CHAPTER 7 เรื่องแบบนี้ต้องมีค่าปิดปาก

1722 คำ
“ไอ้น็อตรู้ไหมครับ ว่ามานี่” คล้อยหลังพี่ ‘ฟีน’ เจ้าของร้านพ่วงตำแหน่งลูกพี่ลูกน้องเดินออกไป พี่ฟิลด์ก็หันหน้ามาถามกัน ฉันจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ “แล้วเรื่องนี้ จะให้พี่บอกมันไหม” กัดปากตัวเองอย่างชั่งใจ มองหน้าอีกคนที่กำลังเลิกคิ้วมองกันอยู่ “นิวไม่อยากให้เฮียน็อตรู้” ถ้าพี่ชายรู้ แน่นอนว่าฉันจะไม่สามารถออกเที่ยวกับเพื่อนได้อีก อย่างน้อยก็จนกว่าจะหมดเทอมนี้ หรือไม่ก็อาจจะลากยาวจนกว่าจะจบปีสองขึ้นปีสาม ตัวฉันเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก นอกจากอาการตกใจ ดังนั้นจึงไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าเฮียน็อตรู้ พ่อกับแม่ก็ต้องรู้ “ถ้าไม่อยากให้พี่ชายรู้ ก็ต้องมีค่าปิดปากนะ” ใบหน้าที่เคยจริงจังเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มพราวอย่างขี้เล่น “พี่ฟิลด์อยากได้อะไรคะ” พอได้ยินคำถามฉัน แววตาสุกใสก็เหมือนจะดำมืดลงไปชั่วขณะ ริมฝีปากติดคล้ำถูกขบเม้ม สังเกตเห็นลิ้นแดง ๆ โผล่มาอยู่นิดหน่อย แต่เพียงไม่กี่วินาทีทุกอย่างก็หายไป เหลือแค่รอยยิ้มประดับหน้าเหมือนอย่างเคย “ข้าวสักมื้อก็ได้ครับ ช่วงนี้พี่ฝืดเคือง” ฉันหลุดยิ้มด้วยรู้ดีว่าพี่เขาแค่พูดเล่น ใส่แบรนด์เนมแทบทั้งตัวขนาดนี้เอาอะไรมาฝืดเคือง แค่นาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่ก็น่าจะปาเข้าไปเกือบเจ็ดหลัก “ถ้าอย่างนั้นพี่ฟิลด์นัดวันได้เลยนะคะ” “ครับ ว่าแต่พี่จะบอกเรายังไง” นั่นน่ะสิ จะติดต่อกันยังไง “ความจริงพี่ติดตามไอจีนิวนะ แต่คิดว่าถ้าไดเรกไป ข้อความของพี่น่าจะถูกกลบ เพราะหนุ่ม ๆ นิวคงถมของพี่มิด” พี่ฟิลด์พูดเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าพี่เขากำลังประชดกัน “แอดไลน์ไว้ก็ได้ค่ะ” พอฉันบอกแบบนั้น คนที่ยืนกอดอกหน้านิ่งก็ผุดยิ้มตรงมุมปาก “นี่ครับ แสกนเลย” แถมด้วยการเปิดคิวอาร์โค้ดไลน์ของตัวเองส่งให้ฉันอย่างกระตือรือร้น “ขอบคุณพี่ฟิลด์มากเลยนะคะ ที่เข้ามาช่วยนิว” ตั้งแต่เกิดเรื่องฉันยังไม่ได้ขอบคุณพี่เขาเลย พอแอดไลน์กันเรียบร้อย จึงยกมือไหว้ขอบคุณพี่เขาจากใจจริง ถ้าไม่ได้เขา ฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง “ไม่ต้องคิดมา พี่เต็มใจช่วย” พี่ฟิลด์ยิ้มให้อย่างกันเอง “เข้าข้างในดีกว่า เอาเสื้อคลุมไหม” คงเห็นว่าฉันใส่เสื้อค่อนข้างสั้น พี่ฟิลด์จึงถอดเสื้อแจ็กเกตของตัวเองยื่นให้กัน “ไม่เป็นไรค่ะ นิวมีแล้วแต่อยู่ข้างใน” เป็นของเฮียน็อตนั่นแหละ แต่ฉันไม่ได้ใส่ เพราะข้างในค่อนข้างร้อน “โอเคครับ งั้นไปกัน ตามพี่มา” พี่ฟิลด์เดินนำ ส่วนฉันเดินตามหลัง พี่เขาคอยเอามือกันคนที่จะเซเข้าใกล้ฉัน พอเห็นท่าไม่ดีบางทีก็เข้ามาโอบไหล่ ทำอย่างนั้นตลอดทางกระทั่งเดินมาจนถึงโต๊ะ ซึ่งตอนนี้อยู่กันครบ ทั้งไอ้ปั้น ไอ้บอส แล้วก็ไอ้ฝัน สามสหายมองมาที่ฉันกับพี่ฟิลด์เป็นตาเดียว ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังสงสัยขนาดไหน ที่เห็นฉันเดินมาพร้อมพี่เขา โดยเฉพาะปั้น ที่ตอนนี้หน้าบึ้งบอกบุญไม่รับแบบสุด ๆ “พี่ไปก่อนนะ มีอะไรเรียกได้ โต๊ะพี่อยู่ตรงนั้น” ฉันค้อมหัวให้พี่ฟิลด์ มองตามกระทั่งพี่เขาเดินถึงโต๊ะที่มีเพื่อนสองคนนั่งรออยู่ ถึงได้ทรุดตัวนั่งลงบ้าง “มาพร้อมมันได้ยังไง” ก้นยังไม่ทันอุ่นคนหน้าบึ้งก็เค้นถาม “ไอ้ปั้น พูดให้มันดี ๆ นั่นพี่คณะกู” บอสถึงกับไม่ทนเมื่อปั้นพูดปีนเกลียวกับรุ่นพี่ “แล้วมึงมีปัญหา?” สงครามจ้องตาเริ่มต้นขึ้น แถมยังมีแววว่าสงครามน้ำลายจะตามมาแบบติด ๆ หากว่าเหมือนฝันไม่สอดตัวเข้าไปแยก “หุบปากกันทั้งคู่ แล้วหันหน้าไปฟังนิว” บอสกับปั้นหันหน้าออกคนละทาง พอทุกอย่างสงบลง ฉันจึงเริ่มเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมตัวเองถึงได้เดินมาพร้อมพี่ฟิลด์ “ทำไมไม่เรียกว่ะ” ปั้นหัวเสียหนักเมื่อรู้ว่าฉันเกือบโดนฉุด มันฟืดฟาดจะลุกออกไปหาตัวคนเมา แต่ฉันก็ดึงไว้ไม่อยากให้มีเรื่อง “จะให้เรียกยังไงล่ะ” ฉันจะเอาเวลาไหนมาเรียกมัน แค่จะหาทางหนีออกจากไอ้คนนั้นก็ยังทำไมได้ “โทรศัพท์ก็ลืมว่าพกไป” พึ่งรู้ว่าตัวเองมีโทรศัพท์ ก็เป็นตอนที่เรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้วนั่นแหละ “ขวัญเอ่ยขวัญมานะหนูนิว ขอโทษที่ไม่ได้ไปเป็นเพื่อนแก” บอสลุกจากที่ของตัวเองเดินมากอด ฉันจึงซุกหน้าเข้าหาพุงน้อย ๆ ของมันอย่างเต็มรัก ถึงจะจิกจะด่ากันขนาดไหน แต่พอเจอเรื่องแบบนี้มันก็เป็นความอบอุ่นให้กับฉันได้เสมอ “ขอโทษที่ฉันมัวแต่แรดนะเพื่อนรัก” เหมือนฝันเองก็เข้ามากอดฉันด้วยอีกคน แต่คำพูดของนางก็ทำเอาโมเมนต์สุดซึ้ง เปลี่ยนเป็นตลกได้ในทันที “ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องขอโทษ” ฉันปล่อยกอดแล้วบอกให้กลับไปนั่งที่ “แต่ว่านะ ถ้าเฮียน็อตรู้ แกได้จำศีลแน่ยัยหนูนิว” “ไม่รู้หรอก” ฉันบอกบอสให้สบายใจ “ทำไมจะไม่รู้ ไอ้นั่นเป็นเพื่อนเฮียไม่ใช่ไง” จากคำว่า ‘มัน’ ตอนนี้ปั้นเปลี่ยนเป็น ‘ไอ้นั่น’ แทน “พี่เขารับปากแล้ว ว่าจะไม่บอกเฮีย” “แล้วเชื่อ?” “อือ” ฉันพยักหน้ายืนยันว่าตัวเองเชื่อคำพูดเขา แต่ไม่ได้บอกว่าที่เชื่อเพราะมีข้าวเป็นค่าปิดปาก เพราะแค่นี้ปั้นก็โมโหมากแล้วที่เห็นฉันไปข้องเกี่ยวกับพี่ฟิลด์ ถึงแม้พี่เขาจะช่วยฉัน แต่เพื่อนสนิทก็ยังตั้งแง่กับเขาอยู่ “แล้วแต่มึงล่ะกัน” ว่าจบก็ลุกพรวดออกจากโต๊ะ คาดว่าถ้าไม่ไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ก็คงออกข้างนอกดูดบุหรี่ “ไอ้ห่าปั้นนิสัยเสีย” บอสพูดไล่หลัง “ชน ๆ ไม่ต้องไปสนใจ อารมณ์ดีเดี๋ยวมันก็กลับมา” แก้วสามใบถูกยกขึ้นชนกัน ในขณะที่ฉันเงยหน้าดื่ม สายตาก็ปะทะกับคนที่อยู่ถัดไปอีกสามโต๊ะ ฉันรีบวางแก้วจนเหล้าเกือบกระเด็น พอเห็นว่าคนฝั่งนั้นยังมองมาก็รีบค้อมหัวส่งไปให้ พี่ฟิลด์เองก็ยิ้มรับแล้วยกแก้วส่งให้กันทางอากาศ • Garfield part “อะไรยังไงไอ้ห่าฟิลด์” “ก็แล้วอะไรยังไงล่ะ” ผมวางแก้วในมือลง หันหน้ามองคนถามอย่างยียวน “อย่ามากวนตีน บอกมาว่ามึงเดินมาพร้อมน้องนิวของกูได้ยังไง” “น้องเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ไอ้สัสหยา” เตะเข้าหน้าขาของคนขี้ตู่ไปเต็มแรง ไอ้หยาโอดโอยบอกว่าเจ็บ ผมจึงกระตุกยิ้ม ‘สมน้ำหน้า’ “กูไปเจอน้องเกือบโดนฉุดอยู่หลังร้าน ก็เลยเข้าไปช่วยแล้วเดินมาด้วยกัน” ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง เพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำกับพวกมัน พอได้ยินว่าน้องเกือบโดนทำร้าย ไอ้หยาไอ้เคก็มีสีหน้าตกใจในทันที “แล้วน้องเป็นไงบ้าง โอเคแล้วใช่ไหม” ไอ้หยาถามผม แต่ตามองไปทางน้อง แม้จะอยู่ไกลมองไม่ออกว่าน้องบาดเจ็บตรงไหนไหม แต่มันก็ยังยืดคอมอง “โอเคแล้ว ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่ก็คงตกใจอยู่” “เป็นกูก็ตกใจ” ไอ้เคพูดหลังนั่งเงียบมาสักพัก “แล้วไอ้เหี้ยนั่นล่ะ จัดการยัง” “อือ ส่งมันไปนอนห้องกรงเรียบร้อยละ” ป่านนี้จะรู้ตัวรึยังก็ไม่รู้ ว่าตัวเองถูกจับยัดตาราง “เออฟิลด์ กูเห็นไอ้อี้ด้วย” ชื่อเพื่อนสมัยมัธยม ทำให้แก้วเหล้าที่กำลังยกเข้าปากถูกดึงออก “อยู่โซนไหน” “ฝั่งนอก” ผมพยักหน้ารับรู้แล้วยกแก้วเหล้าที่ชะงักเมื่อครู่ขึ้นดื่มต่อ แม้จะรู้สึกเซ็งนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าอยู่ร้านเดียวกับอดีตเพื่อนสนิท “กูไปสืบมา ไอ้เด็กปั้นที่กอดคอน้องนิวออกจากสนามบอล มันเป็นน้องรหัสของไอ้อี้” พอได้ยินข้อมูลจากไอ้หยา ผมก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมไอ้เด็กนั่นถึงใช้สายตาแบบนั้นจ้องมองผม ตั้งแต่ที่สนามบอลตอนนั้นแล้วก็ตอนนี้ คงโดนพี่รหัสเป่าหูฉ่ำเลยละสิ “แล้วก็รู้อีกว่า...” “ยังไม่หมดอีก” ไอ้เคพูดขึ้นเมื่อไอ้หยาพูดไม่หยุดปาก “เออ อย่าพึ่งขัด” คนถูกขัดชักสีหน้า “ไอ้เด็กปั้น น้องนิว น้องบอสรุ่นน้องคณะเรา เป็นเพื่อนกันตั้งแต่อนุบาล ส่วนน้องฝันพึ่งเจอกันตอนปีหนึ่ง” “หมายความว่า สองคนนั้นไม่ใช่แฟน?” ผมถามย้ำเพราะกลัวตัวเองเข้าใจความหมายที่มันจะสื่อผิด “อือ โนแฟนร้อยเปอร์เซ็นต์” ไอ้หยาพยักหน้าตอบด้วยความมั่นใจ “มึงแน่ใจได้ยังไง ตอนเด็กเป็นเพื่อนกัน โตมาเป็นแฟนกันมีเยอะแยะ” ไอ้เคแย้ง “กูถามจากคนที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมา บอกว่าแก๊งนี้เขาสนิทกันมาก ถึงเนื้อถึงตัวคือเรื่องปกติ แล้วอีกอย่าง มึงคิดดู ว่าถ้าไม่ใช่แค่เพื่อน ไอ้น็อตจะกล้าปล่อยเฉยแบบนั้นเหรอ” พอไอ้หยาพูดจบ ผมกับไอ้เคก็ไม่มีอะไรแย้ง เพราะคิดตามก็จริงอย่างที่ว่า “ตาออกแสงเลยนะมึง ถูกใจล่ะสิที่รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน” “ใส่ร้ายกูอีกละ” ผมกลบเกลื่อนรอยยิ้มด้วยการยกเหล้าดื่ม “เออ อย่าให้กูเห็นว่ามึงไปโผล่บริหารบ่อย ๆ ก็แล้วกัน” End part.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม