บทที่ 1 วายร้ายที่โชคร้าย

1873 คำ
ณ หมู่บ้านชมบทอันห่างไกลจากความเจริญ ที่นี่เป็นหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตของเมืองสวีโจว สกุลจางเป็นแซ่ของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงใช้แซ่จาง อาชีพหลักของชาวบ้านก็คือการหาของป่า ล่าสัตว์และปลูกข้าวทั่วๆ ไป ประชากรในหมู่บ้านแห่งนี้มีไม่มากนัก หากนับคร่าวๆ ก็ประมาณสี่สิบครัวเรือนเห็นจะได้ วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส เด็กน้อยในหมู่บ้านพากันออกมาวิ่งเล่นด้วยความกระตือรือร้น "นั่นหลี่เวยมิใช่หรือ ทำไมเขาถึงออกมาข้างนอกเล่า" "เจ้าอย่าไปสนใจเขาเลย มาเถอะรีบเข้าบ้านเร็วเข้า" เสียงพูดคุยซุบซิบดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นบางครา เด็กน้อยวิ่งเล่นอย่างร่าเริงเมื่อครู่ต่างแสดงสีหน้าหวาดกลัวก่อนจะแผดเสียงร้องไห้จ้ารีบวิ่งหนีกลับหาบิดามารดาทันที บนถนนกลางหมู่บ้าน รถเข็นคันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปตามทางด้วยความเร็วคงที่ หากเป็นสถานการณ์ปกติไม่ว่าใครที่เจอแบบนี้ต่างก็ต้องแสดงท่าทีออกอะไรออกมาบ้าง ทว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็นกลับแสดงสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าของชายหนุ่มดูค่อนข้างน่ากลัว เป็นเพราะมันผอมซูบเสียจนดวงตาลึกโบ๋ แถมยังซีดขาวไม่ต่างจากไก่ต้ม ร่างกายของเขาผอมบางไม่ต่างกระดาษ ดุจว่าขอเพียงแค่สายลมหอบหนึ่งพัดผ่านตัวเขาก็สามารถปลิวไปกับมันได้อย่างง่ายดาย แค่นี้ก็เพียงพอที่จะบอกแล้วว่าเขาอดอยากมากแค่ไหน ในหมู่บ้านแห่งนี้ หากเด็กน้อยบ้านใดร้องไห่กระจองอแง ขอเพียงบิดามารดายกชื่อของเด็กหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาพูด เด็กน้อยก็จะปิดปากฉับด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าจะมีหลายคนชี้ไม้ชี้มือมาทางเขาทว่าชายหนุ่มก็ไม่ให้ความสนใจ เขายังคงเข็นรถไปเบื้องหน้าด้วยความมุ่งมั่น เป็นเวลาหนึ่งเดือนเศษแล้วที่ชายหนุ่มข้ามจากโลกเดิมเข้ามาอยู่ที่นี่ ครั้งแรกเขาตื่นตระหนกตกใจจนทำตัวไม่ถูกว่าไฉนจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คืออาการป่วยหนักของเขากำเริบโดยไม่ทันได้ตั้งตัว พ่อแม่ที่เห็นท่าไม่ดีต่างก็รีบเข้ามาดูอาการ ส่วนพี่ชายที่ตั้งสติได้ก่อนก็รีบไปเรียกหมอเข้ามา แต่การที่เขามาโผล่ยังโลกใบนี้หลี่เวยคาดว่าที่โลกใบนั้นเขาคงตายไปแล้ว แต่หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตในร่างของชายพิการคนนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน เรื่องราวต่างๆ จึงค่อยกระจ่างแจ้ง เขาโผล่มาในนิยายเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านมาเมื่อหลายปีก่อน แถมยังเข้ามาเป็นวายร้ายตัวประกอบที่มีนามว่า หลี่เวย เช่นเดียวกันตัวเขาในโลกก่อน ชีวิตก่อนหน้าเมื่ออายุได้ยี่สิบปี หลี่เวยตรวจพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล การอยู่ที่นั่นมันแสนจะน่าเบื่อเพราะนอกจากนั่นๆ นอนๆ เขาก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก กระทั่งพี่ชายเพียงคนเดียวเข้ามาพร้อมยื่นหนังสือนิยายเรื่องหนึ่งมาให้เขาอ่านคลายเหงา เนื้อหาในนิยายเป็นแนวที่สามารถหาอ่านได้ทั่วไป พระเอกเป็นบุตรชายจากตระกูลสายรองที่ไม่ได้รับความสำคัญ นางเอกเป็นบุตรอนุจากเมืองที่ห่างไกล สองหนุ่มสาวรวมพลังฟันฝ่าอุปสรรคมากมายจนสามารถประสบความสำเร็จและกลายเป็นที่ยอมรับจากทั่วแคว้น เป็นเรี่องธรรมดาที่นิยายแนวนี้จะไม่สามารถขาดตัวร้ายที่คอยเสริมสร้างอุปสรรคให้กับคู่พระนาง แน่นอนหลี่เวยเองก็เป็นหนึ่งในตัวร้ายที่กล่าวมาเมื่อครู่ เขาคือตัวร้ายปลายแถวที่เป็นลูกไล่ของตัวร้ายขาใหญ่อีกที คอยหาเรื่องขัดขาผู้อื่น ทำเรื่องชั่วช้ามากมายเหมือนสุนัขบ้า ทว่าตัวร้ายที่หลี่เวยเลือกติดตามเป็นคนนิสัยชั่วร้ายอย่างแท้จริง ความอหังการของเขาหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถมองข้ามไป ตัวร้ายผู้นั้นมักใช้อำนาจของตระกูลสร้างศัตรูไปทั่วสารทิศ สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหนีพ้นผลกรรมได้ที่ทำไว้ได้ พระเอกของเรื่องผู้มีไอคิวความฉลาดล้ำกว่าคนทั่วไปฉวยโอกาสตอนที่เหล่าหนุ่มสาวรวมตัวกันจัดชุมนุมหนึ่งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายบังหน้าก็คือการพบปะพูดคุยและเปลี่ยนความรู้ พระรองของเรื่องซึ่งมีฐานะเป็นบุตรชายของแม่ทัพอุดรซึ่งมีความแค้นล้ำลึกกับตัวร้ายเป็นทุนเดิม ยิ่งเมื่อถูกพ่อพระเอกเป่าหูมีหรือที่พระรองผู้ซึ่งมีนิสัยซื่อตรงและหัวรั้นจะทนไหว วันนั้นเกิดเหตุทะเลาะวิวาทใหญ่โต หลี่เวยเห็นท่าไม่จึงคิดหนีแต่ก็สายเกินไป แต่เขาหนีไม่ทันจึงถูกคนของพระเอกทุบตีจนขาหักใช้การไม่ได้ อันเป็นจุดสิ้นสุดเนื้อหาของตัวร้ายปลายแถวอย่างแท้จริง โชคดีที่แม่ทัพอุดรยังมีจิตใต้สำนึกในด้านที่ดีอยู่เล็กน้อยจึงสั่งให้คนนำรถเข็นที่ทำจากไม้เนื้อดีมามอบให้โดยบอกว่าถือเป็นการไถ่โทษ คิดมาถึงตอนนี้หลี่เวยก็อยากจะสถบด่าออกมาให้ดังๆ ทุบตีคนอื่นจนพิการ กลับชดเชยให้แก่รถเข็นหนึ่งคันหรือ! "โอะโอ่ นั่นไม่ใช่หลี่เวยบัณฑิตผู้เก่งกาจของเราหรอกหรือ? " เสียงหัวเราะของเหล่าบุรุษเพศดังมาจากทิศหนึ่ง หลี่เวยหันมองตามไปพบว่าพวกเขาเป็นเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตน ประมาณสิบเจ็ดปีได้ "บัณฑิตเพียงคนเดียวของหมู่บ้านเรา เหตุไฉนเจ้าจึงมีสภาพมิต่างจากสุนัขถูกเกวียนทับเช่นนี้เล่า ฮ่าฮ่า" คำกล่าวของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากพรรคพวกได้ดียิ่ง พวกเขาเดินผ่านหลี่เวยไป สายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลนเช่นนี้ชายหนุ่มกลับไม่สะทกสะท้านสักนิด หลายคนเค้นเสียงออกจมูกด้วยความถือดี บางคนยังใช้เท้าเตะขาที่อ่อนแรงของหลี่เวย บ้างก็เตะเข้าที่รถเข็นไม้จนมันโยนเยกไปมา หลี่เวยไม่สนใจ เขาใช้มือทั้งสองข้างหมุนล้อให้รถเข็นไหลไปตามทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กหนุ่มในหมู่บ้านบางคนเห็นก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ยก่อนจะยกพวกกันไปอีกทางหนึ่ง "หลี่เวย เจ้ามาแล้ว ข้ากำลังจะให้จางเหรินไปตามเจ้าพอดี" เสียงของชายชราดังมาแต่ไกล ชายหนุ่มมองไปทางต้นเสียงก็เห็นชายชราท่าทางซื่อตรงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา "หัวหน้าหมู่บ้าน" หลี่เวยเอ่ย ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยกลับเผยรอยยิ้มอ่อนจางออกมา "มาเถอะข้าจะช่วยเจ้าเอง" ใบหน้าที่ชราภาพของหัวหน้าหมู่บ้านถูกประดับไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเดินมาไสรถเข็นให้ชายหนุ่มโดยไม่นึกรังเกียจ ใช่แล้ว วันนี้จุดมุ่งหมายของหลี่เวยก็คือบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ชายชราแซ่จางคนนี้มีบุตรชายสองคน และบุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวแต่งงานออกเรือนไปแล้ว บุตรชายหนึ่งคนอยู่ที่หมู่บ้านนี้คอยทำงานในไร่นา ส่วนอีกคนหลี่เวยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ อนาคตอาจได้เป็นขุนนาง ผู้ใหญ่บ้านจึงส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาในตัวเมือง ในทุกสัปดาห์ผู้ใหญ่บ้านจะจ้างหลี่เวยที่รู้หนังสือให้เขียนจดหมายถึงบุตรชายในตัวเมืองหนึ่งครั้ง บ้านไม้หลังใหญ่ตั้งตระหง่าน กำแพงสูงรอบล้อมป้องกันอันตรายจากภายนอก ด้านหลังมีแปลงผักมีสีเขียวชอุ่มเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ "เสี่ยวเหริน เปิดประตูให้ปู่หน่อย" ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงดัง เพียงไม่นานประตูบ้านก็เปิดออก มาพร้อมกับร่างเล็กของเด็กสาวผู้หนึ่ง ใบหน้าน้อยๆ ของนางงดงามมาก ดูดีผิดวิสัยทัศน์ของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุรกันดาร หลี่เวยคิดว่าหากเด็กน้อยตรงหน้าโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย บ้านของผู้ใหญ่บ้านจางคงจะไม่ขาดพวกแม่สื่อแน่นอน "ท่านปู่ ท่านมาแล้ว" จางเหรินยิ้มโชว์ฟันขาว เด็กน้อยอายุสิบขวบเปิดประตูออกกว้างเผยให้เห็นด้านใดที่ถูกจัดสันอย่างเป็นระเบียบ "หลี่เวย เจ้ามาเหนื่อยๆ อยากพักดื่มชาก่อนหรือไม่" ชายชราถามอย่างห่วงใย "ไม่เป็นไรขอรับ" หลี่เวยส่ายหน้าตอบ หากอยู่ที่นี่นานเกินไปเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีนักเพราะเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องทำอยู่อีก ชายชราพยักหน้ารับพลางดันรถเข็นมาหยุดอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง บนนั้นมีพู่กัน หมึกและกระดาษเตรียมไว้ก่อนแล้ว "งั้นเริ่มกันเลยเถิด" หลี่เวยจับพู่กันขึ้นมาตั้งท่าเตรียมเขียนข้อความที่อีกฝ่ายต้องการส่งถึงบุตรชาย ผู้ใหญ่บ้านมองชายหนุ่มด้วยสายตาแปลกๆ แต่ต่อมาก็กลับสู่ความปกติ จางเหรินก็เช่นกัน ดวงตาดอกท้อของเด็กหญิงหรี่แคบราวกับพยายามจับผิดอะไรบางอย่าง ตั้งแต่ที่นางจำความได้ หลี่เวยเป็นบุรุษเช่นไรพวกนางย่อมรู้ เย่อหยิ่ง อวดดี ชั่วร้าย คือคำนิยามของเขาในหมู่บ้านจาง เมื่อครั้นที่ร่างกายยังครบสมบูรณ์ หลี่เวยเดินทางเข้าไปศึกษาในเมือง ชื่อเสียงของเขาโด่งดังที่แม้แต่นางซึ่งอาศัยอยู่เพียงแต่หมู่บ้านที่ห่างคตวามเจริญก็ยังต้องได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ชื่อเสียงที่ว่ากลับเป็นไปในทางลบ ยามเจอสหายในวัยเดียวกันชายหนุ่มก็มักจะเชิดหน้าจนคางแทบแตะสวรรค์ เวลาพูดคุยกับใครก็มักเผยแววตาอวดดี ขอเพียงใครพูดจาไม่เข้าหู เขาก็จะเริ่มตบตีอีกฝ่ายอย่างโหดร้าย แต่เมื่อถึงเวลาที่ตนเองกำลังจะโดนกลับเสียบ้าง อีกฝ่ายก็แอบอ้างถึงบารมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังจนหลบรอดไปได้เสมอ แม้กระทั่งตนเองพิการแล้วก็ยังคงความหยิ่งทะนง การมาเขียนจดหมายของเขาเมื่อเดือนก่อนจางเหรินยังจำได้ว่าอีกฝ่ายมองตนด้วยสายตาที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ทว่าตั้งแต่ที่มีคนพบว่าชายหนุ่มนอนหมดสติในเรือน ลบหายใจของเขาเบาหวิวจนแทบไม่รู้สึก บ้างก็บอกว่าอีกฝ่ายหยุดหายไปแล้ว จะยังไงก็แล้วแต่หลังจากที่เขาได้รับการรักษาจากท่านหมอเหอชายหนุ่มก็สามารถฟื้นสติคืนกลับมา แต่ดูเหมือนหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมาอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน แม้กิริยาท่าทางจะยังมีความเรียบเฉยอยู่บ้าง ทว่าความเย่อหยิ่งอวดดีกลับจางหายจนไม่เหลืออีกต่อไป "ดีๆ เช่นนั้นก็เริ่มกันเลยเถิด" ชายชราพยักหน้าเห็นด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม