“รักกับพี่นะคะ...”
คนฟังแสดงสีหน้าลำบากใจแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแสดงความรู้สึกที่มีต่อผมด้วยสีระเรือบริเวณแก้มทั้งสองข้าง
รู้มาตลอดนั่นแหละว่าเธอคิดยังไง...
“ไม่ตอบ...พี่จูบนะ” แต่เพราะอยากฟัง ผมจึงถือโอกาสพูดขู่ออกไป
ฝ่ามือเล็กเอื้อมมาดันอกเล็กน้อยราวกับจะบอกให้ถอยออกไป แต่ผมเลือกที่จะต้านแรงดังกล่าวเอาไว้และโน้มหน้าเข้าไปหาเธอเอง เธอทำท่าเหมือนจะหลบ ผมจึงสั่ง
“อย่าหลบ...”
เด็กว่าง่ายในวันนั้น ยังคงว่าง่ายจนถึงทุกวันนี้ ส้มจี๊ดยอมหยุดนิ่งตามคำสั่งแต่ไม่ใช่กับสายตาที่พยายามหลุบหนีผมอยู่ตลอดเวลาที่โน้มหน้าเข้าไปหา
“ยังรักอยู่...ใช่ไหมคะ?”
ผมต้อนเธอ และยังสามารถต้อนได้มากกว่านี้ ถ้าอีกฝ่ายยังดื้ออมความรู้สึกของตัวเองไว้ในปาก แต่แล้วเธอคงคงจะหมดทางหนีจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ยอมให้คำตอบกลับมาในที่สุด ด้วยเสียงที่แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“...อือ”
“ว่าไงนะคะ พี่ไม่ได้ยิน”
“อือ” ส้มจี๊ดกำลังสั่นไปทั้งตัวแต่ก็ยอมยืนยันคำตอบของตัวเองหนักแน่นขึ้นมานิด
“ชัดๆ สิ”
“อือ!” หน้าเธอแดงไปหมด จนอดใจไม่ไหวที่จะแกล้งมากกว่านี้
“อืออะไร?” คราวนี้เธอขมวดคิ้ว ช้อนตามองหน้าผมตรงๆ คล้ายกับไม่พอใจและเหมือนจะดุไปด้วย แต่ผมไม่สนหรอก ก็ผมอย่างฟังนี่ “แค่อืออย่างเดียว พี่ไม่เข้าใจหรอกนะ”
“...”
“ยังรักพี่ใช่ไหมคะ?”
“อือ...ระ รัก...” อีกแล้ว เธออ้อมแอ้มตอบอีกแล้ว
“ดังกว่านี้สิ”
พอถูกแกล้งเข้ามากๆ เธอก็เริ่มโวยวาย ผมชอบนะเธอเป็นแบบนี้แล้วน่ารักดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่อารมณ์ที่จะชื่นชมความน่ารักของเด็กหรอกนะ
ฟึ่บ! หมับ!
“พี่โตถอยไปได้แล้ว...อื้อ” ผมคว้ามือเธอข้างที่ทำท่าจะทุบลงมาไว้แน่นแล้วหยุดเสียงโวยวายที่อยากฟังด้วยริมฝีปาก
คราวนี้ผมไม่ได้ทำรุนแรงกับเธอ และเลือกทำทุกอย่างกับเธออย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก ปากบางสั่นเมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ทันให้เตรียมตัว แต่การขยับปากเม้มไปตามผิวปากสั่นๆ นั่นมันก็คล้ายกับทำให้เธอผ่อนคลายขึ้นจนหยุดสั่น และเปลี่ยนเป็นการขยับปากตอบรับริมฝีปากผมที่ดูเม้มริมฝีปากเธอแทน
ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกชอบเธอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าผมรู้สึกกับเธอมานานมากพอที่ไม่อยากปล่อยเธอไป
ถึงแม้ในอดีตการที่ส้มจี๊ดจะยุติการขัดขวางความรักของผมลง มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายกลับบ้านไปผมก็ต้องเห็นหน้าเธออยู่ดี ผมยังมองและเห็นความน่ารักของเธอทุกเวลาตามที่ต้องการ แต่เพราะตอนนั้นเธอยังเด็กมาก ผมจึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากมอง
มองความสดใสแบบเด็กๆ ที่เคยรู้สึกรำคาญใจยามที่เห็น
“พี่รักจี๊ดนะคะ...”
คืนเดียวกัน เวลา 00 .15 น.
[ว่าไงโต โทรมาซะดึกเชียว]
เสียงของการ์ตูนดังลอดผ่านสายให้ได้ยินทันทีที่เธอกดรับสาย
ผมทำตามสัญญาที่บอกส้มจี๊ดไว้ หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเอง ผมก็โทรหาการ์ตูนทันที
“ทำไรอยู่?”
[เพิ่งวางสายจากแม่ก่อนหน้าโตโทรมาแป๊บเดียวเอง]
“แม่โทรมาเรื่อง?”
[ตัวเล็กไง แล้วนี่โตมีอะไรหรือเปล่า?]
“เลิกกันเถอะ”
ปากน่ะพูดแสดงความต้องการของตัวเอง แต่พอได้ยินคำว่าตัวเล็ก ความคิดเก่าๆ ก็ผุดเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ย้อนไปสมัยวัยรุ่น พวกเรา 4 คนยังคงใช้ชีวิตตามประสาเพื่อนที่สนิทกันมากตามอย่างวัยรุ่นทั่วไป จนกระทั่งขึ้น ปวส.2 (เทียบเท่าปี 2 ระดับชั้นมหาวิทวิทยาลัย) ในช่วงนั้นบางสิ่งบางอย่างก็เปลี่ยนไป
‘วันเสาร์ที่แล้วมึงไปไหนมาวะโต?’ ไอ้คำรามถามผม เพราะวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมออกไปต่างจังหวัดคนเดียวไม่ได้ชวนมันไปด้วย
‘ไปทำธุระนิดหน่อย’
‘แล้วหน้ามึงไปโดนไรมา ฟัดกับหมาที่ต่างจังหวัดมาไงวะ?’ ส่วนไอ้ย๊ะที่ตาดี ก็แซวขึ้นเมื่อเห็นรอยช้ำบนแก้ม
ไม่นานนักหรอก เสียงหัวเราะของกลุ่มเราก็เงียบลง เมื่อสมาชิกกลุ่มคนสุดท้ายปรากฏตัวขึ้นโดยเธออุ้มเด็กทารกคนหนึ่งเข้ามาด้วย
‘เฮ้ยๆ ลูกใครวะ น่าหยิกแก้มฉิบหาย’ ไอ้ย๊ะที่พิศวาสเด็กเป็นนิจ ส่งเสียงทักก่อนใคร ก่อนจะได้ทำตอบที่ทำเอาทั้งกลุ่มช็อกตามๆ กันไป
‘ล...ลูกเราเองอ่ะ’ เพราะคำตอบของการ์ตูนไม่ได้ติดเล่นแถมน้ำเสียงยังสั่น รอยยิ้มบนหน้าไอ้ย๊ะจึงเปลี่ยนไป
‘พ่อมันใครวะ?’ พอการ์ตูนถูกถาม เธอก็อ้ำอึ้ง ตอบอะไรไม่ได้ นัยน์ตากลมเหลือบมองหน้าผม และด้วยท่าทางแบบนั้น ผมจึงตัดสินใจตอบออกไปเอง
‘พ่อมันก็กูไง’
และใช่การ์ตูนท้องตอนปี1 และเพิ่งคลอดลูกก่อนเปิดเทอมปี2 ราวๆ 2 เดือนที่ผ่านมา
[โตพูดไรวะ แล้วลูกอ่ะ!?]
“แม่ตูนก็เลี้ยงอยู่ไม่ใช่ไง ห่วงอะไรล่ะ?”
[ไหนโตบอกจะรับผิดชอบไง โตบอกพ่อกับแม่ตูนเองนะ!]
ผมคิดไว้แล้วว่าวันหนึ่งมันต้องเป็นแบบนี้
“ก็นั่นตูนขอ” อาจฟังดูเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย แต่ผมก็เลือกแล้วที่จะทำ
[ทำไม!? ถ้าตูนไม่ขอ โตก็จะไม่ทำใช่ไหม?]
“ใช่”
และเรื่องลูกของตูน นอกจากไอ้ย๊ะ ไอ้คำรามและผมแล้ว ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย
รวมไปถึงส้มจี๊ดด้วย...