมาทางเราทั้งคู่ในช่วงที่พี่โตผละริมฝีปากออกไปพอดิบพอดี
ฟึ่บ!
“ทำเชี่ยไรวะไอ้โต!?” พี่ยูยะรีบผละตัวจากหน้าจอตรงหน้า ตรงเข้ามาหาเราทั้งคู่ทันที เขาดูไม่พอใจแต่อีกนัยหนึ่งก็ฝงไว้ด้วยความสงสัย
“อะไรเข้าตาจี๊ดไม่รู้ กูเลยช่วย...เป่าออก” นี่คือคำแก้ตัวแบบขอไปทีของพี่โต ขณะเขยิบตัวออกห่างไป จึงเหลือช่องว่างพอให้พี่ยูยะเข้านั่งแทรกระหว่างเรา
“อะไรเข้าตาเหรอคะตัวเล็ก...” ฉันไม่กล้ามองหน้าพี่ยูยะ แค่ฟังจากน้ำเสียงก็พอรู้แล้วว่าเขาดูไม่ชอบใจเท่าไหร่
“ฝุ่นมั้งคะ...” ตอนนี้บรรยากาศสนุกๆ ในตอนแรกเริ่มกร่อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ฉันไม่กล้ามองหน้าใครทั้งนั้นไม่ว่าจะพี่ยูยะหรือพี่โต แต่ด้วยความเป็นห่วงของพี่ยูยะ เขาจึงใช้มือประคองหน้าฉันขึ้นสบตากับตัวเอง
นัยน์ตาคมส่อแววทะเล้นมองลึกเข้ามาในตาราวกับหาสิ่งแปลกปลอมที่พี่โตกับฉันร่วมกันปิดบังเอาไว้
“ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่คะ...” วูบหนึ่งที่ฉันสังเกตความวูบไหวผ่านแววตาคนพูดขณะเขาเอ่ยถ้อยคำหลังสำรวจหาต้นเหตุที่ทำให้ฉันกับพี่โตเข้าใกล้กัน “เจ็บมากหรือเปล่า?”
“มะ ไม่ค่ะ แค่เคืองๆ...”
แววตาดังกล่าวเต็มไปด้วยความเจ็บใจปนเปกับความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอย๊ะ?” พี่การ์ตูนที่เพิ่งละสายตาจากแผงวงจรตู้คาราโอเกะถามขึ้นด้วยความสงสัย เธอมองหน้าคนนั้นที คนนี้ทีราวกับรอใครสักคนคำตอบคำถาม
“ไม่มีไรหรอกตูน ส้มจี๊ดแค่เจ็บตาน่ะ” พี่ยูยะยิ้มพลางใช้มือยีหัวฉันแผ่วเบาอย่างเคยๆ เหมือนต้องการทำบรรยากาศให้กลับมาคึกคักดังเก่า ทว่า
“ถ้าเจ็บตางั้นกลับบ้านไหม เดี๋ยวพี่พากลับ” พี่โตกลับแทรกเสียงขึ้นเหมือนจงใจทำลายบรรยากาศให้พังลงยิ่งกว่าเก่า
“ถ้าจี๊ดจะกลับ เดี๋ยวกูไปส่งเอง”
“มึงไม่ต้องเปลืองน้ำมันหรอกย๊ะ กูกับจี๊ดอยู่บ้านเดียวกัน กลับด้วยกันง่ายกว่า”
“แต่กูเป็นแฟนไง หน้าที่ของกูคือต้องส่งแฟนป่ะวะ”
“เฮ้ยๆ เป็นไรกันเนี่ย อย่าเถียงกันสิ” พี่การ์ตูนซึ่งเห็นท่าไม่ดีเอ่ยปรามขึ้นเมื่อบรรยากาศภายในห้องคาราโอเกะแย่ลง
“ก็กูเป็นพี่ไง ส่งน้องกลับบ้านแปลกตรงไหน?” ดูเหมือนคำพูดเธอไม่ได้เป็นที่สนใจเท่าไหร่นัก
“มึงเป็นพี่ก็อยู่ส่วนพี่ไอ้โต แต่กูเป็นแฟนส้มจี๊ดไง...”
“...”
“กูมีสิทธิ์ไปส่งจริงไหมเพื่อน?” ตอนนี้ไม่ใช่เพราะคำพูดพี่โตที่ทำให้บรรยากาศแย่ลง แต่มันคือคำพูดของพี่ยูยะที่แสดงความเป็นเจ้าของ นอกจากคำพูดแล้วเขายังใช้แขนคล้องคอฉันเอาราวกับจะยืนยันสิทธิ์ของตัวเองเพื่อตอกย้ำเพื่อนสนิทของตัวเองอีกด้วย
ฉันเกลียดบรรยากาศแบบนี้ ทั้งหมดนั่นมันความผิดเขาคนเดียว!
จากบรรยากาศคึกคักนับตั้งแต่ช่วงที่มาถึงห้องคาราโอเกะ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างดร็อปลงทันตา มีเพียงพี่การ์ตูนที่พยายามเอนเตอร์เทรนด์ทุกคนให้สนุกร่วมด้วย แต่ดูไม่ได้ผล จนกระทั่งพี่ยูยะเอ่ยขึ้น
“ตูน เที่ยวกับไอ้โตไปนะ กูกับส้มจี๊ดอยากไปทำอย่างอื่นมากกว่า”
เขาไม่ได้พูดอย่างเดียวแต่ยังถือโอกาสดึงฉันให้ลุกจากโซฟาภายในห้องคาราโอเกะด้วย
“อ้าว จะไปดูหนังกันเหรอ?” พี่การ์ตูนยังถามอย่างซื่อๆ แต่ไม่ใช่กับพี่โตที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา
“ยังไม่รู้” ฉันสังเกตเห็นพี่ยูยะชำเลืองมองเพื่อนสนิทของตัวเอง ก่อนพูดขึ้นครั้งสุดท้าย “แต่คิดว่าจะทำอะไรแบบที่คนเป็นแฟนเขาทำกัน”
พวกเขาเหมือนกำลังบึ้งตึงใส่กันไม่มีผิด
“ไปค่ะตัวเล็ก ไปหาอะไรกินกัน” ว่าแล้วพี่ยูยะก็กระตุกมือฉันให้เดินตามออกไป
ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปไหน รู้แค่ว่าพี่ยูยะจับมือฉันไว้แน่นมาก เราสองคนเดินออกจากห้องคาราโอเกะผ่านจุดต่างๆ ภายในห้างสรรพสินค้า
เขาพาฉันขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นบนของห้างซึ่งมีร้านอาหารและสวนน้ำเล็กๆ เมื่อมาถึงพี่ยูยะก็เอ่ยปากชวนทันที
“บิงซูไหมคะ พี่อยากกินอะไรเย็นๆ”
“ค่ะเอาสิ” พอรับปากเขาก็จูงมือฉันไปยังร้านน้ำแข็งใสเกาหลีใกล้กับลานน้ำพุของสวนน้ำทันที
ทั้งที่เขาทำท่าเหมือนไม่พอใจพี่โตแต่กับฉันพี่ยูยะยังคงใจดีไม่เปลี่ยนแปลง เราพากันมานั่งบริเวณด้านนอกร้านรับลม แม้จะได้ที่นั่งและสั่งเมนูที่ต้องการเสร็จแล้วก็ตาม ถึงอย่างงั้นพี่ยูยะก็ยังกุมมือฉันไว้อย่างนั้น
“พี่ยูยะ ปล่อยมือหนูได้แล้ว เดี๋ยวน้ำแข็งใสมา พี่จะกินไม่ถนัดเอานะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่อยากจับแบบนี้” เขายิ้ม
พออีกฝ่ายตอบมาแบบนั้น ฉันจึงไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เขาได้ทำตามใจตัวเอง แต่พอเงียบไป พี่ยูยะก็ดันเป็นฝ่ายถามขึ้นเอง
“ส้มจี๊ด อยากปล่อยมือพี่เหรอคะ?” คำถามแปลกๆ ตีความได้หลายความหมายทำฉันชะงักไป
“พี่ยูยะ...หมายความว่าไงคะ?”
“พี่ก็หมายถึงหนูน่ะ...อยากปล่อยมือจากพี่เหรอคะ?”
“เปล่านี่คะ หนูแค่กลัวพี่จะทานน้ำแข็งใสไม่ถนัดเท่านั้นเอง”
“งั้นเหรอคะ?” เขายิ้มตาปิดและกุมกระชับมือฉันแน่นขึ้นก่อนทำเรื่องน่าตกใจด้วยการจุมพิตลงเบาๆ หลังมือแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ก็ไม่อยากปล่อยมือส้มจี๊ดเหมือนกัน”
“...”
“อย่าปล่อยมือไปจากพี่นะคะ” ตอนนั้นฉันได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ เพื่อให้เราทั้งคู่สบายใจกันมากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้าจะรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศภายในห้องคาราโอเกะมากก็ตาม
การที่ทำแบบนั้นดูเหมือนจะช่วยให้พี่ยูยะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเก่า ทันทีที่น้ำแข็งใสมาเขาก็ปล่อยมือฉันทันที (ทั้งที่ตอนแรกบอกไม่ปล่อย) พี่ยูยะน่ะไม่เหมือนพี่โตสักนิด ดูอย่างตอนนี้สิพอมีน้ำแข็งใสวางอยู่ตรงหน้าเขาก็รีบตักกินทำตัวเหมือนเด็กมันเสียอย่างนั้น
เขาต่างจากพี่โตมากจริงๆ
หลังจากกินน้ำแข็งใสกันเสร็จ เราทั้งคู่ที่เริ่มอารมณ์ดีก็พากันเดินเที่ยวไปทั่วห้าง เพราะเราไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แม้ว่าจะเจอของที่อยากได้ก็ทำได้แค่มอง แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเสียดายหรอกนะที่ไม่ได้ซื้อของสิ่งนั้นมาเป็นของตัวเอง ก็ในเมื่อ...
“ดูอะไรอยู่เหรอคะ?” พี่ยูยะถามขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันหยุดมองแหวนเงินในตู้โชว์ของร้านเครื่องประดับ
“แหวนค่ะ สวยเนอะ…แต่แพงจังเลย”
คนตัวใหญ่ชะเง้อหน้ามองแหวนวงดังกล่าวอย่างสนอกสนใจแล้วหัวเราะ
“เดี๋ยวพี่เสกให้ตัวเล็กเอาไหม?” แถมยังพูดติดตลก
“ยังไงคะ?”
“ดูนี่นะ...” ว่าแล้วเขาก็ประกบมือเขาหากัน ทำท่าเหมือนจอมเวทร่ายคาถาเป่ามนต์จากนั้นก็กำมือยื่นส่งมาให้ จนฉันทำหน้าฉงน
“อะไรคะ...”
“ทาด้า~” เขาส่งเสียงบิ้วอารมณ์ตื่นเต้นพร้อมทั้งแบมือออก ซึ่งมันคงจะน่าตื่นเต้นกว่านี้ถ้าหากในมือเปล่าๆ ของเขามีแหวนหรือสิ่งของอะไรสักอย่างปรากฏขึ้นมา
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” ฉันยู่ปากช้อนตามองหน้าเขาเหมือนเด็กถูกขัดใจ
“ใครว่าล่ะ” แต่เขากลับแย้ง พร้อมทั้งใช้นิ้วชี้แตะกับนิ้วโป้งเป็นห่วงจากนั้นส่งมาทางฉันแล้วพูด “เจ้าสาวลองสวมแหวนดูสิครับ”
“พี่ยูยะ! คิกๆ” ฉันตีเขาไปหนึ่งทีเบาๆ โทษฐานที่เขากล้าเล่นมุกบ้าๆ นี่ใส่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดึงดันจะให้ฉันสวมแหวนๆ ปลอมจากนิ้วเขาอยู่ดี
“เอ้า พี่อุตส่าห์เสกให้นะ ตัวเล็กไม่ลองใส่หน่อยหรอก”
“ไม่เอาแล้ว หนูไปดีกว่า คนบ้า!” ว่าแล้วฉันก็รีบสะบัดหน้าเดินหนีเขาทันทีอย่างนึกมันเขี้ยว แน่นอนว่าพี่ยูยะไม่ปล่อยให้ฉันคาดสายตา ยังคงวิ่งตามแล้วพูดแซวไม่เลิก
“โธ่! คนสวยใจร้าย มาใส่แหวนก่อนเร็ว!!”
การได้อยู่กับพี่ยูยะแบบนี้ คือช่วงเวลาสนุกไม่ต่างจากช่วงเวลาที่ได้เที่ยกับเพื่อนเลยแม้แต่นิด เขาสร้างเสียงหัวเราะ และทำให้ฉันไม่รู้สึกเบื่อในยามที่ได้อยู่ใกล้
อยู่กับพี่ยูยะแบบนี้ สบายใจมากกว่าตอนอยู่กับพี่โตเสียอีก...ก
เวลา 21.15 น.
ตลอดช่วงบ่ายวันนี้เราเอาแต่เดินเล่นกันจนกินเวลาไปยาวนาน พี่ยูยะพาฉันมาส่งบ้านตอนสามทุ่มนิดๆ
“เอาไว้เราไปเที่ยวกันสองคนอีกนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” เขาบอกฉันกึ่งให้คำสัญญาเมื่อฉันลงมายืนบนพื้นได้สำเร็จ
“ค่ะ คราวหน้าไม่เอาแหวนนิ้วแล้วนะ คิกๆ” พูดแล้วยังรู้สึกขำเขาตอนอยู่ที่หน้าร้านเครื่องประดับไม่หาย
“ถ้าส้มจี๊ดอยากได้แหวนจริง พี่จะซื้อมาให้เอาไหม”
คราวนี้เขาไม่ได้พูดติดตลก แต่เหมือนจริงจังมากกว่า ฉันรีบส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธ ทว่า ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงเปิดประตูบ้านจากด้านในรั้วก็ดังขึ้น พานให้เหลียวมอง และพบเข้ากับร่างสูงลูกชายเจ้าของบ้านที่มักเดินออกมาสูบบุหรี่ตรงนั้นเป็นประจำ
พี่โตทำเหมือนไม่ได้สนใจเราทั้งคู่มากนัก เพราะเรามีโอกาสได้สบตากันครู่เดียวก่อนที่เขาจะหันหลังไปอีกทาง
น่าแปลกที่เพียงแค่ได้สบตาคู่นั้นฉันก็เริ่มทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง จังหวะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ พี่ยูยะที่ตั้งท่าจะขับรถกลับออกไปก็เอ่ยขึ้นมา
“ไหนๆ ก็จะเข้าบ้านแล้ว ส้มจี๊ดไม่คิดจะ night kiss พี่หน่อยเหรอ?”
ถ้อยคำดังกล่าวดึงสายตาให้ละจากพี่โตซึ่งอยู่ในตัวบ้านให้หันกลับไปมองใครอีกคนตรงหน้าซึ่งกำลังรอคำตอบ
“หนะ นี่มันหน้าบ้านนะคะ...” ฉันบอกอย่างเลี่ยงๆ ด้วยความรู้สึกอายๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกไม่ทราบชื่อแทรกเข้ามาด้วยเหมือนกัน
“ค่ะพี่รู้ แต่พี่อยากได้ night kiss ของตัวเล็กนี่” คราวนี้พี่ยูยะใช้ลูกไม้ แกล้งชักดิ้นชักงออยู่บนเบาะรถ ทำขมวดคิ้ว ยู่ปากขัดใจแบบเด็ก อีกทั้งยังทวง “วันก่อนบอกจะโกนหนวดให้ก็ไม่โกน คราวนี้ยังจะปฏิเสธพี่อีก เศร้าแรงแฟนไม่รัก”
ฉันเม้มปากลงเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงออกแบบนั้น บอกไม่ถูกว่าตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ รู้แค่ว่าตลอดเวลาที่คบกันมาเราสองคนไม่ค่อยทำสิ่งที่คนเป็นแฟนทำให้กันมากนัก อีกอย่างคำขอของเขามันกำลังทำให้ฉันเขินมากด้วยเช่นกัน
“นิดเดียวนะ...” กลัวที่จะทำแต่ก็ไม่อยากปฏิเสธ
“ถ้ากลัวใครมองไม่ดี งั้นเอาที่แก้มก็ได้ค่ะ เบาๆนะ” พี่ยูยะไม่ใช่คนเรื่องมาก เขายอมทุกอย่างที่ฉันขอ แถมยังรีบเอียงแก้มมาให้แบบไม่มีข้อต่อรอง
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้น ฉันจึงกลั้นใจตัดทุกความเขินที่มีต่อสิ่งรอบตัว โน้มหน้าเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วเพื่อจุ๊บแก้มอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ทว่า
ฟึ่บ!
จังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ยูยะกลับเปลี่ยนทีท่าอย่างกะทันหัน หันหน้าเข้าหาฉันตรงๆ อีกครั้ง ทำให้ริมฝีปากที่ควรประทับลงข้างแก้มพลิกผันเป็นการจุมพิต night kiss แผ่วเบาบริเวณริมฝีปากของเขาแทน
จุ๊บ!
ฉันทำตาโตด้วยความตกใจปนเขิน รีบยกมือป้องปากตัวเองด้วยความตกใจ ต่างจากพี่ยูยะที่เอาแต่หัวเราะเบาๆ คล้ายกับชอบใจที่แกล้งกันได้ มิหนำซ้ำยังแซว
“พี่บอกให้ตัวเล็กหอมแก้ม ตัวเล็กจุ๊บปากพี่ทำไมอ่าคะ”
“พะ พี่ยูยะ คนบ้า!” ฉันตีเขาแรงๆ เพื่อลดความอาย ถึงอย่างนั้นคนถูกกระทำก็ยังคงเสียงหัวเราะไว้อยู่ดี
“พรุ่งนี้พี่ไปรับที่มหา’ลัยนะ...” เขาบอกฉัน แต่สายตาเหลือบมองไปยังใครอีกคนที่อยู่ภายในตัวบ้าน และจงใจย้ำคำพูดออกมาจนจบประโยคเสียงดังอย่างหนักแน่น “ไม่ว่าใครจะพูดอะไร อย่าเชื่อ รอพี่มารับแค่คนเดียว โอเคไหมค่ะ?”
“คะ...ค่ะ” ท่าทางแปลกๆ ที่พี่ยูยะแสดงออกเวลามีพี่โตอยู่ด้วยกำลังทำฉันเป็นกังวล
ท่าทางแบบนั้นน่ะ มันเหมือนว่าเขารู้อะไรหรือไม่ก็อาจเห็นสิ่งที่พี่โตทำใส่ฉันในห้องคาราโอเกะวันนี้ก็ได้...
หลังจากพี่ยูยะกำชับทุกอย่างจนพอใจ เขาก็บิดมอร์เตอร์ไซค์กลับออกไปในเวลาต่อมา ซึ่งตอนนั้นพี่โตไม่ได้ยืนอยู่บริเวณที่เขายืนสูบบุหรี่อีกแล้วล่ะ ส่วนฉันเองก็รีบเดินเข้าบ้านเพราะเห็นว่ามันดึกมากแล้ว
บรรยากาศภายในบ้านวันนี้ดูเป็นปกติ ฉันยกมือไหว้คุณน้าเจ้าของบ้านและเดินขึ้นชั้นสองของบ้านเหมือนปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือการที่บริเวณหน้าประตูห้องนอนฉันดันมีใครคนหนึ่งยืนรออยู่ในท่ากอดอก แถมดูเหมือนว่าเขาน่าจะยืนรอแบบนี้มาได้สักพักแล้ว
ฉันเลี่ยงที่จะปะทะสายตากับเขาตรงๆ เดินก้มหน้าตรงไปยังประตูห้องของตัวเองแม้ว่าจะมีเขายืนอยู่ใกล้ในระยะเผาขนก็ตาม
“หวานไหมล่ะ จูบกับไอ้ย๊ะอ่ะ?” และในตอนที่กำลังจะผลักประตูเข้าไปนั้น คำทักทายฟังดูไม่รื่นหูก็ถูกเอ่ยถามขึ้นทันที แต่ฉันไม่ได้ตอบเขา และเลือกที่จะพาตัวเองเข้าไปข้างใน ทว่า
หมับ!
พี่โตกลับรั้งแขนฉันไว้อย่างแรงก่อนจะยิงคำถามที่สอง
“ไอ้ย๊ะกับพี่...จี๊ดว่าจูบใครหวานกว่ากัน?”
เขากำลังหาเรื่องฉัน..
“ปล่อยหนู” จากที่คิดจะไม่โตต้อบ ฉันก็ต้องเปลี่ยนใจ ขืนปล่อยไว้แบบนี้เขาต้องไม่ยอมหยุดแน่ๆ
“จี๊ดก็ตอบพี่ก่อนสิคะ”
“หนูไม่จำเป็นต้องตอบคำถามพี่นี่คะ อีกอย่างนี่มันก็เรื่องส่วนตัว คนนอกอย่างพี่โตไม่เกี่ยว...อ๊ะ!” คราวนี้จากที่เขารั้งฉันไม่ให้เข้าห้องกลับกลายเป็นว่า พี่โตคือฝ่ายผลักตัวฉันเข้ามาในห้องเสียเองโดยที่มือยังจับแขนฉันไว้แบบนั้นไม่ยอมปล่อย
ประตูห้องถูกปิดกระแทกลงเมื่อเราทั้งคู่อยู่ในห้องแคบๆ ร่วมกัน และถือโอกาสถามขึ้นเมื่อจังหวะนั้นมีแค่เรา
“เมื่อกี้ จี๊ดพูดว่าพี่เป็นอะไรนะคะ?”
“หนูบอกว่า พี่โตเป็นแค่คนนอก”
“...”
“เป็นแค่คนนอก...ไม่มีสิทธิ์ถามเรื่องส่วนตัวคนอื่น เข้าใจไหมคะ...อ๊ะ!”
ตึงง!!
อีกครั้งที่คนตัวใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้ฉันย้ำชัดสถานะระหว่างเรา เขาผลักตัวฉันลงกับประตูห้องนอนอย่างแรงพร้อมทั้งรีบใช้แขนสองข้างกักขังเอาไว้การหลบหนี
“จี๊ดพูดจาไม่น่ารักเลยนะ” แล้วเริ่มต่อว่า
“หนูเจ็บนะ!”
“เจ็บแค่ไหน...” เขาถามพลางกวาดสายตาสำรวจไปทั่วใบหน้าฉันซึ่งกำลังแสดงความเกรี้ยวโกรธออกไป “เจ็บเท่าพี่หรือเปล่า?”
“หนูไม่รู้ พี่โตถอยไป!” ฉันพยายามบังคับตัวเอง ไม่ให้คำพูดปรุงแต่งดังกล่าวกระทบกระเทือนความรู้สึกได้อย่างทุกครั้ง ทว่า จังหวะที่ใช้มือผลักอกเขาออกไปนั้น พี่โตที่ไวกว่ากลับพุ่งมือกดข้อมือฉันขึงกระแทกเข้าใส่ประตูพร้อมคำถาม
“ถ้าพี่ไม่ถอยล่ะ...จี๊ดจะทำยังไง?”
“หนูบอกให้ถอยปะ...อื้ออ!” ครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผู้ชายนิสัยร้ายคนนี้ไม่ยอมให้ฉันได้พูดความคิดของตัวเองจนจบ
ริมฝีปากเย็นชืดประกบบดเบียดลงมาอย่างแรงก่อนที่ฉันจะทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ริมฝีปากของปีศาจบดคลึงเข้ามาอย่างรุนแรงจนรู้สึกถึงรสชาติคาวเลือดภายในปากจากการกระแทกริมฝีปากของเขาเมื่อครู่
“อื้อ...” พี่โตไม่ปล่อยให้ฉันได้หายใจ และทำตามความต้องการของตัวเองราวกับจะสั่งสอนให้รู้สึกสำนึก
ความไม่ยอมส่งผลให้มือข้างที่เหลือพยายามทุบและตีไปตามอกและไหล่ ผลักและดันให้เขาหยุดทำบ้าๆแบบนี้สักที แต่ว่าแรงที่มีน้อยกว่า ทำให้ข้อมืออีกข้างที่เหลืออยู่ถูกตรึงลงกับบานประตู จนหมดทางต่อต้านและขัดขืน
การกระทำที่เขามอบให้และความรู้สึกที่เหมือนคนหมดทางหนี ทำฉันจนมุมขณะที่คนตัวใหญ่ยังขยับริมฝีปากขบเม้มไปตามกลีบปากล่างตามความต้องการ
มันเนิ่นนาน ดุดัน และรุนแรงกว่าทุกครั้ง
และสิ่งที่เขาทำอยู่มันเริ่มทำให้ฉันกลัว...
“ฮึก...” เสียงสะอื้นในลำคอดังขึ้นเมื่อความรู้สึกทั้งหมดเหมือนถูกควบคุมด้วยลิ้นอุ่นและริมฝีปากเย็นชืดของคนใจร้าย
ด้วยเสียงนั้นเอง การรัดกุมบริเวณข้อมือจึงถูกคลายอย่างช้าๆ พร้อมกับริมฝีปากซึ่งค่อยๆ ถูกถอดถอนออกไป
“พี่บอกแล้วไง จี๊ดเป็นของพี่ได้แค่คนเดียว...”
ฉันไม่ได้ทนฟังคำพูดที่คล้ายกับสร้างความหวังของเขา เมื่อเป็นอิสระ มือทั้งสองก็เริ่มแสดงการต่อต้านออกไปด้วยหลายๆ ความรู้สึก ผลักตัวเขาให้ถอยห่างด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ฟึ่บ! พลั่ก!!
“พี่โตเลิกทำบ้าๆแบบนี้สักทีได้ไหมคะ?!” ส่วนปากก็ต่อว่า
ตลอดมาฉันเกลียดการให้ความหวังของเขา ทำให้รู้สึกจากนั้นก็ผลักฉันให้ตกลงไปในหลุมของความสิ้นหวัง
ฉันกำลังจะเป็นบ้าเพราะสิ่งที่เขาทำ เขาอาจเห็นมันเป็นเรื่องสนุกที่แกล้งเด็กอย่างฉันได้ แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่!
ทุกครั้งที่เขาให้ความหวัง ฉันก็รู้สึก
ทุกครั้งที่เขาทำให้หมดควาทหวัง ฉันก็เสียใจ...
“เลิกยุ่งกับชีวิตหนูสักที...ฮึก” ความอึดอัดตลอดเวลาที่ผ่านมามันทำให้ทนไม่ไหว จำต้องระบายออกมาด้วยน้ำตาและหวังว่าเรื่องบ้าๆ นี่จะจบลงสักที “หนูไม่ได้ชอบพี่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว!”
ต่อให้สิ่งที่พูดจะตรงข้ามกับทุกความรู้สึกที่ผ่านมา ถ้ามันช่วยหยุดเรื่องยุ่งยากแบบนี้ลง ฉันก็จะทำ
“หนูไม่ได้ชอบพี่แล้ว พี่เข้าใจไหม เลิกยุ่ง เลิกแกล้ง เลิกให้ความหวังหนูสักที หนูไม่สนุกกับเรื่องล้อเล่นของพี่หรอกนะ...อ๊ะ!!”
ตึงง!!
แล้วมันก็ลงเอยเช่นเดิม เมื่อประโยคยุติเรื่องทั้งหมดถูกหยุดลงอีกครั้ง เมื่อคนฟังกระแทกฝ่ามือเข้าใส่ประตูห้องอย่างแรงคล้ายกับจะปราม
“ทำถึงขนาดนี้...จี๊ดยังมองว่าพี่ล้อเล่นอีกเหรอคะ?” พี่ถามเสียงเรียบ ขณะจ้องลึกเข้ามาในตาฉันซึ่งมองทุกอย่างในเวลานี้ผ่านน้ำตา
“คิดว่าชอบคนอื่นเป็นอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง?” แววตาที่เขามองฉันมันต่างไปจากเดิม แต่ก็แค่ครู่เดียว ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะทำร้ายที่พูดจาขัดใจ แต่เปล่า พี่โตทำสิ่งที่ต่างออกไปอย่างเช่น...
การโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วจัดการซับน้ำตาฉันด้วยลิ้นร้อนระอุอย่างโยนก่อนทิ้งคำพูดไว้ราวกับต้องการชี้แจงทุกอย่าง
“เพราะพี่ก็ชอบจี๊ดเป็นเหมือนกัน...”