บทที่ 7 เจอวายร้ายรุ่นใหญ่

1402 คำ
แสงอรุณรุ่งสาดส่องจากท้องนภาทอดลงสู่ผืนดินเบื้องล่าง กลางป่าเขาที่แสนจะทุรกันดาร เกวียนคันหนึ่งแล่นไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหลุมและบ่อ บนเกวียนที่กำลังวิ่งไปด้านหน้าอย่างเอื่อยเฉื่อย ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนเอกเขนก สองมือสองไว้ใต้ศีรษะ ปากคาบหญ้าสีเขียวขจีที่มีรสชาติขมฝากต้นหนึ่ง เกวียนคันนี้เป็นของจางหั่วปิน คนในหมู่บ้านจางที่นอกจากผู้ใหญ่บ้านแล้วก็มีแต่เขานี่แหละที่มีเกวียนเป็นของตัวเอง อีกฝ่ายเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณกระจ่างใส บางครายังดูค่อนข้างจะเจ้าสำราญอยู่บ้าง อาชีพที่อีกฝ่ายยึดถือแตกต่างจากคนในหมู่บ้าน เพราะคนปกติมักจะทำงานปลูกชาว ล่าสัตว์ หรือเก็บของป่า แต่จางหั่วปินก็คือการขับเกวียนเข้าเมืองสวีโจวเพื่อนำของจากชาวบ้านไปขายต่อนั่นเอง วันนี้เป็นวันที่จางหั่วปินจะต้องเข้าเมืองสวีโจวเพื่อนำของจากชาวบ้านไปขาย หลี่เวยที่มีความคิดอยากเข้าไปสำรวจเมืองเป็นทุนเดิมจึงขอติดเกวียนมาด้วย บัดนี้เงินในกระเป๋าของหลี่เวยมีอยู่ราวสามตำลึง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักของชาวบ้านทุกคน บุรุษท่าทางดุร้ายที่ทำท่าเตรียมจะสังหารจางลี่คนนั้น หลี่เวยพึ่งมารู้ทีหลังว่าเขาคือสามีของนาง สามีของจางลี่เป็นคนแซ่จางเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้อาศัยอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่หลังจากพบเจอกับจางลี่ก็ตกลงปลงใจย้ายมายู่ที่หมู่บ้านจาง คนผู้นี้นิสัยใจคอเป็นคนซื่อตรง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เขาก็ไม่รู้ถึงความเป็นมาที่แท้จริง หลังทราบว่านางขโมยเงินของเขาไปจริงก็บันดาลโทสะ ตบตีภรรยาก่อนจะนำเงินมาคืนเขาไม่ขาดไม่เกิน หลี่เวยไม่รู้จริงๆ ว่าบุรุษที่ดีเช่นนี้ไฉนจึงเลือกเอาสตรีร้ายกาจเช่นจางลี่มาเป็นภรรยากันนะ แต่จะยังไงก็ช่างเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ขอเพียงได้เงินมาก็พอแล้ว อย่างที่ทราบหลี่เวยข้ามมายังโลกใบนี้ได้ไม่นาน ยิ่งไม่ต้องพูดเนื้อหาในนิยายที่เขาเคยอ่านเมื่อหลายปีก่อน เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เขาย่อมไม่มีทางจำได้แม่น ทว่าหลี่เวยใช้วิธีใดกันเล่าจึงรู้ว่าจางลี่เป็นผู้ที่ขโมยเงินของเขาไป แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่การคาดเดา หลี่เวยเป็นบัณฑิตมานานปี ย่อมต้องมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย ทว่าตอนเขาเข้ามาสู่ร่างกายนี้กลับไม่มีสิ่งของล้ำค่าเลยแม้แต่อย่างเดียว และแม้ผู้คนจะกล่าวกันว่านั่นเป็นเพราะเขาเอาเงินทั้งหมดไปละลายกับสุรา แต่ตามความคิดของหลี่เวยมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ราคาของสุราแม้จะค่อนข้างแพงแต่ก็ใช่ว่าหลี่เวยจะดื่มมันแทนน้ำ อย่างมากวันนึงก็หนึ่งไหเท่านั้นแหละ ชายหนุ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่รอบกายของเขามันเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอกแจกจอแจ หลี่เวยเบิกตาขึ้นมองดูรอบกายพบว่ายามนี้ผู้คนกำลังเดินขวักไขว่พูดคุยซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของอย่างออกรสออกชาติ "นี่น่ะหรือเมืองในสมัยโบราณ" ชายหนุ่มตื่นเต้นไม่น้อย นี่เป็นการมาเยือนสังคนเมืองขนาดใหญ่นี้ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งมันแตกต่างไปจากยุคที่เขาจากมาอย่างสิ้นเชิง "เอาล่ะถึงแล้ว ข้าจะต้องเอาของไปส่งที่เหลาอาหาร ถ้าเจ้าทำธุระเสร็จก่อนข้าก็มารอข้าที่นี่ล่ะ" เมื่อเกวียนชะลอตัวลง จางหั่นปินก็หันมาพลางเอ่ยกับหลี่เวยด้วยรอยยิ้มอ่อน "ขอรับ" ชายหนุ่มตอบกลับยิ้มๆ หลี่เวยค่อนข้างประทับใจกับชายตรงหน้า เพราะอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนในหมู่บ้านสักเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาจึงเหมือนคนที่เข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อลงจากรถแล้วหลี่เวยก็หันไปพูดคุยกับชายวัยกลางคนอีกสองสามประโยคก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป หลี่เวยถอนหายใจ เขากวาดสายตามองรอบด้านก่อนจะใช้สองมือหมุนล้อทำให้รถเข็นวิ่งไปตามทิศทางที่เขาต้องการ ชายหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสำรวจพื้นที่และกิจการในเมืองสวีโจว เขาพลันพบว่าที่นี่คนส่วนใหญ่ชอบเปิดธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและความงาม หลี่เวยตาเป็นประกายด้วยคิดว่าหากเขาเปิดธุรกิจเล็กๆ และเรียบง่ายสักแห่งที่ผู้คนไม่เคยพบเห็น เขาก็คงสามารถอยู่ได้โดยที่เงินไม่ขาดมือเป็นแน่ ขณะที่เขากำลังตกอยู่ในความตื่นเต้น หลี่เวยหารู้ไม่ว่ามีใครคนหนึ่งกำลังมองเขามาด้วยสายตาซับซ้อนบางอย่าง "นั่นมันหลี่เวยมิใช่หรือ" เสียงของบุรุษคนอื่นดังขึ้นแผ่วเบาจากบนชั้นสองของเหลาอาหาร ด้านข้างของเขามีข้ารับใช้คนหนึ่งยืนรอคำสั่งอย่างนอบน้อม "ไปเชิญเขาขึ้นมา" "ขอรับ" บ่าวรับใช้ขานรับก่อนผละจากไป หลี่เวยสำรวจสองฝั่งทางได้ไม่นานรถเข็นของเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเบื้องหน้าของเขายามนี้ถูกขวางไว้โดยชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่ง "นายน้อยซ่งเชิญคุณชายหลี่ไปพูดคุยบนเหลาอาหารขอรับ" หลี่เวยมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ คุณชายซ่ง? เขามั่นใจว่าตั้งแต่มายังที่นี่ก็ไม่เคยสร้างความสัมพันธ์กับคนแซ่ซ่ง แต่ไม่ใช่กับหลี่เวยคนเก่า คนแซ่ซ่งมีเพียงผู้เดียวที่เขาคบหาด้วยนั่นก็คือตัวร้ายหลักของเรื่อง ซ่งเป่ยเทียน?! "ขออภัย ข้ามีธุระต้องไปทำไม่อาจไปพบคุณชายซ่งได้" ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมยจนบ่าวรับใช้ยังผงะไปชั่วเวลาหนึ่ง หลี่เวยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบเขาก็เข็นรถผ่านร่างไปทันที กว่าบ่าวรับใช้คนดังกล่าวจะได้สติ หลี่เวยก็หายไปท่ามกลางฝูงชนเสียแล้ว "คุณชาย เขาปฏิเสธขอรับ" เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนเหลาอาหารชั้นสองบ่าวรับใช้จึงกล่าวรายงานอย่างนอบน้อม ทว่าซ่งเป่ยเทียนกลับไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอันใด เขายังคงนั่งจิบชาด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย "เขาจะปฏิเสธก็มิใช่เรื่องแปลก ขาของเขาเป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะข้า" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเนิบช้า บ่าววัยเยาว์อยากจะกล่าวอะไรสักอย่างแต่ก็ถูกซ่งเป่ยเทียนหยุดเอาไว้ นิ้วมือเรียวลูบครางเอ่ยอย่างเลื่อนลอย "หลี่เวยเดิมก็เป็นคนมากความสามารถ แต่หลังจากเกิดเรื่องกับครอบครัวก็ทำให้เขากลับกลายเป็นคนไม่เอาไหน ทีแรกข้าคิดว่าหลังจากขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้จะทำให้เจ้านั่นต้องตกอยู่ในความโศกเศร้าแล้วตายไปเงียบๆ" มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนเอ่ยต่อ "คาดไม่ถึงว่านอกจากจะไม่ตาย เจ้านั่นยังทำตัวเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิม อื้ม...เห็นทีหลังจากนี้เราก็ควรหาโอกาสไปชดเชยให้เขาหน่อยแล้วกัน คนผู้นี้จิตใจเข้มแข็ง ภายภาคหน้าย่อมสร้างประโยชน์แก่พวกเรา" "คุณชายกล่าวถูกต้องแล้ว" บ่าวรับใช้รีบเอ่ยเยินยอ อีกทางด้านหนึ่ง หลี่เวยเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์ที่จะเดินเล่นชมทิวทัศน์ของตัวเมืองแห่งนี้เสียแล้ว ตัวร้ายของเรื่องเหตุไฉนจึงมาที่นี่เล่า? ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาพลางทอดถอนใจ คนผู้นี้เขาไม่เข้าไปยุ่งด้วยจะเป็นดีที่สุด ไม่อยากจะเอาชีวิตที่สองที่พึ่งจะได้รับมาต้องตกตายไปพร้อมกับเจ้าพวกโง่ที่ลุ่มหลงในสตรีเพศจนตายหรอกนะ จะพูดก็พูดเถอะ หลี่เวยไม่มีความคิดที่จะเข้าไปพัวพันกับพวกตัวเอก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทุกหนทางที่เกี่ยวกับเจ้าพวกนั้นตัวประกอบเช่นเขาย่อมไม่มีจุดจบที่ดี!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม