ลิ้มรสรักคนเลวครั้งที่7.3

1018 คำ
“รักกับพี่นะคะ...” คนฟังแสดงสีหน้าลำบากใจแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแสดงความรู้สึกที่มีต่อผมด้วยสีระเรือบริเวณแก้มทั้งสองข้าง รู้มาตลอดนั่นแหละว่าเธอคิดยังไง... “ไม่ตอบ...พี่จูบนะ” แต่เพราะอยากฟัง ผมจึงถือโอกาสพูดขู่ออกไป ฝ่ามือเล็กเอื้อมมาดันอกเล็กน้อยราวกับจะบอกให้ถอยออกไป แต่ผมเลือกที่จะต้านแรงดังกล่าวเอาไว้และโน้มหน้าเข้าไปหาเธอเอง เธอทำท่าเหมือนจะหลบ ผมจึงสั่ง “อย่าหลบ...” เด็กว่าง่ายในวันนั้น ยังคงว่าง่ายจนถึงทุกวันนี้ ส้มจี๊ดยอมหยุดนิ่งตามคำสั่งแต่ไม่ใช่กับสายตาที่พยายามหลุบหนีผมอยู่ตลอดเวลาที่โน้มหน้าเข้าไปหา “ยังรักอยู่...ใช่ไหมคะ?” ผมต้อนเธอ และยังสามารถต้อนได้มากกว่านี้ ถ้าอีกฝ่ายยังดื้ออมความรู้สึกของตัวเองไว้ในปาก แต่แล้วเธอคงคงจะหมดทางหนีจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ยอมให้คำตอบกลับมาในที่สุด ด้วยเสียงที่แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน “...อือ” “ว่าไงนะคะ พี่ไม่ได้ยิน” “อือ” ส้มจี๊ดกำลังสั่นไปทั้งตัวแต่ก็ยอมยืนยันคำตอบของตัวเองหนักแน่นขึ้นมานิด “ชัดๆ สิ” “อือ!” หน้าเธอแดงไปหมด จนอดใจไม่ไหวที่จะแกล้งมากกว่านี้ “อืออะไร?” คราวนี้เธอขมวดคิ้ว ช้อนตามองหน้าผมตรงๆ คล้ายกับไม่พอใจและเหมือนจะดุไปด้วย แต่ผมไม่สนหรอก ก็ผมอย่างฟังนี่ “แค่อืออย่างเดียว พี่ไม่เข้าใจหรอกนะ” “...” “ยังรักพี่ใช่ไหมคะ?” “อือ...ระ รัก...” อีกแล้ว เธออ้อมแอ้มตอบอีกแล้ว “ดังกว่านี้สิ” พอถูกแกล้งเข้ามากๆ เธอก็เริ่มโวยวาย ผมชอบนะเธอเป็นแบบนี้แล้วน่ารักดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่อารมณ์ที่จะชื่นชมความน่ารักของเด็กหรอกนะ ฟึ่บ! หมับ! “พี่โตถอยไปได้แล้ว...อื้อ” ผมคว้ามือเธอข้างที่ทำท่าจะทุบลงมาไว้แน่นแล้วหยุดเสียงโวยวายที่อยากฟังด้วยริมฝีปาก คราวนี้ผมไม่ได้ทำรุนแรงกับเธอ และเลือกทำทุกอย่างกับเธออย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก ปากบางสั่นเมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ทันให้เตรียมตัว แต่การขยับปากเม้มไปตามผิวปากสั่นๆ นั่นมันก็คล้ายกับทำให้เธอผ่อนคลายขึ้นจนหยุดสั่น และเปลี่ยนเป็นการขยับปากตอบรับริมฝีปากผมที่ดูเม้มริมฝีปากเธอแทน ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกชอบเธอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าผมรู้สึกกับเธอมานานมากพอที่ไม่อยากปล่อยเธอไป ถึงแม้ในอดีตการที่ส้มจี๊ดจะยุติการขัดขวางความรักของผมลง มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายกลับบ้านไปผมก็ต้องเห็นหน้าเธออยู่ดี ผมยังมองและเห็นความน่ารักของเธอทุกเวลาตามที่ต้องการ แต่เพราะตอนนั้นเธอยังเด็กมาก ผมจึงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากมอง มองความสดใสแบบเด็กๆ ที่เคยรู้สึกรำคาญใจยามที่เห็น “พี่รักจี๊ดนะคะ...” คืนเดียวกัน เวลา 00 .15 น. [ว่าไงโต โทรมาซะดึกเชียว] เสียงของการ์ตูนดังลอดผ่านสายให้ได้ยินทันทีที่เธอกดรับสาย ผมทำตามสัญญาที่บอกส้มจี๊ดไว้ หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเอง ผมก็โทรหาการ์ตูนทันที “ทำไรอยู่?” [เพิ่งวางสายจากแม่ก่อนหน้าโตโทรมาแป๊บเดียวเอง] “แม่โทรมาเรื่อง?” [ตัวเล็กไง แล้วนี่โตมีอะไรหรือเปล่า?] “เลิกกันเถอะ” ปากน่ะพูดแสดงความต้องการของตัวเอง แต่พอได้ยินคำว่าตัวเล็ก ความคิดเก่าๆ ก็ผุดเข้ามาในหัวอีกครั้ง ย้อนไปสมัยวัยรุ่น พวกเรา 4 คนยังคงใช้ชีวิตตามประสาเพื่อนที่สนิทกันมากตามอย่างวัยรุ่นทั่วไป จนกระทั่งขึ้น ปวส.2 (เทียบเท่าปี 2 ระดับชั้นมหาวิทวิทยาลัย) ในช่วงนั้นบางสิ่งบางอย่างก็เปลี่ยนไป ‘วันเสาร์ที่แล้วมึงไปไหนมาวะโต?’ ไอ้คำรามถามผม เพราะวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมออกไปต่างจังหวัดคนเดียวไม่ได้ชวนมันไปด้วย ‘ไปทำธุระนิดหน่อย’ ‘แล้วหน้ามึงไปโดนไรมา ฟัดกับหมาที่ต่างจังหวัดมาไงวะ?’ ส่วนไอ้ย๊ะที่ตาดี ก็แซวขึ้นเมื่อเห็นรอยช้ำบนแก้ม ไม่นานนักหรอก เสียงหัวเราะของกลุ่มเราก็เงียบลง เมื่อสมาชิกกลุ่มคนสุดท้ายปรากฏตัวขึ้นโดยเธออุ้มเด็กทารกคนหนึ่งเข้ามาด้วย ‘เฮ้ยๆ ลูกใครวะ น่าหยิกแก้มฉิบหาย’ ไอ้ย๊ะที่พิศวาสเด็กเป็นนิจ ส่งเสียงทักก่อนใคร ก่อนจะได้ทำตอบที่ทำเอาทั้งกลุ่มช็อกตามๆ กันไป ‘ล...ลูกเราเองอ่ะ’ เพราะคำตอบของการ์ตูนไม่ได้ติดเล่นแถมน้ำเสียงยังสั่น รอยยิ้มบนหน้าไอ้ย๊ะจึงเปลี่ยนไป ‘พ่อมันใครวะ?’ พอการ์ตูนถูกถาม เธอก็อ้ำอึ้ง ตอบอะไรไม่ได้ นัยน์ตากลมเหลือบมองหน้าผม และด้วยท่าทางแบบนั้น ผมจึงตัดสินใจตอบออกไปเอง ‘พ่อมันก็กูไง’ และใช่การ์ตูนท้องตอนปี1 และเพิ่งคลอดลูกก่อนเปิดเทอมปี2 ราวๆ 2 เดือนที่ผ่านมา [โตพูดไรวะ แล้วลูกอ่ะ!?] “แม่ตูนก็เลี้ยงอยู่ไม่ใช่ไง ห่วงอะไรล่ะ?” [ไหนโตบอกจะรับผิดชอบไง โตบอกพ่อกับแม่ตูนเองนะ!] ผมคิดไว้แล้วว่าวันหนึ่งมันต้องเป็นแบบนี้ “ก็นั่นตูนขอ” อาจฟังดูเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย แต่ผมก็เลือกแล้วที่จะทำ [ทำไม!? ถ้าตูนไม่ขอ โตก็จะไม่ทำใช่ไหม?] “ใช่” และเรื่องลูกของตูน นอกจากไอ้ย๊ะ ไอ้คำรามและผมแล้ว ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย รวมไปถึงส้มจี๊ดด้วย...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม