“จากที่แกเล่ามาอะนะ ฉันว่าพี่หมอของแกคงจะมีปัญหาเรื่องการเงินมาก ๆ เลยต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเกรดตก นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหลุดทุนอะ” นิดาว่าตามที่ตนเองคิด
“เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ” ฉันว่าพลางดูดน้ำส้มขึ้นมาดื่มเพื่อให้ร่างกายตัวเองสดชื่นหลังจากที่ถูกพี่ธีร์ไล่มา
“แกเลิกชอบเขาเหอะ ผู้ชายอะไรนิสัยไม่ดีเลย” มนใส่อารมณ์
“แต่เราก็ผิดนะเว้ยที่เข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขาอะ”
“แล้ว เพื่อน ๆ พี่เขาที่แกไปดื่มกาแฟด้วยเขาว่าไงบ้าง” นิดาเอ่ยถาม
“ก็ไม่ยังไงหรอก เขาก็บอกว่าพี่ธีร์ไม่ชอบให้คนเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา รู้แค่ว่าพี่แกอยู่ตัวคนเดียวเลยเป็นคนเย็นชาแบบนี้”
“แกก็เลยอยากช่วยเขาว่างั้น” ฉันพยักหน้าตอบกลับมน
“อือ แต่พี่เขาน่าจะโกรธเรามากเลยอะ”
“ทำไมแกไม่จ้างให้พี่เขามาติววิชาที่แกอ่อนให้วะ พี่เขาได้ทุนแสดงว่าต้องเรียนเก่งมาก ๆ ไม่ใช่เหรอ แบบนี้จะได้วิน ๆ ทั้งคู่ไง” นิดาเสนอ
“ฉันว่าแบบที่นิดาบอกมันก็ดีนะแก แต่ว่าพี่เขาดูเป็นคนทะนงตัวแบบนั้น เขาจะยอมรับข้อเสนอปะวะ” มนขมวดคิ้วอย่างฉงน
“เราต้องหาวิธีไปคุยกับเขาให้ได้”
ตั้งแต่วันนั้นฉันก็เดินผ่านที่ตึกเรียนของพี่ธีร์แทบจะทุกวัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพี่เขาจะอยู่เลย แม้แต่ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ฉันก็ไม่เห็นรถจอดอยู่เลย
ทำยังไงถึงจะจับทางรุ่นพี่หนุ่มได้เนี่ย จะถามเพื่อน ๆ ของพี่เขาก็กลัวว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาเกินไปอีก
ยิ่งโดนบอกว่าอย่ามายุ่ง ก็ยิ่งไม่กล้าจะทำอะไรเลยแฮะ
หรือว่าฉันควรจะต้องตัดใจแล้วจริง ๆ
“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่เห็นบอกหนูเลยว่าจะพาหนูมาทานข้าว” ฉันเอ่ยขณะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นพ่อและแม่บนโต๊ะทานอาหารในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
“ก็เห็นลูกเรียนมาเหนื่อย ๆ พ่อเขาก็เลยอยากให้ลูกได้ทานของ
ดี ๆ น่ะสิ” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มใจดี แม่เหลือบสายตาไปมองทางพ่อที่เอาแต่นั่งมองเมนูอาหารในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเช่นทุกที
“คุยกันอยู่นั่นแหละ ไม่รีบสั่งอาหารสักที สั่งต้มยำทะเลไม่เผ็ดมากให้ลูกด้วยนะ” พ่อหันมาพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงกึ่งดุเล็กน้อยแต่แม่ก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวอะไรนอกจากแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ดูสิ ยังสั่งของที่ลูกชอบเลย” ฉันมองดูสองสามีภรรยาหยอกเหย้ากันแล้วอมยิ้มเบา ๆ หลังจากที่เราสั่งอาหารเสร็จแล้ว พ่อก็ถามฉันเรื่องเรียนตามปกติ
“แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้าง เรียนหนักไหมช่วงนี้”
“ก็ดีค่ะคุณพ่อ” ฉันตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ
“วันหยุดยาวนี้อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า หรือว่ามีงานต้องทำ”
“อืม” ฉันนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หนูยังไม่รู้เลยค่ะ”
“ทำไมไม่ชวนพวกเพื่อนลูกมาบ้านบ้างล่ะ คิดถึงหนูนิดากับหนูมนจะแย่” คุณแม่ว่าน้ำเสียงอ่อนโยน
“นั่นสิ พวกนั้นไม่ได้มาบ้านนานแล้วเนอะ”
“เดี๋ยวหนูลองถามเพื่อน ๆ ดูนะคะ” หลังจากนั้นอาหารก็มาเสิร์ฟก่อนที่เราจะเริ่มนั่งทานอาหารร่วมกัน ทั้งฉันและพ่อต่างนั่งทานอาหารเงียบ ๆ จึงมีแม่ที่คอยชวนคุยเสมอไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเหงาจนเกินไป
มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ฉันจำความได้
ฉันรู้ว่าพ่อรักฉันมาก แต่ก็เข้มงวดกับฉันมากเหมือนกัน มันเลยทำให้พวกเราไม่ได้คุยกันมากนักเท่าที่ควร
ฉันยังไม่เข้าใจเลย ว่าแม่อยู่กับพ่อได้ยังไง เวลาที่ฉันมองท่านทั้งสอง แม่เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ที่คอยส่องแสง ส่วนพ่อก็เหมือนดอกทานตะวันที่รอรับแสงจากแม่
“หนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฉันกล่าวกับพ่อและแม่ก่อนจะลุกขึ้นยืนหวังจะเดินออกไป แต่พอเดินมาถึงหน้าร้านสายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงของคนที่คุ้นเคยอยู่ในชุดทำงานของพนักงานร้าน
“ดูสิเนี่ย พนักงานคุณเดินยังไงคะ ดูสิน้ำแกงเปื้อนรองเท้าฉันหมดแล้ว” หญิงสาวมาดคุณนายคนหนึ่งเอ่ยโวยวาย ฉันเหลือบมองน้ำแกงที่เปื้อนเพียงรองเท้าของนางแต่เมื่อเทียบกับคนที่กำลังโดนดุคือโดนลวกไปทั้งแขน
“ขอโทษแทนพนักงานของทางเราด้วยนะครับคุณผู้หญิง”
“รองเท้าฉันคู่ละเท่าไรรู้ไหม ทำเปื้อนแบบนี้ก็เสียของหมดน่ะสิ”
“เดี๋ยวผมเช็ดให้นะครับ” พี่ธีร์เอ่ย
“ไม่ต้องย่ะ ฉันรีบ” ป้าสูงวัยกอดอกตัวเองพลางเบะปาก “เอาเงินชดใช้มาเลย”
“เรื่องแค่นี้เองทำไมต้องเรียกค่าชดใช้ด้วยครับ อีกอย่างคุณป้าเป็นคนเดินมาชนผมเอง” ชายหนุ่มเอ่ยโต้เถียง
“ธีร์ อย่าไปขึ้นเสียงใส่ลูกค้า” ผู้จัดร้านร้านพูดเสียงดุยิ่งทำป้าคนนั้นได้ใจ ฉันแอบยืนมองดูอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูสถานการณ์
“หักเงินเดือนพนักงานคนนี้มาชดใช้ให้รองเท้าฉันเลยนะคะ พนักงานแบบนี้มีไว้ในร้านก็มีแต่ล่มจม”
“แต่คุณป้าเดินเล่นโทรศัพท์มาชนผมเองนะครับ ไม่เชื่อก็ให้เปิดกล้องวงจรปิดได้เลย”
“ธีร์ ขอโทษคุณหญิงเขาเดี๋ยวนี้” ผู้จัดการร้านตะคอกใส่พี่ธีร์
“ผมไม่ผิด”
“เอ๊ะ นายคนนี้ ฉันไล่นายออก” ผู้จัดการร้านว่า “คุณหญิงครับเชิญทางนี้ครับเดี๋ยวผมจะชดใช้ให้”
“พี่ครับ”
“ไม่ต้องพูดเลยนะ ไปเก็บของเลยไป แล้วเงินรายวันวันนี้ไม่ต้องเอานะ” พี่ธีร์มีสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปที่หลังร้านด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างสูงแล้วตัดสินใจเดินตามเข้าไป
“แม่งเอ๊ย” ชายหนุ่มค้ำตัวเองไว้กับซิงก์ล้างจาน
“พี่ธีร์” เจ้าของชื่อหันมามอง
“เธออีกแล้วเหรอ” พี่ธีร์ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองทางอื่น เขาเปิดก๊อกน้ำให้ไหลผ่านบาดแผลจากการถูกน้ำร้อนลวก
“พี่ควรใช้น้ำเย็นนะคะ”
“พี่เรียนหมอนะ ทำไมจะไม่รู้อะ” ชายหนุ่มตอบกลับมา ฉันเลยหยิบน้ำแข็งออกมาจากตู้แช่แล้วถือวิสาสะดึงแขนของอีกคนมา
“ต้องประคบน้ำแข็งด้วยสิคะ”
“เดี๋ยว” พี่ธีร์ยกมือห้าม “น้ำแข็งจากตู้แช่เนื้อเนี่ยนะ เธอหวังดีหรืออยากให้พี่ตายไวเนี่ย”
“อุ๊ย” ฉันรีบวางก้อนน้ำแข็งลงบนซิงก์ล้างจานทันที
“จับแล้วก็ล้างมือด้วย” ชายหนุ่มจับมือของฉันไปล้างกับน้ำเปล่า แล้วบีบเจลล้างมือใส่ในฝ่ามือของฉัน
“คะ?”
“ล้างให้สะอาดสิ” ฉันรีบพยักหน้าก่อนจะล้างมือตามที่พี่ธีร์บอก ถึงแม้จะยังงง ๆ อยู่ก็ตาม
มาช่วยเขา แต่ก็ให้เขาช่วยเหมือนเดิม
ฉันล้างมือจดสะอาดก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูมาซับมือจนแห้ง ฉันมองไปหาหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา
“ให้หนูช่วยนะคะ” ชายหนุ่มช้อนสายตามามองฉันด้วยความสงสัย
“ทำไมอยู่ ๆ ถึงจะมาช่วยพี่”
“พี่ช่วยหนูมาตั้งสอง ไม่สิ สามครั้งแล้วอะ ให้หนูช่วยพี่บ้างนะ” ฉันอมยิ้มเบา ๆ ก่อนจะเปิดกล่องปฐมพยาบาลออก
“รู้เหรอ ว่าแผลโดนน้ำร้อนลวกต้องใช้อะไร”
“พี่ก็บอกหนูสิคะ” พี่ธีร์แอบหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะชะเง้อมองของในกล่องปฐมพยาบาล
“เอาเจลว่านหางจระเข้มาทาบาดแผล” ฉันหยิบเจลว่านหางจระเข้ออกมาก่อนจะชโลมทาบนบาดแผลของคนพี่ที่ผิวเริ่มขึ้นสีแดงจากความร้อน คงจะแสบน่าดู
“แล้วไงต่อคะ”
“เอาผ้าสะอาดมาพันรอบบาดแผล” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะหยิบผ้าก๊อซออกมาพันรอบท่อนแขนแกร่งปกปิดบาดแผลจนมิดก่อนจะเผลอเป่าบาดแผลด้วยความเคยชิน “อันนี้ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนนะ”
“หนู... ชินอะ ขอโทษค่ะ” ฉันเก็บทุกอย่างใส่กล่องปฐมพยาบาลด้วยความร้อนลน พอเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนใกล้ ๆ หัวใจดวงน้อย ๆ มันก็เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วมาทำอะไรที่นี่ มาทานข้าวเหรอ”
“ค่ะ หนูมากับครอบครัว” พี่ธีร์พยักหน้ารับก่อนจะก้มลงมองดูบาดแผลของตัวเอง
“ทำแผลเก่งเหมือนกันนะเธอ ไม่คิดเลยว่าจะเรียนวิศวะฯ”
“ตอนแรกหนูก็อยากเรียนหมอแหละ แต่ว่าหนูไม่เก่งเคมีอะ” ฉันตอบกลับไปจามความจริง
“ก็เลยหนีไปเรียนวิศวะคอมฯ”
“ใช่ค่ะ ถึงมันจะมีเรียนอยู่นิดหนึ่งอยู่ดี” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ
“งั้นเหรอ ยังไงก็โชคดีนะ แล้วก็ขอบใจเรื่องทำแผลให้” พี่ธีร์ว่าก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา “วันนี้ว่างงาน ว่าจะกลับบ้านไปนอนก่อนจะหางานใหม่”
“เอ่อ พี่ธีร์คะ” ฉันรีบเรียกรั้งอีกคนที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องไว้
“ครับ?” ร่างสูงหันกลับมา
“พี่มาเป็นพี่ติวให้หนูหน่อยได้ไหมคะ”
“ว่าไงนะ”
“หนูอยากให้พี่มาเป็นพี่ติวให้หนูค่ะ” ฉันทวนคำอีกรอบยิ่งทำให้หนุ่มรุ่นพี่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ไม่เอาอะ อย่างพี่เนี่ยนะจะไปสอนใครรู้เรื่อง เธอไปหาคนอื่นดีกว่า” พี่ธีร์กำลังจะหันกลับไป
“เป็นพี่ติวให้หนูดีนะคะ พี่จะได้ทวนหนังสือ แล้วก็ทำงานไปด้วย แบบนี้ไม่ดีเหรอคะ”
“นี่เธอ หางานให้พี่อยู่เหรอ” ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาหาฉันแถมสีหน้ายังเต็มไปด้วยความแปลกใจ “สงสารพี่อยู่เหรอ”
“เปล่านะคะ พี่ได้เงิน หนูได้เรียน มันก็ดีกับเราทั้งคู่ไม่ใช่เหรอคะ” ฉันเกร็งจนน้ำเสียงที่พูดออกไปตะกุกตะกักยามที่ถูกดวงตาคมคู่นั้นจับจ้องมาอย่างจับผิด
“เอาโทรศัพท์มา”
“คะ?” ฉันถึงกลับเผลอปล่อยหน้าเหวอ
“พี่จะเพิ่มไลน์ให้ เสนอราคา วิชา สถานที่มาเลย เดี๋ยวพี่ดูอีกที”
“ค่ะ ๆ” ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งต่อไปให้พี่เขาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
พี่เขารับโทรศัพท์ของฉันไปกดเพิ่มเพื่อนทันทีก่อนจะส่งกลับมาให้ฉัน
“เรียบร้อยแล้ว” ฉันรับโทรศัพท์ของตัวเองกลับคืนก่อนจะอ่านชื่อไลน์ของพี่ธีร์อย่างแปลกใจ
“Theeradon Handsome and Cool พี่ธีร์เป็นแฟนคลับน้ำตากามเทพเหรอคะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมาถามชายหนุ่มที่รีบเสหน้าหันไปมองทางอื่น ฉันแอบเห็นว่าใบหูของหนุ่มรุ่นพี่แดงก่ำอย่างเขินอายก็อดจะอมยิ้มไม่ได้
“ปกติเพื่อนในไลน์พี่น้อยอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยเห็นเท่าไร”
“งั้นแปลว่าหนูก็เป็นส่วนน้อยที่ได้เห็นอีกมุมของพี่ใช่ไหมคะ” ฉันจ้องมองหนุ่มรุ่นพี่อย่างคาดหวัง
“อย่าลืมไลน์มาแล้วกัน พี่ไปก่อนนะ” มือหนายกขึ้นมาลูบท้ายทอยก่อนจะเดินออกไปราวกับทำตัวไม่ถูก
พี่เขาก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย