การหลบหนีของเทพอสูร

2247 คำ
การหลบหนีของเทพอสูร “คุณหนูลั่ว…” ทว่าพอลั่วชิงอีได้ยินคำว่า ‘คุณหนูลั่ว’ อากัปกิริยาของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งพันปี มือเล็กขาวนวลถอดผ้าคลุมหน้าสีขาวออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามสะคราญโฉมของหญิงสาวกับดวงตาสีฟ้าทะเลแวววับราวกับสายน้ำ ในยามนี้แทบจะทำให้บุรุษทุกคนที่อยู่ในหอการค้าจินหลงแห่งนี้ ยินยอมที่จะสยบอยู่แทบเท้าของนาง ขณะในใจของทุกคนต่างรู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างสง่างามและแลดูสูงส่งยิ่งนัก หลายคนในหอการค้าจินหลงขณะนี้ เพียงคราแรกที่ยลโฉมราวกับต้องมนต์สะกด นางนั้นช่างเยือกเย็นและสง่างาม ยามที่ริมฝีปากแดงระเรื่อยกยิ้มช่างชวนให้สัมผัสยิ่งนัก แพรผมสีดำยาวสลวยพาดลงถึงบริเวณช่วงเอว ผิวกายนวลผ่องราวกับแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ความงามนางแม้แต่ดวงจันทร์ก็ยังหมองลง อ๊า….นางเป็นนางฟ้าหรืออย่างไร? นี้คือความคิดของบุรุษทั้งหลายในหอการค้าแห่งนี้ “เจ้าหมายถึงข้า?” ลั่วชิงอีชี้นิ้วไปที่ตนเอง พลางยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเย้ยหยัน ในที่สุด…ข้าก็เจอเจ้าเสียที ลั่วหลิงเฟยเอ๋ย! “ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นหมาตัวใดกัน…?” ลั่วหลิงเฟยที่เห็นหญิงสาวตรงหน้ามีรูปโฉมงดงามราวกับภาพวาด จึงทำให้ในใจของนางเกิดความรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อเห็นลั่วชิงอีไม่หลีกทางให้ ลั่วหลิงเฟยก็มีสีหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงที่บ่งบอกได้ถึงความไม่สบอารมณ์ดังขึ้น “ยังไม่หลบไปอีก? อยากรนหาที่ตายกระนั้นเรอะ?” การที่ลั่วหลิงเฟยกล้าพูดจาเช่นนี้ เป็นเพราะว่านางไม่อาจสัมผัสถึงระดับลมปราณของหญิงสาวตรงหน้าได้ อีกทั้งชุดที่หญิงสาวสวมใส่ดูไม่ได้มีฐานะอะไร! จึงทำให้นางยิ่งใจโอหังขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ “เป็นเจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย…” “วาจาผายลมอันใด? ...นางแพศยา กล้ามีเรื่องกับคุณหนูของเรากระนั้นเรอะ….” สาวรับใช้ของลั่วหลิงเฟยตะคอกเสียงดังด้วยความไม่พอใจ สาวรับใช้ที่มากับลั่วหลิงเฟยนั้น เป็นหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง อายุอานามประมาณ 24 -25ปี ระดับของนางอยู่ที่ลมปราณขอบเขตวิญญาณขั้นที่ 3 “พวกท่านทั้งสองอย่าได้มีเรื่องกั———” กงซุนอี้เฟิงที่เห็นสถานการณ์เริ่มจะแย่ลง เขาจึงรีบกล่าวห้ามลั่วหลิงเฟยและสาวรับใช้ทันทีของนางทันที ทว่าก็ต้องหยุดชะงักกลางคัน เมื่อเห็นลั่วชิงอียกมือขึ้นบอกเป็นเชิงทํานองว่าไม่เป็นไร “หากข้าไม่หลบ เจ้าจะทำอะไรกับข้า?” น้ำเสียงเย่อหยิ่งของลั่วชิงอีดังขึ้น ใบหน้าโฉมสะคราญเผยรอยยิ้มอย่างมีเลสนัย “เจ้า!! ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เป็นแค่หญิงไร้ค่าที่มีดีแค่หน้าตา กล้ามาต่อปากต่อคำกับข้างั้นเรอะ!” ลั่วหลิงเฟยกล่าวขึ้นด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว นางชี้ไม้ชี้มือไปที่ลั่วชิงอีพร้อมกับด่าตวาดลั่นราวกับแม่ค้าตลาดอย่างไรอย่างนั้น ฟิ้วววว กล่าวจบ ลั่วชิงอีก็ดีดตัวพุ่งเข้าหาลั่วชิงอีอย่างรวดเร็ว พร้อมกับซัดฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยลมปราณทะเลวิญญาณขั้นที่ 7 ออกไป เพื่อหมายจะกระแทกร่างของลั่วชิงอีให้ตกตายในฝ่ามือเดียว “ไม่เจียมตัว...” น้ำเสียงเย็นเยียบของลั่วชิงอีดังขึ้น ในจังหวะที่ฝ่ามือกำลังจะกระแทกร่างงามอรชร นิ้วเรียวยาวของนางก็ชี้นิ้วออกไปยังเบื้องหน้า เพียงแค่ตวัดนิ้วชี้เพียงนิ้วเดียว ฝ่ามือของลั่วหลิงเฟยมลายหายไปราวกับภาพมายา เปรี๊ยะ! และในจังหวะเดียวกันนั้น ลั่วชิงอีก็พุ่งเข้าหาลั่วหลิงเฟยด้วยความเร็วประดุจอัสนี มือเล็กของนางตบเข้าไปที่ใบหน้างามของลั่วหลิงเฟยอย่างจัง เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ลั่วชิงอีตบเข้าไปที่จุดๆ เดิมบนใบหน้างามของลั่วหลิงเฟยซ้ำๆ จนใบหน้าของนางบวมแดงราวกับผลผิงกั่ว ทว่าลั่วชิงอียังไม่ยอมหยุดเพียงแค่นี้ ในจังหวะที่ลั่วหลิงเฟยยังโซซัดโซเซจากการถูกตบไม่หาย ลั่วชิงอีก็ยกเท้าขึ้นสูงก่อนจะเตะไปที่ร่างบอบบางอย่างแรง ผว๊ะ! ลั่วหลิงเฟยพยายามยกมือขึ้นมาป้องกัน แต่ทว่าการเตะของลั่วชิงอีนั้นหนักหน่วงจนเกินไป จนมือของนางที่ยกขึ้นมาป้องฝ่าเท้าบิดเบี้ยวจนน่ากลัวราวกับว่ากระดูกที่ข้อมือบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง “อ๊าก…พวกเจ้าจะยืนดูข้าตายกระนั้นเหรอ! รีบจัดการนางแพศยานี้เร็วเข้า…” “บังอาจนัก...ตายซะ นางสารเลว!” สาวรับใช้ของลั่วหลิงเฟยตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว พร้อมกับระเบิดพลังปราณวิญญาณขั้นที่ 3 ออกมา ทว่าก็ช้าไปเสียแล้ว! เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของลั่วชิงอีก็มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของสาวใช้คนนั้นประหนึ่งภูตผี มือเล็กของลั่วชิงอียึดจับข้อมือของสาวใช้คนนั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับเพิ่มแรงบีบอันมหาศาลไปที่ข้อมือของสาวใช้คนนั้น จนกระดูกข้อมือของนางนั้นแตกละเอียด “อ๊าาาาาาา” สาวใช้คนนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทว่านางก็ยังพยามฝืนซัดฝ่ามืออีกข้างไปที่หน้าอกของลั่วชิงอี ทว่าทันใดนั้นเอง... ผว๊ะ! ร่างของสาวใช้คนนั้น กระเด็นไปไกลหลายสิบก้าว พร้อมกับแขนของนางที่บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดน่ากลัวจากการถูกเตะจนข้อกระดูกบิดเบี้ยว “ลั่วหลิงเฟยเอ๋ย ลั่วหลิงเฟย วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน เพราะข้ายังให้เกียรติหอการค้าจินหลง แต่ใบหน้าของเจ้าหนะ ข้าจะช่วยให้งามขึ้นดีหรือไม่?” ลั่วชิงอีกล่าวขึ้น ใบหน้างามเผยรอยยิ้มอย่างมีเลสนัย พลางเดินไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของลั่วหลิงเฟยด้วยท่าทางประหนึ่งนางมารร้ายที่กำลังจะทารุณกรรมเหยื่อ “ยะ...อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าสำนักผิดแล้ว” ลั่วหลิงเฟยร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดผวา ใบหน้างามน้ำตาเริ่มเอ่อนองด้วยความหวาดกลัว ทว่าลั่วชิงอีหาได้สนใจอากัปกิริยาของลั่วหลิงเฟยไม่! ลั่วชิงอีก้มลงมองใบหน้าของลั่วหลิงเฟยด้วยแววตาเย็นเยียบ มือเล็กหยิบมีดสั้นที่นางพกอยู่เป็นประจำออกมาจากแหวนมิติ ก่อนจะค่อยๆ บรรจงใช้มีดสั้นกรีดไปที่ใบหน้างามของลั่วหลิงเฟยอย่างช้าๆ และบรรจง การกระทำเช่นนี้โหดร้ายและทารุณเป็นอย่างมาก แต่สำหรับลั่วชิงอี นางหาได้สนใจไม่! ในเมื่ออีกฝ่ายยังมีจิตใจโหดเหี้ยม ริษยาได้แม้กระทั่งคนอ่อนแออย่างแม่หนูลั่วชิงอี ทำให้แม่หนูลั่วชิงอีต้องทุกข์ทรมาน ทุรนทุราย จากการถูกวางยาพิษ.. แค่กรีดใบหน้ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำกับคนประเภทนี้! “อ๊าาาา บะ....ใบหน้าข้า” ลั่วหลิงเฟยกรีดร้องออกมาอย่างทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของนางในขณะนี้เต็มไปด้วยรอยแผลนับไม่ถ้วนจากการถูกกรีด นางกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ ร้องห่มร้องไห้จนพื้นหยกของหอการค้าจินหลงเปอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาและคราบเลือดสีแดงสดที่ปะปนกัน ลั่วชิงอีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องอันแสบหู นางก็เตะไปที่ท้องน้อยของลั่วหลิงเฟยจนร่างบอบบางกระเด็นไปไกลและสลบเหมือดในทันที “รีบไสหัวไปซะ! ขืนยังช้า ก็อย่าหาว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน...” ลั่วชิงอีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมกับจิตสังหารบางส่วนที่เล็ดลอดออกมา พอลั่วชิงอีกล่าวจบ สาวใช้อีกสองคนที่ติดตามลั่วหลิงเฟยมาก็รีบพาสาวใช้คนที่กระดูกข้อมือบิดเบี้ยวและลั่วหลิงเฟยออกไปในทันทีด้วยอาการที่ยังคงสั่นกลัว “บางที...ข้าคงต้องกลับไปเยี่ยมเยือนตระกูลลั่วเร็วกว่าที่คิดเสียแล้ว” ลั่วชิงอีกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบา “ท....ท่าน” กงซุนอี้เฟิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ จากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่ เขาเองก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เล็ดลอดออกมาจากลั่วชิงอี ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตัวเขาอกสั่นขวัญผวาได้แล้ว . . ณ ที่แห่งหนึ่งในทวีปเทพอสูร บนฟากฟ้าเหนือผืนป่าแห่งหนึ่ง พื้นที่โดยรอบในขณะนี้ต่างถูกทำลายจนสิ้นซาก ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์อสูรน้อยใหญ่ ล้วนถูกรัศมีพลังสีดำและสีแดงกวาดล้างทำลาย หนึ่งบุรุษผู้อหังการดั่งจักรพรรดิแห่งใต้หล้า หนึ่งอสูรยักษ์ผู้เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งเหล่าอสูร กำลังประชันหน้ากันอยู่บนท้องฟ้า รัศมีพลังสีดำ สีแดง แผ่กระจายไปยังพื้นที่โดยรอบ แม้แต่ท้องฟ้ายังดูราวกับว่าจะแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง และแน่นอนว่าทั้งสองก็คือ พรหมยุทธ์เทพมังกรเซียวฉู่เฮอกับเทพอสูรโบราณ....ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่บนฟากฟ้าเหนือทวีปเทพอสูร “สิบปีนับจากนี้ ข้าจะเคลื่อนทัพมาอีกครั้ง ถึงเวลานั้นดินแดนฝูหรงจะอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า ทุกคนจะต้องกลายเป็นทาส” น้ำเสียงกึกก้องของเทพอสูรโบราณดังขึ้น เซียวฉู่เฮอขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นไอสังหารก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาอย่างรุนแรง ดวงตาสีแดงชาดมองไปยังเทพอสูรอย่างเย็นชา “งั้นถ้าเป็นแบบนี้...ข้าก็ไม่สามารถปล่อยเจ้าไปได้ ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยสิ่งใดก็ตาม วันนี้เจ้าจะต้องตาย!!” ในเมื่อเทพอสูรต้องใช้เวลาสิบปีในการฟื้นตัว ถ้าเช่นนั้นก็ฝังมันอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์ตั้งแต่ตอนนี้เลย! “คิดจะฝังข้าเหรอ? เจ้ายังไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้หรอก” เทพอสูรตอบกลับ “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอลองดูหน่อยเถอะ!” ไอเยือกเย็นพล่านด้านในนัยน์ตาของเซียวฉู่เฮอ ฮึ่ม! “หมื่นชีวาพ้นทุกข์ เก้าสังหารรวมเป็นหนึ่ง หวนคืนสู่หนึ่งกระบี่!!” ปราณกระบี่สีแดงเลือดนับหมื่นปรากฏยังด้านหลังของเซียวฉู่เฮอ ก่อนปราณกระบี่นับหมื่นจะค่อยๆ ก่อร่างเป็นกระบี่ขนาดยักษ์ที่มีองค์ประกอบธาตุทั้งเก้าไหลเวียนอยู่ภายใน เมื่อมองไปยังกระบี่ยักษ์สีแดง เทพอสูรก็หรี่ตาลง มันรู้ว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว เนื่องจากมันไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะบ้าคลั่งเหมือนเซียวรั่วเฟิงที่ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อต่อสู้กับตัวมันเหมือนในครั้งอดีตหรือไม่? เทพอสูรกัดนิ้วตนเอง เลือดสีดำไหลลงมา ทันใดนั้นเองรัศมีสีดำเชี่ยวกราดภายในร่างเทพอสูรก็พุ่งสูงขึ้น ในช่วงเวลาถัดมามันก็ประสานมือพร้อมกับเสียงหอนของอสูร “ลำแสงหมื่นอสูร แดนดินอสูรโบราณ!” ลำแสงสีดำละเมื่อมยิงออกมาจากศีรษะเทพอสูร ลำแสงสีดำขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว มันขยายไปกว้างไกลราวกับว่าไร้ซึ่งขอบเขต ลำแสงนั้นพาดผ่านชั้นบรรยากาศจนทำให้ท้องฟ้าเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ขณะที่กระบี่ยักษ์สีแดงพุ่งเข้าไปก็ต้องหยุดอยู่กลางท้องฟ้า เนื่องจากไม่สามารถทะลุผ่านแสงสีดำเข้าไปได้ ราวกับว่าถูกต่อต้านเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ดั่งกับว่าโลกถูกแยกออกเป็นสองส่วน ทันใดนั้นเอง...รัศมีสีดำที่พลุ่งพล่านในร่างของเทพอสูรก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ามันจ่ายราคาไปมากสำหรับวิชาลับนี้ ยามนี้เทพอสูรอ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเซียวฉู่เฮอจะรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับสังหารเทพอสูรโบราณ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากแสงสีดำนั้นแยกโลกออกเป็นสองส่วน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ เทพอสูรมองไปที่เซียวฉู่เฮอพลางกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส “ข้าจะตอบแทนสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ในอีกสิบปี ถึงเวลานั้นดินแดนฝูหรงจะต้องลุกเป็นไฟ มนุษย์ทุกคนจะต้องถูกทำลายล้าง” “สนุกกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตซะ นี่ถือเป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายจากข้าที่มีต่อพวกเจ้า...” รอยยิ้มอ่อนคลี่บนใบหน้า ฝ่าเท้าก็ก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติ จากนั้นก็โบกมือปิดรอยแยกที่ด้านหลัง พร้อมกับการจากไปของเทพอสูรโบราณ พลังสีดำที่แยกพื้นที่ออกจากกันก็จางหายไป กระบี่ยักษ์สีแดงก็พุ่งทะลุผ่านชั้นบรรยากาศกระแทกเข้ากับภูเขาลูกหนึ่งจนภูเขาลูกนั้นสลายกลายเป็นผุยผง เมื่อมองยังไปยังมิติที่ว่างเปล่า เซียวฉู่เฮอก็ฉายสีหน้าถมึงทึง ก่อนจะกระอักเลือดคำโตออกมาหลังจากที่เทพอสูรได้จากไปแล้ว “อึ๊ก...แม้แต่ข้าที่อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์ยังไม่อาจเอาชนะมันได้ เกรงว่าสิบปีหลังจากนี้ดินแดนฝูหรงคงต้องเผชิญสงครามครั้งใหญ่แล้ว”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม