บทที่ 1
จากที่เคยเป็นลูกรักของพ่อแม่บุญธรรม ทันทีที่ลูกอิจฉาคลอดออกมานลินดาก็เป็นไม่ต่างจากหมาหัวเน่า ความรัก ความเอ็นดูที่เคยได้รับไม่มีคงเหลือ จากเคยนอนในห้องนอนหรูหราภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ก็ถูกไล่ให้มานอนในบ้านพักของคนใช้ คืนวันผ่านพ้นไปยี่สิบปี นลินดาก็ตกอยู่ในฐานะไม่ต่างจากคนรับใช้ในบ้านหลังนี้
และในวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่นลินดาถูกเรียกใช้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว สำเร็จการศึกษาจากเมืองผู้ดีประเทศอังกฤษ
อรสุดาและปวินทร์ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างใหญ่โต และคนที่รับศึกหนักเรื่องการทำความสะอาดห้องก็หนีไม่พ้นนลินดา!
“นังนลิน ดูแลความเรียบร้อยห้องของคุณหนูเอริณหรือยัง อีกไม่กี่ชั่วโมงหนูเอริณก็บินมาถึงประเทศไทยแล้ว ถ้าห้องไม่สะอาด มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว แกโดนแน่”
อรสุดาสั่งเสียงห้วนพร้อมกับยืนกำกับจ้องมองว่านลินดาจะทำตามคำสั่งของนางหรือเปล่า
นลินดาในวัยยี่สิบห้าปี แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ลอบถอนหายใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย เธอทำความสะอาดห้องนอนของเอริณทุกวัน แทบจะวันละสามเวลาตามคำสั่ง แต่ก็ดูเหมือนยังไม่เพียงพอสำหรับผู้เป็นมารดา
“นลินทำความสะอาดห้องของน้องเอริณทุกซอกทุกมุมเลยค่ะคุณแม่ รับรองได้ว่าไม่มีฝุ่นติดในห้องแม้แต่นิดเดียวค่ะ”
“อย่ามาเถียง! ฉันบอกให้ทำก็ทำไป”
อรสุดาตวาดเสียงดังลั่นห้อง สีหน้าถมึงทึงเพราะความโกรธ และด้วยไม่พอใจกับคำพูดของลูกบุญธรรมจึงออกคำสั่งว่า
“ลงมือทำความสะอาดห้องใหม่เดี๋ยวนี้ เปลี่ยนผ้าปู ผ้าห่ม ปลอกหมอน เช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น และต้องเสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงเข้าใจไหม...นลิน”
“แต่คุณแม่คะ นลินเพิ่งเปลี่ยนผ้าปูเตียงนอนเมื่อวานนี้เองนะคะ”
นลินดาเอ่ยค้านไม่ทันจนประโยค ก็ถูกมารดาตบลงบนใบหน้าเล็กรูปไข่เต็มแรงจนใบหน้างามหันไปตามแรงสะบัดตบ
เผียะ!
“ฉันสั่งให้แกทำอะไรก็ทำตามสิ อย่ามาโต้เถียง อย่าขัดคำสั่งของฉัน...ฉันบอกให้เปลี่ยนผ้าปูก็เปลี่ยนเดี๋ยวนี้ เข้าใจไหม!”
อรสุดาชี้นิ้วสั่ง เมื่อไม่มีความรัก ไม่มีความเมตตาหลงเหลือให้กับลูกบุญธรรม ไม่ว่านลินดาจะทำอะไร ก็ไม่ถูกใจและดูผิดไปซะถูกอย่าง
“แต่...”
“หุบปาก! นังนลิน”
อรสุดาตะคอกลั่น ไม่ใช่แค่ตบหน้าลูกบุญธรรมจนเห็นรอยนิ้วมือทั้งห้า นางยังเค้นเสียงด่าลำเลิกบุญคุณของตนเองด้วย
“อย่ามาขี้เกียจสันหลังยาว ฉันใช้ให้ทำอะไรเพื่อหนูเอริณแกต้องทำตามทุกอย่าง และจงจำใส่หัวสมองไว้ว่าเพราะฉันไปรับแกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เอาแกมาเลี้ยงดูให้การศึกษา แกถึงได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนทุกวันนี้ หากไม่ได้ฉันรับแกมาเลี้ยงอุ้มชู ป่านนี้แกอาจเป็นโสเภณีท้องไม่มีพ่อแล้วก็คลอดลูกทิ้งเหมือนแม่ของแกก็ได้ เพราะฉะนั้นจงตอบแทนบุญ
คุณที่ฉันเลี้ยงดูแกมา”
“ค่ะ...คุณแม่ นลินขอโทษค่ะ”
มือเล็กที่สั่นเทายกขึ้นพนมไหว้ขอโทษ กล้ำกลืนน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา คงมีแค่เพียงดวงตาอันแดงก่ำที่จ้องมองมารดาขณะเอ่ยบอกต่อ
“นลินจะทำตามคำสั่งของคุณแม่เดี๋ยวนี้ค่ะ”
“ดีมาก! ให้รู้จักสำนึกถึงข้าวแดงแกงร้อนที่ฉันให้แกกินอยู่ทุกวัน”
อรสุดาตอกย้ำถึงบุญคุณของตนเอง และก่อนจะเดินออกจากห้องของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ก็ไม่ลืมสั่งลูกบุญธรรม
“ทำความสะอาดห้องเสร็จแล้วก็ไปช่วยป้ากาญจัดสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงต้อนรับหนูเอริณในเย็นวันนี้ และจำไว้ว่าให้ใส่ชุดคนรับใช้ เวลาแขกเหรื่อถามว่าเป็นใคร ให้ตอบว่ายังไง!”
นลินสะดุ้งกับน้ำเสียงห้วนจัด พอมองสบตากับดวงตาของมารดาซึ่งจ้องมองเขม็ง ก็ลนลานตัวสั่นละล่ำละลักเอ่ยถามตามที่ถูกกรอกหูในทุกวัน
“ให้...ให้ตอบว่าเป็นลูกของแม่บ้าน ลูกของป้ากาญค่ะ”
อรสุดากระตุกยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน นางสั่งให้นลินดาตอบเช่นนี้มานานนับสิบๆ ปีแล้ว แม้นลินดาโตขึ้นมาจะมีเรือนร่างอรชรหน้าตาสะสวยไม่แพ้ดารานางแบบ แต่นางก็ไม่อยากให้บรรดาเพื่อนๆ ไฮโซรวมทั้งว่าที่คู่หมั้นของลูกสาวรู้ว่าเอริณมีพี่สาวเป็นเด็กกำพร้าที่นางขอมาอุปการะ
“ดี! ตอบแบบนี้ทุกครั้งที่มีคนถาม แต่ถ้าให้ดี อย่าสะอึกมาเดินในบริเวณงานเลี้ยง อยู่ช่วยคนใช้ในห้องครัวจะดีที่สุด”
“ค่ะ คุณแม่”
นลินดารับคำ ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองสบตากับมารดา และด้วยเกรงว่าจะถูกมารดาโกรธและทำโทษเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จึงเอ่ยขอตัวไปทำตามคำสั่ง
“นลินทำความสะอาดห้องให้น้องเอริณก่อนนะคะ คุณแม่”
“เดี๋ยว!” อรสุดาเค้นเสียงเรียก
ทางด้านของนลินดาถึงกับชะงักฝีเท้าหันมามองมารดาเพื่อรอฟังคำสั่งอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องเสียใจน้ำตาคลอเบ้ากับคำพูดของมารดา
“ต่อไปไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่ ให้เรียกฉันว่าคุณผู้หญิง ส่วนคุณปวินทร์ก็เรียกว่าคุณท่าน และเรียกหนูเอริณว่า ‘คุณเอริน’ อย่ามานับญาติกับเอริณ เข้าใจไหม”
“ค่ะ...คุณผู้หญิง”
นลินดารับคำเสียงสั่นเครือ ก้มหน้างุดเพราะกลัวมารดาจะเห็นน้ำตาและตนเองจะถูกทำร้ายเอาได้ กระทั่งมารดาเดินออกจากห้องพร้อมกับกระแทกประตูห้องปิดเต็มแรงจนเลือนลั่น ร่างโปร่งบางจึงค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกองกับพื้น ก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเสียใจกับโชคชะตาของตนเอง