ปังๆ
“ไอ้เรซ เปิดประตู!”
แฮคเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง ฉันยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านหลัง แค่ฉันบอกว่าจะมาขออยู่ที่นี่สักพักแต่เรซปิดประตูไม่ยอมให้ฉันเข้าไปตั้งแต่เช้า แฮคก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะพุ่งถีบประตูอย่างที่เห็น
“ไอ้เรซมึงเปิด...”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก เรซยืนกอดอก สีหน้ารำคาญกึ่งโมโหที่เห็นแล้วชวนหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันที่เรซจะพูดอะไรกับแฮค เขาก็ถูกคนเลือดร้อนกว่าผลักอกเข้าไปข้างในอย่างเอาเรื่อง
เรซเซถอยหลังไปสองก้าวแต่แฮคเหมือนยังไม่พอใจ ตามเข้าไปกระชากคอเสื้อเรซแล้วเหวี่ยงแรงๆ จนร่างสูงถลาไปชนกับโซฟาดังพลั่ก
“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะแฮค!” เรซหันกลับมาตะคอกเสียงขุ่น ดวงตาคมฉายแววร้อนระอุตวัดมองฉันที่อยู่ด้านหลังแฮค
ฉันสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบเลิ่กลั่ก
“เฮ้ย! มึงมองเทียนแบบนั้นมึงคิดจะทำอะไร” เสียงกรรโชกของแฮคทำฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันถึงขนาดนี้
“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไร”
“มึงทำเหี้ยอะไรเอาไว้ล่ะ!” แฮคสวนกลับอย่างร้อนแรง สองคนนั้นจ้องตากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ก่อนที่สายตาเรซจะตวัดมาทางฉันอีกรอบ พูดกับแฮคด้วยเส้นเสียงสะอิดสะเอียน
“หรือมึงคิดจะทำตัวเป็นพระเอก”
“พระเอกพ่องสิ! มึงปล่อยให้ผู้หญิงอยู่ข้างนอก ตากแดดตากลมทั้งวัน มึงคิดเหี้ยอะไรอยู่วะ”
“ทำอย่างกับกูมัดมือมัดเท้าเอาไว้อย่างงั้นแหละ ไล่แล้วไม่ยอมไป คิดว่าที่นี่เป็นโรงแรมหรือไง นึกจะหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ตอนไหนก็ได้งั้นเหรอ”
“มึง!” แฮคชี้หน้าเรซมือไม้สั่นก่อนจะค่อยๆ เก็บนิ้วลงกำแน่น สะกดกลั้นอารมณ์ก่อนกดเสียงพูดแหบต่ำ “อย่างน้อยมึงก็ไม่ควรปิดประตูใส่เค้า ทำไมไม่คุยกันดีๆ วะ”
แฮคส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิดหวัง หันกลับมาเรียกฉันให้ตามเขาเข้าไปข้างใน
“ไหวมั้ย...”
“อืม”
แฮคเห็นฉันยืนนิ่งไม่กล้าขยับก็รีบเข้ามาโอบประคองด้วยความเป็นห่วง มือหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางให้ฉัน อีกมือเลื่อนลงมาจับมือฉันไว้แล้วจูงเข้าไปข้างในโดยไม่สนใจไยดีต่อท่าทีของเรซ
“แล้วเรื่องราวมันเป็นมายังไง หมายถึงจู่ๆ ทำไมลากกระเป๋ามาที่นี่ คะนิ้งรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
แฮคจัดแจงให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องครัว หยิบน้ำเปล่าให้ฉันหนึ่งขวด ระหว่างที่ซักถามไม่หยุดก็หันไปเปิดตู้เย็นหยิบจับอาหารแช่แข็งใส่ไมโครเวฟมือเป็นระวิง สิ้นเสียงพูดคำสุดท้ายเขาก็หันกลับมาดึงเก้าอี้ตัวข้างๆ ออกนั่งเผชิญหน้ากับฉันอย่างรอฟังคำอธิบาย
ฉันกะพริบตาปริบ ปฏิกิริยาแรกที่ตอบสนองคือส่ายหน้าไหว หลบดวงตาคมปลาบของแฮคอย่างกระอักกระอ่วน
“คะนิ้งไม่รู้หรอก”
“แล้วเธอรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“....” ฉันมองสบดวงตาคมกริบของแฮคอีกครั้ง มันเป็นคำถามที่ยากจะตอบและท่าทางเขาเหมือนรู้ความนัยบางอย่าง ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าจะถูกจับโยนออกจากบ้านอีกรอบหรือเปล่า มองมือตัวเองที่จับขวดน้ำตรงหน้าอย่างคิดไม่ตก ตอนนั้นเสียงไมโครเวฟก็ดังขึ้น
แฮคลุกขึ้นไปเปิดไมโครเวฟ หยิบถุงไส้กรอกออกมาเทใส่จาน บีบซอสมะเขือเทศใส่ถ้วยน้ำจิ้มวางไว้บนจานเดียวกันอย่างใส่ใจก่อนกลับมาที่โต๊ะ วางจานไส้กรอกที่ว่านั่นลงตรงหน้าฉัน
“น่าจะหิวนะ” เขาบอก
น้ำตาฉันพานจะไหล ไม่รู้เพราะตื้นตันหรือกำลังนึกสมเพชตัวเอง จมูกแสบยิบๆ ไปหมด
“เฮ้ยไม่ต้องร้องไห้หรอกน่า ฉันยังไม่ทำอะไรเธอสักหน่อย”
“ก็มันแปลกนี่นา นายดีเกินไปแล้วแฮค”
ฉันฝืนยิ้ม กะพริบตาถี่ๆ กลบเกลื่อนอารมณ์อ่อนไหว แฮคเอื้อมมือมาจับหัวฉันเบาๆ เหมือนลืมตัว ฉันชะงักไปชั่วขณะ เขารีบเอามือออกไปทันที
“โทษที... เห็นคนสวยตกที่นั่งลำบากแล้วมันอดยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้น่ะ กินสิเดี๋ยวไม่มีแรง อ่ะอย่าลืมเป่าด้วยมันร้อน”
ความขี้เล่นของแฮคทำให้ฉันผ่อนคลายและหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว จิ้มไส้กรอกใส่ปากอย่างไม่ให้เสียน้ำใจคนทำ ว่าไปแล้วฉันก็หิวมากเหมือนกันแต่เพราะกำลังเครียดเลยไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่
“กินเสร็จแล้วนายจะไล่ฉันไปเหมือนกันใช่มั้ย”
กินไปได้ไม่กี่คำฉันก็พ่นสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา แฮคทำหน้าอึ้งๆ
“ใครบอก ไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นเลย เธอ... กำลังเจอเรื่องลำบากไม่ใช่เหรอไม่งั้นคงไม่ลากกระเป๋ามาหาคนที่ไม่คุ้นเคยกันแบบนี้”
แฮคลังเลกับคำว่าคนไม่คุ้นเคย เขามองฉันด้วยสายตาประเมินครู่หนึ่ง น้ำเสียงจริงจังก็ดังขึ้นมาอีกระลอก
“ถามจริงรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
ฉันรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงคำถามนี้ได้อีกต่อไป ก้มหน้างึมงำตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “เรซ หมอนั่นเคยพามาครั้งหนึ่ง”
ปึง!
แฮคทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเต็มแรงจนจานกับช้อนตรงหน้าฉันสะเทือนเกิดเสียงกระทบกันระลอกหนึ่ง
“นึกแล้วเชียว ไอ้เวรนั่น!”
“แฮค”
ฉันมองใบหน้าเจ็บใจของแฮคอย่างทำอะไรไม่ถูก เขามองฉันแวบหนึ่งก่อนลุกพรวดขึ้นยืนก้มหน้าครุ่นคิดด้วยท่าทางกระสับกระส่าย
“มันพาเทียนมาทำอะไร”
“เอ๊ะ คือ... เรามีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย เรซก็เลยพาฉันมานี่...”
“แน่ใจว่าแค่คุยกันเฉยๆ”
สายตาของแฮคบอกว่ารู้ไส้รู้พุงเรซทุกอย่าง แต่จะให้ยอมรับความจริงก็ออกจะกระดากใจเกินไป
ฉันพยักหน้า โกหกเสียงเบาโหวง “แค่คุยกัน... เรื่องกระเป๋าน่ะ”
“กระเป๋า?”
“ก่อนหน้านี้ฉันเกือบจะโดนเรซขับรถชนแล้วกระเป๋าแบรนด์เนมก็ถูกรถหมอนั่นเหยียบจนพัง”
แฮคหรี่ตาลง ฟังฉันอธิบายเงียบๆ เขาดูไม่ตกใจเท่าไหร่ คงรู้เรื่องอุบัติเหตุนั่นมาก่อนแล้ว ดีไม่ดีเขาอาจจะกำลังคิดว่ากระเป๋านั่นเป็นเพียงข้ออ้างก็ได้
“แล้วนึกไงลากกระเป๋ามาที่นี่”
“นึกได้ว่าที่นี่มีห้องว่างก็เลย... แต่ไม่คิดว่าเรซจะใจร้ายขนาดนี้”
“เธอเป็นอะไรกับมันล่ะ”
น้ำเสียงที่ออกจะกระด้างกว่าปกติของแฮคทำฉันหน้าเสีย กัดริมฝีปากอย่างปวดร้าวในอก
“ฉันหมายถึงไอ้เรซมันไม่เคยไยดีผู้หญิงคนไหนเลยต่างหาก ยกเว้นพวกคุณหนูลูกหลานสปอนเซอร์รายใหญ่ แต่ขนาดยัยพวกนั้นมันยังควงแบบขอไปที แล้วคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างเทียนมีเหรอที่มันจะแยแส”
“....”
หลังจากนั้น
แฮคพาฉันขึ้นมาชั้นสอง เปิดประตูห้องที่อยู่ติดกับห้องที่มีชุดชั้นในของคะนิ้ง จูงกระเป๋าเดินทางฉันเข้าไปข้างใน
“คืนนี้ก็ใช้ห้องนี้ไปก่อน”
“คืนนี้? ...แล้วพรุ่งนี้ล่ะ”
ฉันเหลือบมองไปทั่วห้องก่อนดึงสายตากลับมาจ้องแฮคด้วยสายตาหวาดๆ แฮคผ่อนลมหายใจยาว ท่าทางกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน
“ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องนี้ จะว่าไงดี เรื่องนี้ฉันตัดสินใจเองไม่ได้”
“งั้น... ทำยังไงฉันถึงจะอยู่ที่นี่ได้”
“ถ้าเธอเป็นผู้หญิงของใครสักคนในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาหรอก”
“เข้าใจแล้ว” ฉันบอกอย่างรู้สึกหดหู่ แฮคพยักหน้า ท่าทางโล่งใจเปลาะหนึ่ง เขาคงคิดว่าฉันยอมแพ้ที่จะอยู่ที่นี่แล้ว หมอนั่นพูดอะไรอีกสองสามประโยคเกี่ยวกับของกินในครัวและห้องน้ำ แต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ในหัวเอาแต่คิดว่าต้องทำยังไงถึงจะอยู่ที่นี่ได้ ร่างสูงกำลังจะออกจากห้อง ฉันรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“แฮคเดี๋ยว...”
ฉันคว้ามือหนาเอาไว้อย่างร้อนใจ แฮคชะงัก ก้มลงมองมือที่ถูกจับก่อนเหลือบตาขึ้นมองหน้าฉันด้วยสายตาเป็นคำถาม ฉันอึกอัก สมองรวนอยู่ชั่วอึดใจ โพล่งอะไรสักอย่างออกไปแบบไม่รู้สึกตัว
“ฉันจะสมัครเป็นแม่บ้าน!”
“หา?”
“ฉัน... ฉันขอทำงานได้มั้ย ...แลกกับที่อยู่”
ตอนแรกฉันก็ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองพูด แต่หลังจากใคร่ครวญในเวลาสั้นๆ ฉันก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม
“ให้ฉันทำงานเป็นแม่บ้านเถอะนะ”
“เทียน... เธออยากอยู่ที่นี่มากขนาดนี้เลยเหรอ”
ฉันพยักหน้าอย่างแข็งขัน ดึงแขนแฮคเข้ามากอดแน่น บดเบียดจนแขนเขาจมลึกเข้าไปในร่องอกนุ่มๆ
“ใช่ ฉันอยากอยู่ ช่วยฉันหน่อยนะแฮค”
“เอ่อ... อ่ะ... อืม”
แฮคอึกอักเหมือนอะไรติดคอ เขาพยักหน้าแบบฝืดๆ ที่จอนผมเกราะพรมไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศภายในห้องก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้น
แฮคลอบกลืนน้ำลายอย่างหิวกระหาย ฉันรู้ว่าเขากำลังหวั่นไหวเลยตอกฝาโลงด้วยการยืดตัวขึ้นหอมแก้มเขาไปหนึ่งฟอด กระซิบเสียงหวานข้างใบหู
“ขอบคุณนะแฮค นายใจดีที่สุดเลย”