คุณเคยมีใครสักคน ที่สะดุดสายตาทุกครั้งตั้งแต่แรกเห็นไหมคะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความเป็นเขาก็จะยังทำให้เราสนใจได้เสมอ
ฉันเองก็มีคนคนนั้นอยู่ในใจเหมือนกัน เรื่องมันเริ่มเมื่อปีที่แล้วในงานแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลตอนที่ฉันอยู่ปีหนึ่ง คณะวิศกรรมศาสตร์
“แก พี่คิณหล่อเวอร์ ไม่กรี๊ดหน่อยเหรอ” ฉันหันไปมอง มน หรือกชมน ที่เขย่าแขน นิดา หรือฐานิดา พลางชี้มือชี้ไม้ไปทางรุ่นพี่ที่ยืนอยู่กลางสนาม ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทของฉันมาตั้งแต่สมัยมัธยมเลยรู้ใจกัน
มาก ๆ ฉันได้แต่ถอนหายใจพลางกวาดสายตามองชายหนุ่มนักกีฬาบาสเกตบอลที่ยืนเรียงรายกันอยู่กลางสนามอย่างละลานตา
ก็ยอมรับว่ามีแต่คนหน้าตาดี ๆ ทั้งนั้น แต่มันจะไม่มีบ้างเหรอคนที่สะดุดสายตาจนน่าจดจำน่ะ
วันนี้เป็นนัดดุเดือดการแข่งขันบาสเกตบอลระหว่างคณะแพทยศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เรียกได้ว่าสาว ๆ ค่อนมหาวิทยาลัยต้องมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ส่วนฉันน่ะเหรอ ก็โดนยายนิดาลากมาเชียร์สุดที่รักน่ะสิ
“แกก็อีกคนเงียบเชียวยายวิ” วิ หรือเทวิกา คือชื่อของฉันเอง ฉันหันมาสบตากับมนที่ซักถามก่อนจะหันหน้ากลับไปมองที่สนามดังเดิม สายตาดันไปจดจ้องเข้ากับร่างกายสูงโปร่ง มีกล้ามเนื้อพอดูดีในชุดนักกีฬาสีขาวสะอาด เดาไม่ยากคณะแพทย์ฯ แน่ ๆ
“ก็น่าสนใจดีนะ” ฉันเผยรอยยิ้มอ่อน ๆ แต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย ผิวเนียนกระจ่างใสถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยสักรูปดอกไม้อะไรสักดอกที่ฉันไม่ค่อยแน่ใจ แต่ที่น่าสนใจคือรอยสักที่ต้นคอนั่นเป็นลาย Dream catcher หรือตาข่ายดักฝันร้าย มันสะกดสายตาฉันเอามาก ๆ
“เบอร์ไหนจิ้มมาสิ ฉันไม่รู้นะยะ” มนว่า
“เบอร์สิบสอง” ทั้งนิดาและมนต่างหันขวับไปมองตามที่ฉันบอกด้วยแววตาลุกวาว อย่าจ้องกันอย่างนั้นสิเดี๋ยวเขาก็รู้ตัวหมดหรอก
“คณะแพทย์ฯ นี่ สักได้ด้วยเหรอ” มนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เพราะแบบนี้ไง ถึงได้น่าสนใจอะ” ฉันหันไปพูดกับเพื่อนสาวทั้งสอง
“แกไม่ชอบคนพี่มีรอยสักไม่ใช่เหรอ” นิดาหันมาถามฉันด้วยความสงสัย
“ก็ตอนแรกโฟกัสแค่หน้านี่นา”
“สาว ๆ เขาเริ่มแข่งแล้วนะ” พี่ธิดาเดินเข้ามาหากลุ่มเราก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น แน่นอนว่ารอบข้างฉันตอนนี้มีแต่เพื่อนและรุ่นพี่คณะ
วิศวะฯ รายล้อมเต็มไปหมด เสียงโฮ่เชียร์ก็ย่อมต้องเชียร์ฝั่งตัวเองอยู่แล้ว แต่ฉันนั้นแอบเชียร์หนุ่มหน้าคมคนนั้นเสียมากกว่า
ฉันหัวใจสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นเมื่อหนุ่มเบอร์สิบสองเข้ามาแย่งลูกบาสฯ จากมือของพี่คิณ หนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นหวานใจของนิดาเพื่อนรัก ก่อนที่เขาจะโยนเข้าห่วงไปได้อย่างง่ายดายทำแต้มให้คณะแพทย์ฯ นำขึ้นมาก่อนเป็นแต้มแรก
“ว้าว อย่างเท่อะ” ฉันเอ่ยชมออกไปทำเอาเพื่อนทั้งสองของฉันหันขวับมาทางฉันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“แกเป็นใคร คายเพื่อนฉันออกมาเดี๋ยวนี้นะ” มนว่า
“เราเคยบอกแล้วไง คนที่ใช่ แค่มองก็รู้สึกใช่” ฉันยักคิ้วให้เพื่อนรักทั้งสองก่อนจะคลี่ยิ้มหันกลับไปมองในสนามเหมือนเดิม
ทั้งสองทีมสู้กันอย่างสูสี ผลัดกันทำแต้มเดี๋ยวคณะวิศวะฯ นำบ้างเดี๋ยวก็คณะแพทย์ฯ นำบ้าง เอาซะคนดูแทบจะอยู่ไม่สุข แต่ในท้ายที่สุดพี่คิณก็ทำแต้มให้ทีมได้อย่างเฉียดฉิวจนคณะเราเอาชนะมาได้เรียกเสียงร้องเฮลั่นจากฝั่งกองเชียร์คณะวิศวะฯ
แต่คนที่ดีใจอย่างเกินหน้าเกินตาก็คงจะเป็นยายนิดาที่ส่งเสียงกรี๊ดลั่นพลางกระโดดเข้ามาสวมกอดฉันและมนด้วยความดีใจเล่นทำเอาฉันตัวเกือบปลิว
ฉันได้แต่ยกมือตีไหล่ของเพื่อนรักแปะ ๆ และคลี่ยิ้มให้ ทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปทางชายหนุ่มที่อยู่ในสนาม หลังจากที่นิดาผละกอดออก ฉันก็ได้ชะโงกหน้าผ่านฝูงชนมองไปที่ชายนักศึกษาแพทย์คนนั้นอย่างชัด ๆ
เหงื่อที่ไหลผ่านกรอบหน้าเสริมให้เขาดูดีขึ้นอย่างน่าแปลกใจ เจ้าตัวยกขวดน้ำขึ้นดื่มด้วยความเมื่อยล้าก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เพื่อนแล้วเดินเก็บกระเป๋าออกไป โดยไม่ได้สนใจเลยว่าจะมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาเข้ามาต่อคิวให้น้ำดื่มพลางยื่นผ้าขนหนูซับเหงื่อวิ่งไล่ตามหลังเขาไปเลยแม้แต่น้อย
แบบนี้เรียกหยิ่งไหมนะ หรือว่าเขาจะไม่ได้ชอบผู้หญิงกัน
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงของบาร์แห่งหนึ่ง
ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย บาร์แห่งนี้เป็นบาร์ของรุ่นพี่ในคณะที่จบไปเลยสั่งปิดร้านเพื่อเลี้ยงรุ่นน้องและหนึ่งในนั้นคือฉันและกลุ่มเพื่อน
ฉันยกแก้มค็อกเทลขึ้นดื่มด่ำกับบรรยากาศพลางโยกร่างกายไปตามจังหวะเพลงเบา ๆ วันนี้ฉันอยู่ในชุดเซ็กซี่อย่างที่ไม่เคยแต่งมาก่อนแถมยังแต่งหน้าจัดเต็มโดยฝีมือของยายมน ทำเอาเวลาฉันส่องกระจกแล้วตะลึงกับตัวเอง
ในบาร์วันนี้เต็มไปด้วยรุ่นพี่รุ่นน้องคณะวิศวะฯ ที่พากันดื่มและออกลวดลายเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง คนในร้านต่างเบียดเสียดกันไปมาจนฉันออกห่างมาจากเพื่อน ๆ ท่ามกลางแสงไฟวิบวับและเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มทำเอาฉันรีบปลีกตัวออกมาอยู่ที่ริมร้านด้วยความเบื่อหน่าย
คนเยอะเกินไปฉันไม่ค่อยชอบเท่าไร ด้วยความเซ็งฉันเลยเดินมาที่หลังร้าน ผู้คนเริ่มบางตาลงเรื่อย ๆ จนฉันมาเจอกับทางหนีไฟซึ่งเป็นทางออกไปสู่หลังร้าน ฉันเลยเปิดประตูออกไปดูเพื่อหวังจะสูดอากาศแต่กลิ่นควันบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้งทำเอาฉันต้องรีบถอยหลังกลับมาตั้งหลักใหม่ทันที
“เอาปะ ไอ้ธีร์” ฉันแอบแง้มช่องประตูออกดูเล็กน้อยเพื่อมองหาเจ้าของบทสนทนา
“ไม่อะ กูเลิกแล้ว” คนถูกถามตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“โธ่ว่าที่คุณหมอครับ ไม่สูบเป็นเพื่อนหน่อยเหรอ”
“ไม่เอาว่ะ กูไม่ชอบกลิ่นบุหรี่กูไปที่เคาน์เตอร์ก่อนวันนี้ลูกค้าเยอะ” ฉันมองไปที่เจ้าของแผ่นหลังภายใต้ชุดสูทของหนุ่มบาร์เทนเดอร์
ที่ลุกขึ้นจากการยืนพิงกำแพงในมือยื่นกระป๋องเบียร์คืนให้กับคู่สนทนา
ชายหนุ่มหันหน้ามาทางประตูเผยให้เห็นโฉมหน้าหล่อของอีกฝ่าย
นั่นมัน... นายคณะแพทย์ฯ นี่
ฉันรีบถอยหลังกรูแล้วเอนหลังชิดกับผนังทางเดินทำเป็นยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไถเล่นเพื่อให้ดูปกติก่อนที่ประตูหนีไฟจะถูกเปิดออกมาพร้อมกับเขาที่เดินเข้ามา เขาแสดงออกถึงความแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นฉันมายืนอยู่ตรงนี้แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเดินกลับเข้าไปในร้าน
ฉันรีบมองตามแผ่นหลังนั้นไปเมื่อเห็นมามีระยะห่างพอควรแล้วก็ค่อยเดินตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ
ชื่อธีร์ที่เองสินะ ชื่อเท่เหมือนหน้าเลยแฮะ
ชายหนุ่มไปประจำที่เคาน์เตอร์เช่นเดิมก่อนจะถูกสาว ๆ รายล้อมรอบโต๊ะแถมสั่งเครื่องดื่มกันให้ควัก
เสน่ห์แรงไม่เบาเลย
ฉันได้แต่ถอนหายใจเมื่อไม่มีช่องว่างอะไรให้ฉันได้เข้าไปแทรก ฉันเลยกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิมก่อนจะหยิบแก้วเหล้าของเพื่อนขึ้นมาดื่มด้วยความเซ็ง
“แก้วนั้นมันเข้มนะแก” มนรีบเอื้อมมือมาห้ามแต่ก็ไม่ทันการแล้วเมื่อฉันกระดกมันเข้าปากไปจนหมด ความขมตีขึ้นมาก่อนจะร้อนผ่าวในร่างกายจนขนลุก
“เชี่ย” ฉันอุทานออกมาเบา ๆ
“ล่อซะหมดเลย เอานี่ล้างปากก่อน” มนรีบรินน้ำเปล่าตามให้ฉันก่อนที่ฉันจะยกดื่มอึกใหญ่ ตากลมโตกวาดสายตามองหาเพื่อนอีกคน
“นิดากับพี่คิณหายไปไหนแล้วล่ะ”
“กลับไปแล้ว เห็นบอกว่าไม่สบายน่ะ”
“เมื่อกี้ก็ยังปกติดีอยู่เลยนี่” ฉันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะยังไงพี่คิณแฟนของยายนิดาก็คงจะดูแลเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เวลาผ่านไปในขณะที่มนเริ่มเต้นอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ฉันก็เริ่มซึมเสียจนร่างกายเกือบจะไหลลงไปกองบนพื้น
ในหัวของฉันมันหนักอึ้งเสียจนยกไม่ขึ้นได้แต่เอนลงซบบนแขนที่วางบนโต๊ะสูงแล้วปิดเปลือกตาลงเพียงชั่วครู่ เสียงดนตรีที่ดังเข้ามาในหัวเริ่มหรี่เสียงเบาลงจนน่าประหลาด รู้ตัวอีกทีมันก็ดับไปตอนไหนก็ไม่รู้
“น้องครับ น้องครับ” ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนมองซ้ายมองขวาพบกับความว่างเปล่า ในร้านเปิดไฟสว่างจ้ายิ่งตอกย้ำว่าในร้านไม่เหลือใครแล้ว
“ร้านปิดแล้วเหรอคะ” ฉันหันไปถามกับพี่พนักงานที่เข้ามาปลุก
“ครับน้อง คนเขากลับกันหมดแล้ว แล้วน้องกลับยังไงครับเนี่ย”
“กลับหมดแล้วเหรอคะ” ฉันถามด้วยความตระหนก
“ครับ”
แล้วยายมนแกหายไปไหนของแกเนี่ย
ฉันได้แต่ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกร้านอย่างโซซัดโซเซ ในหัวปวดตึบจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ หน้าร้านมืดสนิทไร้รถสักคันผ่านไปมา ทำเลที่ตั้งของร้านอยู่ในซอยเปลี่ยวถ้าไม่มีรถก็คงจะมาลำบาก แต่ตอนฉันมาฉันติดรถของรุ่นพี่ในคณะมาแต่ตอนขากลับเนี่ยสิ
พี่พนักงานบอกว่าข้างหน้าซอยโบกรถแท็กซี่ได้ แต่ในเวลาเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่งแบบนี้ ข้างทางก็มืดสนิท ใครจะกล้าเดินไป
“กลับยังไงล่ะ” ฉันหันไปตามน้ำเสียงทุ้มของใครบางคนก่อนที่ใจจะสั่นระรัวเพราะชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคร่อมมอเตอร์ไซค์เข้ามาขนาบข้างเธอแถมยังดึงม่านกันลมที่หมวกกันน็อกขึ้นแล้วทอดสายตามาที่เธอ
“ว่าจะเดินไปหน้าปากซอยแล้วโบกแท็กซี่เอาค่ะ”
“คนเดียวเหรอ”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบ
“เวลานี้ซอยมันเปลี่ยว แท็กซี่ก็ไม่ค่อยมี จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวผมไปส่ง” ฉันกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้แน่นเพื่อข่มความตื่นเต้น
“นายพอจะมีโรงแรมแถวนี้แนะนำหรือเปล่า เรากลับหอในไม่ทันอะ” ฉันคลี่ยิ้มเจื่อนส่งไปให้ชายหนุ่มเพื่อเรียกความสงสาร
“แถวนี้เหรอ” ชายหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิด “มีแต่ม่านรูดอะดิ นอนก่อนได้ใช่ไหม”
ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังอึกก่อนจะหยักหน้าอย่างช้า ๆ
“แค่อาศัยนอนคืนเดียวก็คงจะไม่เป็นไรละมั้งคะ”
“งั้นขึ้นรถมาสิ” ธีร์ยื่นหมวกกันน็อกส่งมาให้ฉัน ฉันรับมันมาก่อนที่จะสวมมันเข้าที่หัวแล้วเกาะบ่าของอีกฝ่ายปีนขึ้นไปซ้อนท้าย
“ขอบใจนะ”
“เกาะดี ๆ ล่ะ” ฉันมองซ้ายมองขวาหาที่ยึดเกาะอย่างงุนงง
“เกาะไหล่ผมไว้ก็ได้”