Ep1 (1) : ชีวิตกลางพนาไพร by...kanokrot

2395 คำ
 ณ กลางหุบเขาสูงตระหง่าน ตั้งอยู่ทางตอนบนสุดของประเทศไทย ขุนเขาหลายลูกถูกห้อมล้อมด้วยความหนาทึบของใบไม้สีเขียวขจี บดบังมิดชิดจนแทบมองไม่เห็นถึงพื้นดินส่วนด้านล่าง ความเขียวขจีเหล่านี้ล้วนเป็นตัวช่วยอำพรางสายตาชีวิตคนนับร้อย ให้ได้อาศัยบนพื้นป่าทั่วบริเวณ ทำมาหากินเลี้ยงชีพกันอย่างสุขสงบมาอย่างยาวนาน ภายใต้มนต์คลังแห่งป่าเขา เป็นที่ร่ำลือ ปากต่อปาก รุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นตำนานเล่าขาน มันแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับจากสิ่งที่มองไม่เห็น ใครหลงเข้าไปเมื่อใดจะไม่มีวันได้ย้อนกลับออกมาหาครอบครัวอีกเลย... ถึงแม้ภายนอกจะมีการโจษจันถึงความน่าสะพรึงกลัวต่างๆนานาเพียงใด ทว่าภายในพื้นที่กว้างใหญ่ไพรศาลจนสุดลูกหูลูกตากลับมีกลุ่มชาวบ้านกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ต่างหลบลี้หนีปัญหาคุกคามเรื่องเชื้อชาติ เข้ามาพำนักอาศัยพื้นที่ทำกินยังผืนป่าอุดมสมบูรณ์กันอย่างสุขสงบยาวนานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ว่าได้   จนกำเนิดเป็นหมู่บ้านเล็กๆขึ้นมา เรียกชื่อหมูบ้านแห่งนี้ว่า หมู่บ้านตะนาวขอ... อาจด้วยพื้นบริเวณป่าตรงส่วนนี้ ยังคงไว้ด้วยความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติครบครัน ไม่ได้ถูกคุกคามหรือทำลายด้วยฝีมือมนุษย์กิเลสหนาเหมือนดั่งเช่นผืนป่าตรงช่วงบริเวณอื่นใกล้เคียง ส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องที่ชาวบ้านต่างนำไปพูดกันจนกลายเป็นตำนาน ต่างเล่าขานถึงเรื่องอาถรรพ์แห่งผืนป่าตะนาวขอ จึงไม่มีใครกล้าย่างกายเข้ามา... “ขวัญเอ่ยตื่นหรือยังลูก...” เสียงเรียกคุ้นหูดังอยู่นอกห้องซึ่งสร้างจากไม้ไผ่ทั้งหลัง และภายในห้องนอนขนาดเล็ก มีสาวน้อยร่างอวบอิ่มผิวพรรณผุดผ่องในวัยกำลังแรกแย้ม รูปร่างนั้นอรชรอ้อนแอ้นอ่อนหวาน เจ้าหล่อนซุกร่างบอบบางเข้าหาผ้าห่มอุ่น หลับตาพริ้มให้กับความฝันอันแสนสุข ก่อนจะลืมตาตื่นเพราะเสียงเรียกจากผู้เป็นตาดังย้ำมาเป็นรอบที่สอง “ขวัญตื่นหรือยังลูก...” “ตื่นแล้วจ้ะตาจ้า...” เสียงหวานขานตอบแม้นเธอยังนอนพลิกกายไปมาอยู่บนผืนผ้าใช้ปูลองนอนแทนไม้กระดานแข็งอย่างนึกเกียจคร้านเล็กน้อย เหตุด้วยเช้านี้ตาสยาของเธอจำต้องเข้าป่าเพื่อเก็บพืชสมุนไพรนำมาทำตัวยาเพิ่ม เธอจึงต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจัดแจงหุงหาอาหารแห้งใส่ห่อผ้าเตรียมไว้ให้ผู้เป็นตา ไว้ใช้สำหรับรับประทานระหว่างเดินป่านั่นเอง โดยบ้านไม้หลังคามุงด้วยใบจากสร้างเองกับมือหลังนี้ มีคนอาศัยอยู่เพียงสองคนเท่านั้น  คือตัวเธอกับตาสยา ชายชราที่เก็บเอาเธอมาเลี้ยงจากลำธารหลังหมู่บ้านตะนาวขอ ขวัญไพรเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยผิวพรรณขาวอมชมพู ใบหน้าหวานจิ้มลิ้ม ดวงตาดำขลับเป็นประกายเรืองรองดูสดใสสมวัย ดังนั้นไม่ต้องนึกแปลกใจอะไรนัก ถ้าหากจะมีหมู่ภมรคอยแวะเวียนเข้ามาขอรับยาสมุนไพรจากเฒ่าสยาแทบจะทุกวัน  เรียกได้ว่า หัวกระไดบ้านหลังนี้ไม่เคยแห้งต้องนำมาใช้กับบ้านของหมอเฒ่าสยา... ต้นกำเนิดของสาวน้อยหน้าตาสะสวยยังคงเป็นปริศนา ยังไม่มีใครได้รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่เฒ่าสยาเอง แกก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนั้น พ่อแม่แท้ๆของเด็กสาวคนนี้เป็นใครกันแน่  สาวน้อยขวัญไพรถือกำเนิดมาจากที่ใดนั้นไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้คือเธอไหลมาตามลำธารสายหลักหลังหมู่บ้าน ลำธารที่เชื่อมโยงมาจากเทือกเขาตะนาวศรี ผ่านเลยเข้าสู่ดินแดนเพื่อนบ้านอีกทอดหนึ่ง ตอนนั้นเด็กน้อยขวัญไพร ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขาวผืนใหญ่ ผูกมัดติดลอยมากับแพรไม้แน่นหนา ปล่อยไหลมาตามน้ำลำธารสายนี้เรื่อยๆ จนถูกเฒ่าสยาพบเข้าโดยบังเอิญ แกให้การช่วยเหลือจนเด็กน้อยคนนั้นอยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้   ในวันนั้น เฒ่าสยาแกกำลังลงอาบน้ำชำระร่างกายอย่างเช่นทุกวันอยู่ตรงลำธารท้ายหมู่บ้าน หลังกลับออกมาจากป่าเพื่อเข้าไปหาตัวสมุนไพรเพิ่มเติม บังเอิญหางตาแกแลเห็นอะไรผิดปกติลอยมาไม่ห่าง เลยลองว่ายน้ำเข้าไปดู ปรากฏร่างน้อยแสนน่ารักบนแพรไม้ผูกเชือก แกรู้สึกตกใจมาก ไม่คิดไม่ฝันจะมาเจออะไรในชีวิตแบบนี้มาก่อน ให้ตาย! ใครมันช่างใจร้ายใจดำ คิดทำร้ายได้แม้กระทั่งเด็กแบเบาะ นับว่าเป็นบุญของมันนักหนา ที่ยังไม่ตกน้ำตายเสียก่อนลอยมาถึงลำธารท้ายป่า ก่อนตัวแกจะมาเจอเข้า  แม่หนูน้อยส่งยิ้มอวดเหงือกสีชมพู นอนอ้าปากส่งเสียงร้องอ้อแอ้ แต่ไม่ได้ร้องไห้โยเยเสียงดังดั่งเช่นเด็กทารกทั่วไป สร้างความประหลาดใจแก่เฒ่าสยายิ่งนัก แกเอื้อมมือคว้าแพรไม้นั้นไว้อย่างว่องไว จัดการลากพาร่างเล็กบนแพรไม้ขึ้นบนฝั่งทันที สำรวจแม่หนูให้แน่ชัด ไม่ได้เกิดบาดแผลหรือเจ็บตรงไหน หนูน้อยหน้าตาน่าชัง นอกจากจะไม่ร้องไห้โยเยเหมือนกับเด็กเล็กทั่วไป แม่หนูตัวขาวราวหยวกกล้วย ยังรอดพ้นจากคมเขี้ยวคมเล็บจากบรรดาสิงสาราสัตว์ดุร้ายในป่า พวกมันมักจะชอบลงมาหาน้ำดื่มจากลำธารสายนี้อย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย มันคงเป็นลิขิตจากฟ้าสินะ ถึงได้ส่งแม่หนูน้อยแสนน่ารักน่าเอ็นดูผู้นี้มาให้เขาเลี้ยงดู... และนับจากวันนั้น ขวัญไพรจึงเติบโตมากับเฒ่าสยา ชายชราซึ่งมีอายุล่วงเลยใกล้ขึ้นหลักร้อยเต็มที แกขึ้นชื่อในเรื่องปรุงยาสมุนไพรมือฉมังของหมู่บ้านตะนาวขอ แถมแกยังเป็นหมอประจำหมู่บ้านแห่งนี้อีกด้วย...     เช้านี้สาวน้อยขวัญไพรต้องรีบตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะตาบอกให้เธอจัดแจงเตรียมทำอาหารแห้งห่อใส่ใบตองเตรียมไว้ก่อนไก่ขัน วันนี้ท่านต้องเข้าป่าเพื่อเก็บสมุนไพรเพิ่ม อาจไปสักหลายวันหน่อย ด้วยว่ารากคนทากับรากท้าวยายม่อมหนึ่งในส่วนผสมหลักในการทำยาลดไข้ร่อยหรอเต็มที ช่วยนี้เข้าหน้าฝนเด็กเล็กในหมู่บ้านเกิดติดไข้กันระงม ท่านกลัวตัวยาจะหมดเสียก่อนเด็กทั้งหลายจะหายขาดจากอาการไข้ดังกล่าว นับว่าเป็นเรื่องปกติเธอเห็นท่านเดินเข้าป่าแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนโต “ตาไม่อยู่หลายวัน เอ็งก็อย่าหาเรื่องซุกซนนักละ ข้าขี้เกียจฟังไอ้เบิ้มมันบ่นจนหูชา” ผู้เป็นตายีผมนุ่มของหลานอย่างเอ็นดู โตเป็นสาวสะพรั่งทว่ายังติดนิสัยซุกซนไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กตัวเท่าเมี่ยง   “ขวัญจะซุกซนที่ไหนได้ ผู้คุมเพียบซะขนาดนั้น” เฒ่าสยาหัวเราะพลางส่ายหัวตอนเห็นหลานสาวทำปากจู๋ “ก็ไอ้เบิ้มมันเป็นห่วงเอ็ง กลัวเอ็งจะเป็นอันตราย เกิดเล่นซุกซนจนเพลินแล้วเดินหลงเข้าเขตป่าต้องห้าม มันจะซวยเอา” สาวน้อยย่นใบหน้าก่อนคว้าแขนเหี่ยวมาคลอเคลียประจบประแจง จะเถียงก็ไม่ได้เมื่อมันคือเรื่องจริง “ขวัญไม่เล่นซนแล้วละจ้ะตาจ๋า แต่ตาต้องรีบกลับออกจากป่ามาไวไวนะ ขวัญไม่อยากให้ตาเข้าป่านานๆเลย ขวัญกลัว...” “ตารู้แล้วละน่า...” ผู้เป็นตารับเสียงปนเอ็นดู “เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะตาจ๋า...”  ขวัญไพรเดินหิ้วย่ามผ้าขนาดใหญ่ตามผู้เป็นตาออกมาจากบ้าน ส่งสายตาละห้อย เจ้าหล่อนยื่นย่ามใส่อาหารแห้งมากมาย โดยไม่ลืมกอดร่างเหี่ยวไว้ด้วยความรักสุดหัวใจให้หายคิดถึง แม้นตอนแรกเธอขออาสาจะเข้าป่าเพื่อเก็บสมุนไพรเหล่านั้นแทนผู้เป็นตาที่แก่ชราภาพมากแล้วให้เอง ด้วยกลัวท่านอาจเกิดอันตรายขึ้นตอนเดินทาง ทว่าท่านกลับไม่ยอมอนุญาต แถมยังสั่งห้ามเธอ ไม่ให้เข้าป่าสนธยานั้นอีกเด็ดขาด  ท่านคงขยาดกลัวอาถรรพ์ในป่าแห่งนั้นจะซ่อนตัวเธอเอาไว้อีก เธอยังจดจำเหตุการณ์วันนั้นได้อย่างขึ้นใจ เธอเข้าป่าเพื่อเก็บสมุนไพรช่วยตาสยาอีกแรง แต่ดันเกิดพลัดหลงกับท่านระหว่างทางจะลงจากเขา ความหิวและความกลัวสุดขีดเกือบทำให้เธอช๊อค ดีที่เธอรีบตั้งสติไว้มั่น รีบตั้งจิตอธิษฐานด้วยดวงจิตศรัทธา ขอเจ้าป่าเจ้าเขาโปรดช่วยเหลือ นำทางพาเธอออกจากป่าที เธอถึงได้พบกับทางออกจากป่าในเวลาไม่นาน  เธอกลัวแต่ไม่เข็ดขยาดเหมือนกับท่าน ในเมื่อเธอเกิดและเติบโตมากับป่าเขาลำเนาไพรกว่ายี่สิบปี ความคุ้นเคยกับพวกต้นไม้ใบหญ้า อีกทั้งสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนเล่นของเธอมาก่อนทั้งนั้น แล้วเรื่องอะไรกันเธอจะต้องกลัวบ้านเกิดของตัวด้วยเล่า... หญิงสาวเพียงนึกเป็นห่วงท่าน อ้อนวอนขอตามไปดูแล ทว่าตาสยากลับให้เหตุผลหนักแน่น เธอจำต้องหยุดเซ้าซี้เองโดยปริยาย  ถ้าเธอตามท่านเข้าป่าไปเก็บสมุนไพรอีกคน แล้วใครจะคอยจัดหยูกยาลดไข้ให้กับเด็กในหมู่บ้านที่ยังมีอาการไข้ไม่หายดี ขวัญไพรเลยจำใจต้องอยู่เฝ้าบ้านขัดท่านไม่ได้ “ตาจ๋าอย่ามัวแต่หาสมุนไพรจนลืมกินข้าวนะจ๊ะ ขวัญทำแต่ของชอบของตาจ๋าห่อใบตองไว้เต็มย่ามเลย ตาต้องกินให้เยอะๆ จะได้มีแรงเดินป่า” สาวน้อยยังคงสวมกอดคุณตาเอาไว้ เพราะไม่บ่อยครั้งนักเธอกับตาสยาจำต้องห่างกันหลายวัน เฒ่าสยาถึงกับอมยิ้มให้กับลูกอ้อนของหลานสาวตัวน้อย แกยกมือลูบผมนุ่มสลวยด้วยความรักใคร่ผูกพัน ใจนั้นนึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน กลัวตอนแกไม่อยู่แล้วจะมีใครดอดมาทำมิดีมิร้ายกับหลานสาว แต่ไว้ใจคนของผู้ใหญ่เบิ้ม พวกมันจะคอยเป็นหูเป็นตา ดูแลปกป้องหลานสาวนอกไส้ของแกได้อย่างปลอดภัยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตอนแกอยู่  เนื่องจากไอ้เบิ้ม มันก็เอ็นดูขวัญไพรไม่ต่างจากลูกหลานแท้ๆเหมือนกัน ทุกครั้งมันก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตัวแกเลยคลายกังวลได้บ้างเล็กน้อย “เราก็เหมือนกัน อย่ามัวแต่เที่ยวตะลอนเล่นซุกซนจนมืดค่ำ แล้วก่อนเข้านอนก็อย่าลืมปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนาด้วยนะ ตาฝากให้ไอ้เบิ้มมันคอยเป็นหูเป็นตาคอยดูแลเอ็งให้อีกแรง ถ้าหากเกิดมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล เอ็งร้องตะโกนเสียงดังๆเข้าไว้ คนของผู้ใหญ่มันจะได้ยินแล้วมาช่วยเอ็งได้ทัน ตาไม่ไว้ใจไอ้มะขาม กลัวมันจะบุกเข้ามาปล้ำเอ็งตอนตาไม่อยู่บ้านนะสิ”   “จ้ะตา...ฉันจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด” ขวัญไพรรับปากเป็นมั่นเหมาะเพราะไม่อยากให้ตาสยาต้องมาเป็นกังวลใจเรื่องของเธอมากนัก เธอโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว และไม่ได้คิดกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น   เฒ่าสยาผละห่างจากร่างหลานสาวพร้อมรับย่ามผ้ามาสะพายไว้บนบ่าเสียเอง แกสั่งกำชับกำชาหลานสาวคนงามเสียงเข้มอีกหลายประโยค สีหน้านั้นยังติดเป็นกังวลไม่หาย ก่อนแกจะถอนใจออกมาหนักหน่วงแล้วตัดใจหันหลังเดินเข้าป่าไปในที่สุด  เดิมทีแกก็ไม่ค่อยอยากปล่อยให้ขวัญไพรอยู่ตามลำพังสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ติดว่ายาลดไข้จะหมดแล้วไอ้แดงเด็กน้อยในหมู่บ้านอาการจะทรุดหนัก แกคงไม่กล้าทิ้งหลานสาวให้อยู่บ้านคนเดียวเป็นแน่แท้ แต่ถ้าให้หนีบติดตัวเอาไปด้วยเหมือนคราวก่อนก็กลัวจะล่าช้า ถ้าหากเกิดพลัดหลงกันขึ้นมาอีกเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ สู้แกบุกเข้าป่าเพียงคนเดียวรีบหาแล้วรีบลงมา จะได้เร็วขึ้น ไอ้แดงเองก็จะได้ปลอดภัยจากอาการทรุดหนักในคราวนี้ด้วย...  เหตุผลเพราะแกกลัวไอ้หนุ่มวัยคึกคะนองที่ชื่อมะขาม มันจะอาจหาญบุกเข้ามาปลุกปล้ำหลานสาวของตนตอนแกไม่อยู่บ้านเอานะสิ มันชอบมาก้อร่อก้อติกกับขวัญไพร แกเลยไม่อยากไว้ใจในเรื่องนี้ แต่ก็เบาใจ อย่างน้อยยังมีคนของไอ้เบิ้มมันคอยเป็นหูเป็นตาให้อีกแรง... ขวัญไพรโบกมือลาผู้เป็นตา เธอรู้ท่านห่วงเรื่องไอ้มะขาม ทว่าเธอกลับไม่ได้รู้สึกกลัวมันเลยสักนิด เคยไล่แตะไล่ต้อยกับมันมาตั้งแต่เล็กยันโต ไอ้ที่เห็นมันเป็นคนนิสัยเกเรนั้น เธอไม่เถียง แต่ใครจะรู้จักนิสัยเบื้องลึกของมันดีได้เท่าเธอ ไอ้มะขามมันก็แค่ทะลึ่งตึงตังไปวันๆด้วยติดสันดานเจ้าชู้ ความจริงมันไม่มีอะไรน่ากลัว หรือต้องเป็นกังวลสักนิด... สาวน้อยเดินย้อนกลับเข้าบ้านแล้ววกกลับออกมายังลำธาร โดยข้างเอวเล็กนั้นมีตะกร้าไม้บรรจุเสื้อผ้าสวมใส่แล้วเอาไว้อยู่หลายตัว ขวัญไพรเดินเลาะตามโขดหินด้วยความชำนาญทาง ไม่คิดกลัวลื่นหกล้ม  “อ๊ะ!...พี่ขามจ๋าอย่ามัวแต่แหย่นิ้วเล่นอย่างเดียวสิจ๊ะ ฉันอยากได้ลิ้นอุ่นของพี่ด้วย ช่วยเกาให้ฉันหายคันที” เสียงหวานเอ่ยออเซาะ ความหมายนั้นแทบไม่ต้องจารนัยแค่ได้ยินก็เห็นเป็นภาพชัดเจน “ได้สิจ๊ะคนงามของพี่ขาม...”  เสียงสนทนาแปลกประหลาดหลังโขดหินลูกใหญ่ตรงหน้า เล่นเอาขวัญไพรต้องหยุดเท้า ขนในกายลุกซู่ เสียงใคร? แล้วไอ้มะขาม! มันกำลังทำอะไร?อยู่กับใคร...                                                                        ****************************    
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม