บทที่ 3 วายร้ายผู้เฉยเมย

1982 คำ
"เจ้า...เจ้าด่าข้าว่าเป็นสุนัขงั้นรึ" บุรุษด้านหน้าสุดนามจางหยางชี้หน้าหลี่เวยด้วยตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ "ทำไม เจ้าจะทุบตีข้าหรือ?" หลี่เวยเลิกคิ้วถามสีหน้ายียวน ได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็เงียบกริบ ทุบตีคนพิการ ต่อให้พวกเขาจะเป็นเศษเดนแค่ไหนก็ลงมือทำไม่ได้จริงๆ "เหอะ! เศษสวะยังไงก็คงเป็นเศษสวะ ข้าได้ยินคนในหมู่บ้านพูดว่าเจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ทว่าแท้จริงกลับเป็นเพียงการแสแสร้งของเจ้าสินะ! " จางหยางกล่าวสีหน้าอาฆาต หลี่เวยเลิกคิ้วมองหน้าของอีกฝ่ายพลางยักไหล่ด้วยท่าทีสบายๆ "ข้าจะเปลี่ยนตัวเองหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ถึงเปลี่ยนจริงๆ ข้าจะทำดีกับคนที่คิดดีกับข้าเท่านั้นแหละ" "หึ่ม! เห็นแก่ที่เจ้าพิการ ข้าจะไม่เก็บเอาเรื่องนี้มาใจใส่ แต่หลี่เวยวันนี้ข้ามีข่าวดีจะบอกกับเจ้า" จางหยางระงับอารมณ์โกรธลงไป ใบหน้าก็เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง "ข่าวดีอะไรก็ไว้ทีหลังเถอะ" หลี่เวยไม่สนใจเพราะตอนนี้เขาหิวมากๆ ไม่มีเวลามาสนใจคนพวกนี้หรอก แต่จางหยางกลับไม่ยอมรามือง่ายๆ อีกฝ่ายเดินมาปิดทางรถของหลี่เวยด้วยใบหน้าถมึงทึง แต่เมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นความไม่พอใจเหล่านั้นก็มลายหายในพริบตา ความเคร่งเครียดถูกทดแทนด้วยรอยยิ้มสะใจทันที "ใจเย็นก่อน วันนี้ข้าแค่จะมาบอกข่าวดีของพวกเรา" หลี่เวยไม่ตอบ เขาถอนหายใจมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ราวกับรำคาญคนพวกนี้เหลือเกิน จางหยางเค้นเสียงหัวเราะ เขาโบกมือไปยังทิศทางหนึ่ง ต่อมาพลันปรากฏร่างของหญิงสาวก้าวเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างของจางหยางด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ หญิงสาวผู้นั้นแต่งกายด้วยเนื้อผ้าที่ไม่เก่าและไม่ใหม่ ใบหน้าเล็กแม้ไม่งดงามปานล่มเมือง แต่หากเทียบกับสาวชาวบ้านทั่วไปก็คือว่าเป็นสตรีที่โดดเด่นมาก "ข้ากับลู่เหลียนหมั้นหมายกันแล้ว อีกไม่นานก็จะแต่งงานกัน นางกำลังจะมาเป็นภรรยาของข้า" จางหยางแสยะยิ้ม แขนผอมแห้งดึงรั้งร่างของหญิงสาวเข้ามาแนบกายอย่างถือวิสาสะ ดวงตาหรี่แคบรอดูกิริยาตอบสนองของชายหนุ่ม หลี่เวยเบนสายตาไปยังสตรีนามว่าลู่เหลียน ใบหน้าน้อยๆ นั่นแสดงความลำบากใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด หลี่เวยเผยยิ้ม จากรูปโฉมและชื่อที่เขาเห็นและได้ยินชายหนุ่มก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ลู่เหลียนนางนี้คงเป็นรักแรกของหลี่เวยก่อนที่เขาจะได้ออกไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่กระมัง ในนิยายต้นฉบับไม่ได้เขียนไว้ละเอียดมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของหลี่เวยกับลู่เหลียนลึกล้ำถึงขั้นไหนกันแน่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้กลับไม่ได้ทำให้หลี่เวยประหลาดใจสักนิด ครอบครัวตกต่ำ กลายเป็นชายพิการไร้ซึ่งอนาคตอันรุ่งโรจน์ สตรีที่ไหนจะอยากมาแต่งงานด้วยเล่า "อ้อ เช่นนั้นก็ขอให้รักกันมากๆ นะ" หลี่เวยกล่าวอวยพรด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ จนคนมองถึงกับคิ้วกระตุก "เจ้าไม่เสียใจหน่อยหรือ" บุรุษคนหนึ่งถามขึ้น รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูเป็นคนตัวอ้วนฉุ ผิวกายดำคล้ำอายุราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี "ไฉนจึงต้องเสียใจ มีอะไรให้ข้าเสียใจ ที่เจ้าอยากจะพูดมีแค่นี้ใช่หรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็อย่ามาขวางทางข้า" พูดจบหลี่เวยพลันเข็นรถผ่านหน้าพวกเขาไป "...." ทุกคนที่ได้ยิน ประตูบ้านปิดลงอีกครั้ง หลี่เวยเข็นรถไปทางห้องครัว ตอนนี้เขาหิวเหลือเกินอยากกินไข่ต้มสักสองสามฟองให้หนำใจ ที่ห้องครัว หลี่เวยต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจุดเตา เพราะเขาต้องนั่งอยู่บนรถเข็นและก้มตัวเพื่อก่อไฟ เปลวเพลิงลุกโชติช่วง ความร้อนแผ่ซ่านทำให้เหงื่อกาฬร้อนระอุอาบย้อมไปทั่วทั้งตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด หลี่เวยรู้สึกอยากอาบน้ำขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากเทน้ำใส่หม้อแล้วก็นำไข่ใส่ลงไป บรรยากาศก็กลับสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง หลี่เวยเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองเงียบๆ "ด้วยความสามารถของข้าในชาติก่อนก็ไม่เป็นเรื่องยากหากจะหาเงินเพื่อยกระดับฐานะของตัวเอง แต่ทว่า…" พูดมาถึงตอนนี้หลี่เวยก็ก้มมองขาที่อ่อนแรงไร้ความรู้สึก เท่าที่หลี่เวยรู้ ดูท่าสิ่งที่ขาเขาเป็นอยู่ในตอนนี้คงไม่พ้นภาวะความดันในช่องกล้ามเนื้อผิดปกติ ยิ่งในยุคที่เขาอาศัยอยู่นี้เป็นจีนโบราณอันไร้ซึ่งอุปกรณ์ที่ทันสมัย ความเป็นไปได้ที่จะรักษาหายก็น้อยมาก นอกเสียจากว่าโลกใบนี้จะมีสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่าหมอเทวดา แต่คนแบบนั้นจะหาเจอง่ายๆ ได้ยังไง ยิ่งคิดจิตใจก็มีแต่ความเศร้าโศก หลี่เวยส่ายศีรษะ เขาหันความสนใจกลับมาที่ไข่ต้มของตัวเองอีกครั้ง หลังอิ่มหนำกับไข่ต้มแล้วหลี่เวยก็ออกจากบ้านที่แสนจะรกรุงรังของตัวเอง ชายหนุ่มหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน หลี่เวยสูดลมหายใจเข้าลึกรับอากาศที่สุดแสนจะบริสุทธ์ ร่างผอมบางเอนไปทางด้านหลังเล็กน้อย เปลือกตาปิดลงด้วยความง่วงงุนตามคำกล่าวที่ว่าหนังท้องตึงหนังตาหย่อน หลี่เวยตัดสินใจที่จะนอนพักสักครู่หนึ่งก่อนแล้วค่อยไปทำอย่างอื่นต่อ เรื่องของจางหยางกับลู่เหลียนที่พบเจอกันเมื่อครู่นี้หลี่เวยก็ไม่คิดเอามาใส่ใจ ส่วนสาเหตุที่อีกฝ่ายจงใจยั่วยุเขาหลี่เวยก็พอจะคาดเดาได้บ้าง มารดาของหลี่เวยเป็นบุตรสาวสกุลจางคนสุดท้องนามว่าจางเหมียวอี้ ส่วนมารดาของจางหยางก็เป็นบุตรสาวสกุลจางเช่นกันนามจางลี่ จะแตกต่างก็คือนางเป็นบุตรสาวคนโต จะให้พูดตรงๆ ก็คือ เขาและจางหยางมีความสัมพันธ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั่นเอง เหตุจูงใจที่อีกฝ่ายต้องมาหาเรื่องชายหนุ่มก็เพราะความไม่พอใจที่จางลี่มีต่อมารดาของหลี่เวย ตามแบบฉบับของชาวบ้านยากจนบุตรสาวบุตรชายส่วนใหญ่ต้องช่วยงานครอบครัวไม่ว่าจะเข้าป่าเก็บสมุนไพรหรือทำไร่ไถนา จางลี่ที่เป็นบุตรสาวคนโตย่อมไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้ แต่จางเหมียวอี้ที่เป็นบุตรสาวคนสุดท้องกลับได้รับความรักและเอ็นดูจากคนในครอบครัวเป็นพิเศษ งานบ้านงานเรือนไม่ต้องทำ วันๆ เอาแต่เล่นสนุก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มารดาของจางหยางเกิดความอิจฉาน้องสาวตนเองที่เอาแต่ใช้ชีวิตสุขสบาย ตลอดนั้นมานางจึงพยายามหาทางกลั่นแกล้งน้องสาวคนเล็กมาตลอด อันที่จริงหลี่เวยก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ชอบหน้ากันเด็กๆ รุ่นหลังก็ไม่ควรจะมาสืบทอดอารมณ์ต่อจากบุพการี แต่ในยุคสมัยแบบนี้ความแค้นที่สืบทอดต่อกันหลายต่อหลายรุ่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกตินะ เรื่องราวยังคงดำเนินไปเชกเช่นปกติจนกระทั่งมีชายคนหนึ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้าน นามของเขาคือหลี่เฉินด้วยเพราะเป็นคนอัธยาศัยดีและมีหน้าตาหล่อเหลา รวมทั้งยังมีฝีมือในการล่าสัตว์ยังเป็นเลิศในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง หญิงสาวทั่วหมู่บ้านต่างหมายปองเขาวาดหวังว่าจะได้แต่งเข้าสกุลหลี่ใช้ชีวิตสุขสบาย เพียงแต่ผู้ที่โชคดีได้ครองคู่กับเขาแน่นอนว่าเป็นจางเหมียวอี้มารดาของหลี่เวย ต่อมาพวกเขาได้ให้กำเนิดหลี่เวยซึ่งเป็นบุตรชายคนแรกและคนเดียวออกมา นี่ยิ่งทำให้จางลี่รู้สึกไม่พอใจ ด้วยเพราะนางเอกก็ชอบพอหลี่เฉินมากเช่นกัน แต่เนื่องจากนางมิใช่สตรีที่งดงามเท่ากับน้องสาวคนเล็ก ทำให้ไม่ได้รับความสนใจจากบิดาของหลี่เวย เมื่อบิดามารดาของหลี่เวยจากไป คนแรกที่เข้ามาเพื่อปล้นสมบัติของบ้านเขาไปก็คือจางลี่ ทำให้หลังจากหลี่เวยได้รับบาดเจ็บก็ไม่มีเงินมากพอที่จะไปรักษาขาสองข้างจนต้องทนทุกข์เป็นผู้พิการอยู่เช่นตอนนี้ สตรีสมัยโบราณนี่ช่างโหดร้ายยิ่งนัก อิจฉาได้แม้กระทั่งน้องสาว ทำร้ายได้แม้กระทั่งหลานชายร่วมสายเลือด! แน่นอนว่าเรื่องนี้หลี่เวยรู้ได้จากการอ่านนิยาย คนเขียนเรื่องนี้อธิบายไว้คราวๆ ข้อมูลบางอย่างก็เป็นหลี่เวยที่ไปได้ยินชาวบ้านหลายคนพูดและนำมันมาปะติดปะต่อกัน คิดถึงตอนนี้แล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจ ไม่ว่ายังไงกับสตรีคนนี้หลี่เวยย่อมต้องทวงความยุติธรรมกลับคืนมา ชายหนุ่มพับเก็บความคิดต่างๆ ลงไปชั่วคราวก่อนปิดเปลือกตาหลับพักผ่อน บ้านของหลี่เวยติดกับถนนของหมู่บ้าน ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่จะไปไหนมาไหนล้วนต้องผ่านบ้านเขาทั้งสิ้น ภาพของเด็กหนุ่มเอนกายหลับตาพริ้มอย่างเกียจคร้านล้วนเข้าสู่ครรลองสายตาของทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา "หลี่เวยมิใช่หรือเหตุไฉนเขาจึงมานอนอยู่ตรงนี้เล่า" สาวน้อยคนหนึ่งเดินผ่านมาพลันเอ่ยขึ้นกับสหายข้างกาย "เสี่ยวจิ่ว เราอย่าไปสนใจเลย รีบไปดีกว่าหากเขาได้ยินเข้าเราจะถูกตำหนิเอาได้" สาวน้อยอีกคนเอ่ยอย่างกังวล แต่สาวน้อยนามเสี่ยวจิ่วกับหัวเราะคิกคัก ไม่เก็บเอาคำพูดของสหายมาใส่ใจ "เจ้าจะคิดมากไปทำไม หรือว่าเจ้าไม่เห็นว่าเขากำลังหลับอยู่ ดูสิตอนนี้ข้าได้ยินมาว่าเขาทำตัวดีขึ้นมาก ไม่เอาเงินที่หามาได้ไปลงกับสุราแล้ว" สาวน้อยสองคนอยากรู้อยากเห็นยิ่ง พวกนางจดจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายยามกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน ฉับพลันใบหน้าน้อยๆ ของสองดรุณีพลันแดงซ่าน "เจ้าว่าเขาดูดีหรือไม่" เสี่ยวจิ่วถามสหาย "อื้อ ยามตื่นเขามักมีท่าทีดุร้ายไม่น่าเข้าใกล้ แต่พอหลับแล้วเขาก็คือชายรูปงามคนหนึ่ง ในหมู่บ้านระแวกนี้คงไม่มีใครเทียบเขาได้" หญิงสาวตอบน้ำเสียงเคอะเขิน หลี่เวยซึ่งกำลังนอนหลับเพลินๆ พลันสะลืมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงซุบซิบอะไรบางอย่าง เมื่อมองไปทางต้นเสียงก็พบกับสาวน้อยอายุราวสิบเอ็ดปีกำลังชี้ไม้ชี้มือกระซิบกระซาบมาทางนี้ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของชายหนุ่ม สองดรุณีมองมาก็ต้องผงะเมื่อเห็นว่าเจ้าของหัวข้อสนทนาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว "อะ เอ่อ..." ฉับพลันพวกนางรู้สึกว่าลำคอตีบขึ้นมาทันใด เสี่ยวจิ่วที่เมื่อครู่ยังทำตัวแก่นแก้วก็หุบปากฉับ "พะ พวกข้าไม่ได้ตั้งใจรบกวนนะเจ้าคะ" สหายข้างกายเสี่ยวจิ่วเอ่ยขึ้นสีหน้าหวาดหวั่น ทว่าหลี่เวยกลับยังคงมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไม่มีท่าทีดุร้ายแต่อย่างใด "อื้ม พวกเจ้าไปเถอะ" ชายหนุ่มโบกมือปัดก่อนปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ดรุณีน้อยทั้งสองมองตากันอย่างงุนงง สองฝ่ายต่างเห็นแววความฉงนสนเท่ห์ในดวงตาของกันและกัน!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม